ไต้หวัน…ใต้ฝันสาวโสด ภารกิจมูขอเนื้อคู่ ซื้อดอกไม้ให้ตัวเอง และให้ธรรมชาติเยียวยาจิตใจ

สวัสดีค่ะ คุณอยู่กับ a day และนี่คือคอลัมน์ที่ชอบค่ะ

ที่ชอบวันนี้เราอยู่กันที่ไต้หวัน สาเหตุที่ได้มาเยือนประเทศนี้…เริ่มมาจากหัวหน้าบอกเราว่า อยากไปทริปไต้หวันไหม เพราะทางการท่องเที่ยวไต้หวัน ประจำกรุงเทพฯ เขาอยากแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ ให้คนอื่นรู้จักมากยิ่งขึ้น โดยไปท่องเที่ยวประมาณ 3 วัน 2 คืน (เข้าเรื่องขายกันแบบนี้เลย)

เรา: เขาพาไปที่ไหนหรือคะ

เจ้านาย: เห็นในแพลนมีไปศาลเจ้าด้วยนะ

(เอาละ ไม่ใช่คนสายบุญซะด้วย กลัวจะทำให้องค์เทพพิโรธอย่างหนัก ตอนนั้นก็เริ่มกังวลใจจี๊ดๆ ละ)

เจ้านาย: เห็นเขาว่า ศาลเจ้านี้เด่นเรื่องขอพรความรักด้วยนะ

เรา: ไปค่ะ!

สาวโสดอย่างเราเมื่อได้ยินเรื่องหาคู่ มีหรือจะพลาดโอกาสให้หลุดลอย ไม่เป็นไรค่ะ องค์เทพ หนูจะเป็นเด็กดี ชอบทำบุญ และมีจิตใจดี เมตตาต่อคนอื่นค่ะ (ขอให้ทุกคนลืมสิ่งที่พิมพ์ก่อนหน้านี้ด้วยนะคะ) เราตอบตกลงอย่างหนักแน่น และนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นทริปไต้หวันของเรา ที่นั่งนับวันตั้งตารอคอยจะไปให้ได้! 

1

I told เทพเจ้าเยว่เหล่า about เนื้อคู่

มาถึงตอนนี้ท่านผู้อ่านอาจคิดว่า เปิดเรื่องด้วยการหาคู่ จิตใจของเราจะหมกหมุ่นแต่เรื่องนี้ทั้งบทความเลยเหรอ ไม่ใช่นะคะ ให้เรียกว่าเป็น ‘Destination’ จุดหมายปลายทางที่ต้องไปเยือนให้ได้ดีกว่า (ยังไงก็ดูหมกหมุ่นอยู่ดี) ความจริงหลังจากอ่านแพลนทริปทั้งหมดที่จัดไว้ให้ พบว่ามีหลายสถานที่ที่น่าสนใจและไม่คุ้นตามากมาย ซึ่งไม่ใช่ย่านซีเหมินติง แหล่งชอปปิ้งวัยรุ่น หรือตามล่าร้านชานมไข่มุกในตำนานแน่นอน เราจะยังไม่สปอยล์ว่ามีที่ไหนบ้าง แต่ชวนนั่งรถไฟขบวนตัวอักษรไปเที่ยวพร้อมกันดีกว่า

หลังจากเครื่องบินจอดลงสนามบินไต้หวันปุ๊บ พี่ไกด์สุดสวยผมสีม่วงในชุดเครื่องแต่งกายสีเข้มดูแข็งขันก็มารับเราปั๊ป และดันเราก้าวขึ้นไปบนรถทัวร์แบบไม่ให้เสียเวลา โดยพาเราไปยังหมุดหมายแรกคือ ‘ถนนตี๋ฮวา’ (Dihua Street) ซึ่งบรรยากาศก็เหมือนๆ ย่านสำเพ็งในบ้านเรา มีร้านค้ามากมาย ส่วนใหญ่ค้าขายเกี่ยวกับยาจีนหรือสมุนไพรอบแห้ง ถ้ามาเองก็เดินทางง่ายๆ ด้วยรถไฟฟ้าความเร็วสูงไต้หวัน (THSR) หรือรถไฟธรรมดา (TRA) มาลงสถานี Taipei จากนั้นต่อรถไฟฟ้าไทเป (Tatpei MRT) มาลงสถานี Shuanglian และต่อรถบัส Taipei City Bus หมายเลข 811 หรือรถบัสสายสีแดงหมายเลข 33 ลงป้าย Dihua St. ก็จะถึงเลย 

