สุขภาพจิตใหม่ใกล้ฉัน : เมื่อปัญหาสุขภาพจิตกลายเป็น ‘เพื่อนสนิท’ ที่ไม่อยากสนิทแห่งศักราชนี้

ทุกวันนี้เราใช้ชีวิตเคลื่อนตัวไปตามเข็มนาฬิกาของชีวิต มีภาระหน้าที่และความรับผิดชอบนับพันเป็นเจ้านายตัวฉกาจที่คอยปลุกเราให้ตื่นในยามเช้า แม้การลืมตาขึ้นมาจะยากเย็นสักเพียงใด แต่ท้ายที่สุดเราก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทนขุดตัวเองออกมาจากเตียงแล้วดำเนินกิจวัตรต่อไปเรื่อยๆ เหมือนกับเครื่องจักร รู้ตัวอีกทีเครื่องจักรตัวนี้ก็เดินทางผ่านห้วงวันเดือนปีมาไกลแสนไกล จนลืมสังเกตว่าชิ้นส่วนภายในของเครื่องจักรนั้นได้ชำรุดและผุพังไปมากแค่ไหน  

มันคงจะดีกว่าไหมถ้าเราเป็น ‘เครื่องจักร’ จริงๆ เพราะเมื่อใดที่การใช้งานติดขัด ก็จะได้หยุดพักจากการทำงานเยี่ยงทาส และยังได้รับการซ่อมแซมจนกลับมาใช้งานได้ใหม่อีกครั้ง แต่โชคไม่ได้ดีแบบนั้นตรงที่เราเป็น ‘มนุษย์’ ลำพังหากมีแค่ความเหนื่อยล้าทางร่างกาย ถ้าได้พักสักประเดี๋ยวก็อาจกลับมามีแรงเดินหน้าต่อไป ผิดกับความอ่อนล้าที่มาจากก้นบึ้งส่วนลึกของจิตใจที่ยากจะประมาณค่าความเจ็บปวดออกมาได้ ซ้ำยังกัดกินใจเราไปทีละนิดๆ ยิ่งนานวันเข้ายิ่งหาทางสลัดออกจากความรู้สึกนี้ยากขึ้นเท่านั้น 

‘ปัญหาสุขภาพจิต’ จึงกลายเป็นเรื่องสามัญประจำวันของยุคสมัยนี้ก็ว่าได้ สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่เป็นตัวกระตุ้นชั้นดีคือ ‘โซเชียลมีเดีย’ ที่ทำให้เรารับรู้ชีวิตของคนอื่นมากขึ้น จึงอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบกับชีวิตของตัวเอง ตลอดจนการเสพสื่อในแพลตฟอร์มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ข่าว หรือเรื่องราวที่ไม่น่าอภิรมย์ใจนัก ยังกลายเป็นชนวนที่เข้ามาบ่อนทำลายความรู้สึกภายในของเราโดยไม่ทันตั้งตัว 

แม้ในปัจจุบันอาการเจ็บป่วยทางใจจะถูกตระหนักถึงมากขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในสังคมบางส่วนยังมีกรอบความรู้ความเข้าใจที่จำกัดเกี่ยวกับโรคทางจิตเวช ซึ่งเหมารวมอาการทั้งหมดด้วยชื่อเรียกเดียวกัน ไม่นับรวมค่านิยมแบบเก่าๆ ที่มองว่าคนที่มีปัญหาทางจิตเท่ากับ ‘คนบ้า’ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว อาการทางจิตใจนั้นละเอียดอ่อนเกินกว่าจะพรรณนาออกมาได้ ทำให้ผู้ที่เผชิญกับปัญหาดังกล่าว ในบางครั้งก็ยากที่จะยอมรับมัน รวมถึงความไม่รู้ตัวบางอย่างก็ทำให้เราเพิกเฉยกับมันและไม่หาวิธีการรักษาอย่างจริงจัง เผลออีกทีเราก็ถูกมันค่อยๆ กลืนกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวเราไปเสียแล้ว

เชื่อเถอะว่าพอใจเรามันพังแล้ว การจะทำอะไรต่อจากนี้ก็ดูยากเย็นไปหมด สิ่งที่เคยทำให้มีความสุขกลับไม่สามารถสุขได้เหมือนเก่า ครั้นจะเริ่มต้นทำอะไรก็ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะไปต่อ จนแทบจะอยากประกาศตามหา ‘สุขภาพจิตใหม่ใกล้ฉัน’ ให้เร็วที่สุด

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

***การเขียนบทความนี้เป็นบันทึกเล็กๆ ฉบับไม่ลับของเราที่อยากแชร์ให้ผู้อ่านทุกคนได้อ่าน ไม่ได้มีเจตนาชี้นำใดๆ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคุณไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดก็ปรารถนาว่าเนื้อความบางบรรถัดหรือบางย่อหน้าจะสามารถเป็นเพื่อนคนแปลกหน้าให้ผู้อ่านที่กำลังเผชิญกับปัญหานี้ได้พักพิงอิงแอบเพียงชั่วครั้งชั่วคราวก็ยังดี