พี่ไกด์เล่าให้ฟังว่า ถนนตี๋ฮวาเป็นย่านเมืองเก่ามีอายุประมาณ 200 ปีที่แล้ว สมัยนั้นเรียกว่าเป็นถนนสุดฮอตค้าขายพวกสมุนไพร ใบชาจีน โดยเฉพาะชาอู่หลงจะขึ้นชื่อมาก ผสมปนเปกับขายผ้าทอลายสวยของสาวๆ ที่ชอบทำงานฝีมือมาวางแผงขายผ้ากัน

ระหว่างเพลิดเพลินกับการเดินดูแผงร้านสมุนไพรละลานตา หากเงยหน้ามองตึกแถวสักนิดจะพบร่องรอยประวัติศาสตร์ซุกซ่อนอยู่ ผ่านตราสัญลักษณ์ที่ตกแต่งบนหลังคา เช่น รูปสมุนไพรคล้ายหัวไชเท้า หมายถึงในอดีตตึกนี้เคยเป็นร้านขายสมุนไพรมาก่อน หรือถ้าเป็นรูปสับปะรด นั่นหมายถึงอาคารนี้เคยเป็นร้านค้าผลไม้มาก่อน เป็นต้น

ระหว่างเดินบนเส้นตี๋ฮวา ประมาณกลางถนนจะเจอกับศาลเจ้าเล็กๆ ซ่อนตัวอยู่ระหว่างตึก ชื่อว่า ‘วัดเสียไห่เฉิงหวง’ (Xia Hai City God Temple) ใช่แล้วค่ะ! สถานที่ที่เฝ้าฝันอยากจะไปสักการะ (ขอเนื้อคู่) สักครั้งในชีวิต ที่นี่เป็นวัดเก่าแก่มีอายุมากกว่า 100 ปี ที่เขาเล่าลือว่าโดดเด่นในเรื่องความรัก หากขอพรกับ ‘เทพเจ้าเยว่เหล่า’ ทั้งคนโสด คนที่แอบชอบคนอื่น คนมีคู่ คนที่มีความสัมพันธ์ไม่ชัดเจน คนที่อยากชัดเจน คนที่อยากมีคนมาจีบ คนที่…ฯลฯ มาขอพรกับท่านมักจะสมพรปรารถนาทุกคน

หลังจากได้ยินเรื่องความสำเร็จนี้ เราก็ไม่รอช้าที่จะพุ่งเข้าไปศาลเจ้าอย่างทันที เนื้อคู่ is calling อยากรู้ว่าใครขนาดนี้ พี่ไกด์เองเหมือนรับรู้ความในใจ จึงบอกฮาวทูการขอพรต่อเทพเจ้าเยว่เหล่าเสร็จสรรพ เคล็ดลับไม่ซับซ้อนแต่เน้นชัดเจน ชอบใครก็ระบุชื่อ นามสกุลให้ชัดๆ หรือถ้าไม่มีใครก็ระบุสเป็กให้เจาะจง เช่น หล่อ รวย หรืออบอุ่น ไม่เอากว้างๆ อ้อมโลกแบบคนดี คนเดิม หรือคนที่เหมาะกับหนู เทพเจ้าอาจจะกุมหัวเพราะเดาใจไม่ถูก และถูกปัดตกไม่รู้ตัว

หากใครขอพรแล้วประสบความสำเร็จหรืออยากมาบูชาเรื่องความรัก สามารถนำสีปิ่งหรือขนมงานแต่งงานมาไหว้เพื่อเป็นการขอบคุณ ถ้าหาขนมดังกล่าวไม่ได้ ก็อาจถวายขนมหวาน เช่น บัวลอย (ขอในเรื่องพรหมลิขิต) หรือพุทราจีน (ขอให้การแต่งงานสำเร็จราบรื่น) มาแทน แอบกระซิบสักนิด ควรนำของถวายเป็นจำนวนเลขคู่จะดีที่สุด  