The sun will rise and we will (เหนื่อย) again

The sun will rise and we will try again
เมื่อพระอาทิตย์เริ่มวันใหม่ เราจะมาพยายามกันอีกครั้งนะ

ประโยคสุดคลาสสิกตลอดกาลที่เชื่อว่าแทบจะทุกคนต้องเคยได้ยินผ่านหูเห็นผ่านตากันมาบ้าง เป้าหมายหลักเวลาประโยคนี้ถูกยกออกมาคงเพื่อทำให้เรามีกำลังใจ พยายามสู้ต่อไปอีกสักนิด เหมือนกับแสงของพระอาทิตย์ที่เริ่มต้นขึ้นใหม่ได้ทุกวัน แต่จริงๆ คือ เราไม่ใช่พระอาทิตย์ แล้วทำไมเราต้องเปล่งแสงทุกวันเหมือนกับพระอาทิตย์ด้วยล่ะ

กับ ‘ความพยายาม’ ก็เหมือนกัน ทำไมเราต้องเป็นคนที่พยายามอยู่ตลอดเวลาด้วย เราก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง มีทั้งวันที่อยากทำนู่นนี่นั่นเต็มไปหมด (ถึงแม้วันแบบนั้นจะมีอยู่น้อยก็ตาม) และก็มีวันที่เราขี้เกียจ อยากนอนเฉยๆ มองเพดานแบบไม่ต้องคิดอะไร แต่ท่ามกลางโลกทุกวันนี้ที่ทุกคนต่างมุ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว เราเสพติดความสำเร็จของคนอื่นที่ถูกสอดแทรกผ่านโซเชียลมีเดียโดยไม่รู้ตัว จนเราอาจลืมคิดไปว่าความต้องการที่เราไขว่คว้าอยากจะได้มันมา นั่นอาจเป็นแค่ความต้องการของคนอื่น แต่ไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริงของตัวเราก็ได้

ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าความพยายามเป็นสิ่งที่มีค่ามากแค่ไหน แต่หลายครั้งความพยายามมันมักจะมาพร้อมความกดดันมหาศาล ความคาดหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนเฉกเช่นที่เราพยายามไป แต่เมื่อเราโตขึ้นมากพอ โลกแห่งความเป็นจริงมันสอนเราให้เรียนรู้ว่า ความพยายามไม่ใช่สิ่งที่จะจงรักภักดีกับเราขนาดนั้น มิหนำซ้ำยังตอบแทนเราเป็น ‘ใบสั่งยา’ แทนความสำเร็จที่ไม่รู้จะมาถึงเมื่อไหร่อีกต่างหาก

บางครั้งประโยคที่ว่า ‘ไม่ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีอะไรทำ’ ก็จริงแท้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะถ้าพรุ่งนี้พระอาทิตย์จะยังขึ้นใหม่อีกครั้ง ถ้างั้นก็เก็บมันไว้ทำพรุ่งนี้แทนแล้วกัน

ติดหล่มความเศร้า

ตอนเป็นเด็กความทุกข์ใจของเราอาจเยียวยาให้หายได้ด้วยขนมอร่อยๆ การ์ตูนเรื่องโปรด หรือแค่นอนตื่นมาอีกวันความเศร้าที่มีก็หายเป็นปลิดทิ้ง ขณะที่พอเราโตขึ้นความผิดหวังที่เจอนั้นได้ใหญ่ขึ้นสัมพันธ์กับอายุของเรา ดังนั้นเรื่องที่เคยทำให้ยิ้มได้ในอดีต ในตอนนี้กลับไม่สนุกเหมือนเก่า ความทุกข์ใจที่มีเหมือนคอยครอบงำความคิดเรา จะแยกก็แยกไม่ออก ความคิดวนเวียนอยู่ในหัวเหมือนฉายหนังม้วนเดิมซ้ำๆ 

สิ่งที่ตามมาจากลูปความวิตกกังวลคงหนีไม่พ้น ‘อาการนอนไม่หลับ’ โรคประจำกายของการก้าวสู่วัยผู้ใหญ่ก็ว่าได้ วิธีสารพัดที่ชาวเน็ตบอกต่อไม่ว่าจะเป็น ลองจุดเทียนหอม เปิดเสียงน้ำฝน หรือลองนั่งสมาธิก่อนนอน แต่มีใครเป็นเหมือนกันบ้างไหมว่ามันช่วยไม่ได้ บางครั้งนอนนับแกะจนถึงเช้าก็ยังหลับไม่ได้ จนแทบอยากจะเอาค้อนอันใหญ่ๆ มาทุบหัวให้จบเรื่อง

และเมื่อนอนไม่หลับจึงยิ่งเป็นตัวการที่ไปกระทบต่อการใช้ชีวิตในด้านอื่นๆ ต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ นอกจากเครียดกับปัญหาที่เจอแต่ละมื้อแต่ละเดย์ แล้วยังเครียดที่นอนไม่หลับ ท่ามกลางชีวิตรสชาติขมๆ ที่เจอทำให้เราตั้งคำถามกับตัวเองว่า ‘ทำไมต้องเป็นเราที่เจอเรื่องห่าเหวแบบนี้’ แต่ก็นั่นแหละชีวิตมันไม่เคยให้คำตอบกับเราได้ทุกครั้งไป 