มาเยือนศาลเจ้าทั้งที มีหรือจะไม่พลาดซื้อเครื่องรางนำโชคเป็นของคู่กัน ด้วยความที่เราเป็นคนติดตามเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว (ไม่ปฏิเสธใดๆ) ก็ต้องซื้อกลับไปแน่นอนค่ะ! เครื่องรางที่นี่จะมีสองสี (ราคาประมาณ 100 ดอลลาร์ไต้หวัน) สีชมพูเป็นเทพเจ้าในเรื่องความรัก เหมาะแก่การซื้อให้ตัวเอง และสีแดงเป็นเทพเจ้าช่วยส่งเสริมในเรื่องการงานและชีวิต                 

ความเชื่อของคนไต้หวันเล่าว่า เมื่อซื้อเครื่องรางมาแล้ว อย่าลืมไหว้บอกเทพเจ้าให้อวยพรเรื่องความรัก พร้อมระบุชื่อ นามสกุล วันเกิดชัดๆ และเอาไปวนในกระถางธูป (ด้านนอกศาลเจ้า) สามรอบตามเข็มนาฬิกา นั้นหมายถึงพร้อมเปิดการมองเห็นอย่างเป็นทางการ

หลังจากทำพิธีขอเนื้อคู่ เอ้ย! สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสร็จแล้ว ตกเย็นเดินไปสุดทางถนนตี๋ฮวาจะเจอกับสี่แยกถนนหมินเซิง (Minsheng W Rd) สุดทางของถนนเส้นนี้จะเจอกับ ‘ตลาดท่าเรือต้าเต้าเฉิง’ (Dadaocheng Wharf) สังเกตรั้วกำแพงสูงขนาดใหญ่ มีเพนต์ศิลปะรูปเรือแล่นอยู่บนกำแพง มองผ่านๆ อาจนึกว่าเป็นกำแพงของการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททันก็เป็นได้

ตลาดท่าเรือต้าเต้าเฉิงเป็นพื้นที่ริมแม่น้ำสาธารณะแนวยาว สถานที่ที่คนชอบมาปั่นจักรยาน บ้างก็เล่นสเก็ตบอร์ด หรือพาน้องหมามาเดินเล่น หากหิวท้องร้องจ๊อกๆ ก็มีตลาดนัดคล้ายฟู้ดทรัคพร้อมโต๊ะนั่งมากมาย พี่ไกด์เล่าว่า ตลาดท่าเรือนี้ยังเป็นพื้นที่นัดเดต ที่คนชอบมานั่งคู่กันริมแม่น้ำชมวิวพระอาทิตย์ตก พูดแล้วก็หันไปเห็นภาพจริงไม่มีสแตนอิน ปวดใจคนโสดไปเลยสิ…ฮือ!

2

ฉันซื้อดอกไฮเดรนเยียให้ตัวเอง

หลังจบทริปวันแรก เข้าสู่วันใหม่ตอนเช้าตรู่ รถทัวร์ล้อหมุนมุ่งหน้าไป ‘เทศกาลทุ่งดอกไม้หยางหมิงซาน’ อยู่ในอุทยานแห่งชาติหยางหมิงซาน เขาเล่าว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลต์ในภาคเหนือของไต้หวัน ขึ้นชื่อว่าเป็นจุดชมวิวดอกไม้ที่สวยที่สุด เต็มไปด้วยสีสันของดอกไฮเดรนเยียแบบพาโนรามาวิว กระเถิบถัดไปข้างๆ เป็นทุ่งดอกคาลล่าลิลลี่ไกลๆ มีพื้นหลังเป็นภูเขาสีเขียวและหมอกสีขาวผ่านตามสายลม อย่างกับฉากเลิฟซีนในละครที่พระเอกขอนางเอกแต่งงานแล้วก็มีตัวอักษรขึ้นว่า จบบริบูรณ์ ลอยมาอย่างไรอย่างนั้นเลย

แต่เผอิญว่า เราไม่มีพระเอกคนนั้นนะสิ! ไม่เป็นไร เราก็เป็นนางเอกที่รักตัวเองก็ได้ (ปาดน้ำตา) เพราะในทุ่งดอกไม้หยางหมิงซานก็มีคาเฟ่บ้านไม้เล็กๆ พร้อมเสิร์ฟด้วยเครื่องดื่มอุ่นๆ จิบชมวิวทุ่งดอกไม้พักใจก็ไม่เลวเหมือนกัน หรืออยากจะซื้อดอกไฮเดรนเยียให้ตัวเอง ทางร้านก็มีขายเป็นช่อน่ารักๆ ให้ 

หากใครอยากมาสัมผัสความสวยงามของดอกไม้กับบรรยากาศเย็นๆ แนะนำให้มาช่วงกลางปี ประมาณปลายพฤษภาคมถึงกรกฎาคม ดอกออกช่อสวยมาก โดยสามารถเดินทางขึ้นสถานีรถไฟฟ้าเส้นสีแดงสถานี Shipai และต่อรถบัสสาย 128 หรือ S8 ได้เลย

3

เล่นเอ็มวีคนโสด รอใครสักคนเคียงข้าง

ตกบ่ายแก่ๆ พี่ไกด์บอกเราว่าจะพาไปเดินเล่นริมทะเลที่ ‘อุทยานแห่งชาติภูเขาหัวสิงโต’ อยู่ใกล้ๆ กับอุทยานธรณีเย่หลิว (Yehliu Geopark) บรรยากาศเหมือนเดินป่าชิลๆ บนทางเดินยาวๆ ใต้ร่มไม้น้อยใหญ่สีเขียว ขอสารภาพว่าอากาศดีมาก ไม่ร้อน และลมพัดเย็นสบาย ถ้าเดินไปเรื่อยๆ จนสุดทางจะเจอกับฉากสีฟ้าของน้ำทะเลสุดกว้างใหญ่ เสียงคลื่นเบาๆ ให้ความรู้สึกเหมือนเดินเล่นเอ็มวีเพลงรัก ไม่รับบทถูกเขาทิ้ง ก็เล่นซีนรอใครสักคน เหม่อมองสายน้ำ สายลม ให้พัดใครสักคนมาเจอกันโดยบังเอิญ (พูดจบหันไปแล้วเจอน้องหมาแทน)

ระหว่างเหม่อมองน้ำทะเลไปเรื่อยๆ ก็ไปสะดุดตากับหินคู่ก้อนหนึ่งที่โดดเด่นมากตรงกลางทะเล รูปร่างเหมือนคนสองคนจับมือกันอยู่ ชาวบ้านเรียกกันว่า ‘หินสามีภรรยา’ เขามีเรื่องเล่าขานกันว่า มีภรรยาคนหนึ่งรอสามีกลับมา รอไปรอมาก็ยังไม่กลับมาสักที เธอก็เลยเสียใจมากจนกลายเป็นก้อนหิน แต่ความเป็นจริงแล้วสามียังไม่ตาย (อ้าว!) กลับมาบ้านเห็นแฟนไม่อยู่แล้ว กลายเป็นก้อนหิน เขาก็เสียใจอย่างหนักเลยกลายเป็นก้อนหินอยู่เคียงคู่กับคนรักเสียเลย 

สำหรับเรารู้สึกว่า อุทยานแห่งชาติภูเขาหัวสิงโต เหมาะสำหรับคนอยากไปเดินเล่นชมธรรมชาติแบบชิลๆ เหมือนฝึกเดินเขาระดับอุ่นเครื่อง วิวรอบข้างเป็นป่าไม้ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์มากๆ โดยมีจุดเส้นชัยไปทักทายหินสามีภรรยา (แลนด์มาร์กที่บอกว่า สิ้นสุดทางเดินขึ้นเขาแล้วจ้ะ) และจุดถ่ายรูปเช็กอินวิวสวยถ่ายก่อนกลับบ้านด้วย

การเดินทางสามารถนั่งรถไฟธรรมดา (TRA) ลงที่สถานี Chupei หรือนั่งรถไฟความเร็วสูง (THSR) ลงที่สถานี Hsinchu แล้วต่อรถบัส Lions Head Mountain Route Shuttle Bus สาย 5700 มาลงที่ป้าย Lion’s Head Mountain Visitor Center ก็จะถึงพอดี

4

หาคนคุย แช่ (เท้า) น้ำพุร้อน

ถ้าสถานที่ที่ผ่านมาเรายังไม่เจอใครสักคน ไกด์บอกว่ามีที่หนึ่งอาจจะได้เจอแน่ๆ นั่นคือ ‘บ่อน้ำพุร้อนเท้าหวงกวั่ง’ หรือ ‘น้ำพุร้อนสีทอง’ ที่ชาวไต้หวันไม่ว่าจะรุ่นใหญ่ รุ่นกลาง หรือรุ่นจิ๋วก็ชอบมาแช่เท้าพักผ่อนกัน เพราะไต้หวันได้รับสมญานามว่าเป็น ‘อาณาจักรแห่งบ่อน้ำพุร้อน’

ไฮไลต์ของน้ำพุนี้คือ น้ำสีทอง มันมีที่มาจากส่วนผสมของธาตุเหล็ก เมื่อสัมผัสกับอากาศน้ำพุร้อนก็จะมีสีน้ำตาลคล้ายกับสีของสนิม ถ้าชาวไทยเห็นสิ่งนี้อาจจะนำไปกรอกใส่ขวดบูชาทำพิธีขอหวยกันไป หรืออาจมองว่าเป็นน้ำเสีย ความเป็นจริงแล้ว มันเป็นน้ำสะอาดที่ไหลมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติ แต่เกิดการทำปฏิกิริยาทางเคมีเกิดขึ้นทำให้สีน้ำเปลี่ยนไป 

มองแวบแรก เราก็ยังไม่กล้าจุ่มเท้าเท่าไหร่ แต่พอมองซ้ายมองขวาเห็นชาวไต้หวันนับสิบนั่งจุ่มเท้าสบายใจเฉิบ และคนในทริปทั้งหมดถกกางเกงจุ่มเท้ากันเรียบร้อย แถมยังกวักมือให้เข้ามาลองสักครั้ง เอาจริง ต่อมอยากลองในหัวก็อยากรู้เหมือนกัน เลยเดินเข้าไปนั่งสมทบกับเขาด้วย

ผลปรากฏว่า ให้ความรู้สึกเหมือนแช่เท้าน้ำพุร้อนนี่แหละ แต่บรรยากาศที่นี่คึกคักมาก ชาวบ้านคุยกันเหมือนสนิทกันมาสิบกว่าปี บางคนนอนอิงน้ำพุร้อนเหมือนอบซาวน่า เราทำเนียนไปนั่งคุยกับเขามาด้วยเหมือนกัน พวกเขาเล่าว่า ส่วนใหญ่มาเที่ยวเล่นเปลี่ยนบรรยากาศ คนไต้หวันชอบแช่เท้า เพราะเวลาออกไปเดินจะสบายเท้ามาก เนี่ย! พาแฟนมาด้วย นั่งสวีตบนน้ำพุร้อนนี่แหละ ชมวิวแม่น้ำข้างนอกด้วย (ไปที่ไหน ก็ยังมิวายเจอคนมีคู่ คนโสดทางนี้น้ำตาคลอเบ้าแล้วนะคะ)

หากใครอยากมาลองแช่เท้าที่น้ำพุร้อนสีทอง เดินทางไปที่ Taipei Main Station ไปโซนรสบัสสถานี Kuo Kuang สาย 1815 ที่เขียนป้ายจิงซานจงซิง ไปทางหวงกั่งต้าเฉียว และเดินประมาณ 10 นาทีก็จะถึงเลย (บ่อน้ำพุร้อนติดริมแม่น้ำ)

5

ภารกิจหาคนแกะกุ้ง

หลังจบทริปเที่ยววันที่สองไปอย่างสบายเท้าและสบายใจ รู้ตัวอีกทีเวลาก็ล่วงเลยมายังวันสุดท้าย นั่นคือเตรียมตัวขึ้นเครื่องกลับบ้าน ก่อนกลับ พี่ไกด์พาไปแวะ ‘ตลาดปลาไทเป’ (Taipei Fish Market) แหล่งทานอาหารทะเลที่ใครต่างต้องมาแวะชิม

ภายในตลาดมีร้านค้ามากมาย ทั้งโซนอาหารสด อาหารทะเลแช่แข็ง หรือจะเป็นโซนอาหารปรุงสำเร็จก็มีพร้อม บริการย่างอาหารทะเล ปลาย่าง ล็อบสเตอร์ หอยเชลล์ หรือซี่โครงเนื้อ ทำกันสดๆ ชวนน้ำลายสอ แถมยังคุณภาพดีราคาย่อมเยา ระหว่างดูของกินละลานตา ทุกคนต่างก็หยิบของที่สนใจ แซลมอนเอย ทูน่าเอย เนื้อกุ้งหรือเนื้อปูเอยจนเต็มโต๊ะ 

แน่นอนว่า ถ้ามีแฟนก็จะมีคนช่วยแกะกุ้ง แกะปู ให้ดูน่ารักกรุบกริบ สำหรับสายโสดมีสองมืออย่างเราไม่ต้องกลัวจะน้อยใจ เพราะอาหารในตลาดปลาส่วนใหญ่เขาแกะเปลือกและจัดเตรียมอาหารให้คนกินได้สะดวกสบาย แทบจะไม่ต้องเอามือแงะให้ยุ่งยาก หรือจะวานคนข้างๆ ช่วยแกะให้หน่อยถ้าทำได้ หรือถ้าใจไม่กล้าพอ เราก็สามารถซื้อกลับไปทานที่โรงแรมคนเดียวก็ได้ ฮึ!

การเดินทางมาตลาดปลาไทเป แนะนำให้นั่งรถไฟฟ้าสถานี  Zhongshan Junior High School แล้วต่อแท็กซี่ บอกว่าไป ‘ไถเป่ยหวี่ซื่อ’ ถึงที่หมาย (หรือจะเดินเรียกน้ำย่อยเบาๆ ก็ได้ประมาณ 1.2 กิโลเมตร)

6

Falling in Friendship

วันสุดท้ายของทริป นึกแล้วก็ใจหาย ขณะที่ทุกคนกำลังเดินทางกลับไปสนามบินไต้หวัน ระหว่างนั้นเรานั่งไล่ดูรูปในกล้องถ่ายรูปไปเรื่อยๆ แม้ว่าที่ผ่านมาจิตใจจะโฟกัสแต่เรื่องเนื้อคู่ (อย่างแรงกล้า) แต่ในระหว่างทริปเราก็ได้เจอกับมิตรภาพกับเพื่อนร่วมทริปขณะเดียวกัน ที่ทำให้ตลอดการเดินทางมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เพราะตอนแรกคิดว่าต้องอยู่คนเดียวแน่ๆ เลย

การเดินทางครั้งนี้เราขอขอบคุณน้องแจม น้องพาฝัน ที่เดินไปเข้าห้องน้ำเป็นเพื่อนกันทุกสถานที่ท่องเที่ยว เดินซื้อของ กินข้าว หรือเมาท์มอยขิงขาไปเรื่อยเปื่อยแบบไม่มีสาระใดๆ ขอบคุณไกด์ชื่อ ‘พี่นิ้ง’ ถามได้ตอบได้ สุดยอดกูรูประวัติศาสตร์และแนะนำสถานที่เที่ยวประเทศไต้หวันแบบข้อมูลจัดเต็ม ขอบคุณพี่ๆ และเพื่อนๆ น้องๆ จากทีมงานมากๆ ที่ต้อนรับและช่วยเหลืออย่างอบอุ่นใจ ทั้งให้ข้อมูลและช่วยเหลือต่างๆ รวมถึงพาไปเที่ยวเล่นสนุกมากๆ ทำให้การท่องเที่ยวทริปนี้มีแต่ความสุข (แม้ไม่รู้ว่าเขาจะจอยๆ กับเราไหม)

สุดท้ายนี้หากใครมีแพลนจะเดินเที่ยวไปไต้หวัน เพื่อความสะดวกและความรวดเร็วในการผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง แนะนำให้กรอก Online Arrival Card ล่วงหน้าก่อนเดินทาง 30 วัน สามารถเข้าไปกรอกได้ทาง https://niaspeedy.immigration.gov.tw/webacard/ และติดตามข่าวสาร สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ หรือกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดของทางไต้หวัน ได้จากสำนักงานท่องเที่ยวไต้หวัน ประจำกรุงเทพฯ ผ่านทาง https://www.taiwantourism.org/th/ หรือช่องทางโซเชียลมีเดีย Facebook: Taiwan Tourism Bureau TH

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

จารุจรรย์ ลาภพานิช

ชาวบ้านท่านหนึ่งที่ชอบเรื่องเมือง เป็นนักเรียนคนหนึ่งในการใช้ชีวิต และเป็นคนธรรมดาตัวเล็กๆ ในโลกใบนี้