มีคำพูดหนึ่งที่ว่า ‘สิ่งที่เกิดขึ้น ย่อมดีเสมอ’ เรานี่เถียงขาดใจเลย บางเรื่องถ้าไม่เกิดยังไงก็ดีกว่าเห็นๆ ยิ่งกับความระทมในจิตใจ (แขกที่เราไม่ได้เชิญ) ยังไม่เคยเห็นข้อดีของมันได้เลย และก็ไม่รู้จะสรรหาอะไรมาแก้ต่างเพื่อปลอบใจตัวเอง สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคงเป็นคำว่า ‘ช่างแม่ง’ แล้วปล่อยให้หมอช่วยเราล่ะกัน

อดคิดไม่ได้เหมือนกันนะว่า เทวดาที่คุ้มครองเราเป็นเทวดาฝึกหัดหรือเปล่า ทำไมชีวิตมันดูติดๆ ขัดๆ ตลอดเลย

ก้าวแรกนั้นยากเสมอ

จากที่เกริ่นไปสั้นๆ ในหัวข้อที่แล้วว่ามีปัญหาก็ให้หมอจัดการแล้วกัน แต่กว่าเราจะเดินทางไปถึงขั้นตอนที่ได้เจอหน้าหมอ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ด่านแรกที่ต้องพิชิตให้ได้คือ ‘การยอมรับ’ กับตัวเองว่า เรารับมือกับมันไม่ไหวแล้วจริงๆ อย่ากลัวที่จะไปพบจิตแพทย์ เวลาร่างกายเราไม่สบายยังต้องไปหาหมอ กับจิตใจก็เหมือนกัน เมื่อไม่สบายก็ต้องได้รับการรักษา 

เชื่อว่าความกังวลในการไปพบจิตแพทย์ของแต่ละคนนั้นต่างกันออกไป บางคนกลัวเรื่องค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่ว จนเกิดประโยคที่ว่า ‘ปัญหาสุขภาพจิตเป็นเรื่องของคนรวย’ ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความจริงที่ว่าในสังคมไทย การเข้าถึงจิตแพทย์เป็นเรื่องที่ยากลำบาก เนื่องด้วยบุคลากรที่มีไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้ป่วย สำหรับโรงพยาบาลรัฐที่ค่าใช้จ่ายถูกลงมา แต่การเข้าถึงเป็นไปได้ยากซึ่งต้องรอคิวอย่างต่ำเป็นเดือนๆ ขณะที่โรงพยาบาลเอกชนอาจไม่ได้รอคิวนานเท่า แต่ภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องเจอยิ่งเป็นตัวแปรที่ทำให้ผู้ป่วยเลือกที่จะไม่ไปหาหมอ 

เป็นเรื่องน่าเศร้าใจนักที่มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี ในบางคราอาจนำไปสู่การลงเอยด้วยเหตุการณ์ที่เลวร้ายแบบที่เราเองก็ไม่อาจคาดถึง

‘เข้าใจ’ ที่ไม่มีวันเข้าใจ

ลำพังการต่อสู้กับเรื่องที่ต้องเจอ เราเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว ยังต้องรับมือกับความท็อกซิก (Toxic) จากคนรอบตัว หลายคำพูดและการกระทำที่กลั่นออกมาจากคนใกล้ชิดที่ยิ่งผลักเราให้ออกไปยืนอยู่ที่หน้าผาคนเดียว แม้บางครั้งคนพูดอาจจะไม่ได้คิดอะไร ‘แต่คนฟังไม่เคยลืม’ 

บ้างก็ทำเป็นบอกว่า ‘เข้าใจ’ แต่จริงๆ เป็นการตอบปัดเพื่อให้บทสนทนาจบลงให้ไวที่สุด บ้างก็บอกว่า ‘เรื่องแค่นี้เอง’ แต่คนพูดลืมคิดไปหรือเปล่าว่า ‘แค่นี้’ ของคนเราไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงไม่ควรตัดสินความทุกข์ของคนอื่นจากประสบการณ์ที่ตัวเองไม่เคยได้เจอมาก่อน ซ้ำยังไม่เคยเรียนรู้ที่จะเข้าใจ 

เพราะกับบางคนการเล่าเรื่องราวที่มาจากความรู้สึกส่วนลึกของจิตใจให้ผู้อื่นฟังไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แล้วการที่เขาเลือกที่จะเล่ามันออกมาอาจหมายถึงการเดินทางมาสู่ทางตันแล้วจริงๆ ไม่ได้หวังว่าคนฟังจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ แต่เพียงหวังว่าจะได้ระบายความอัดอั้นที่มีในใจออกไปได้บ้างก็เท่านั้นเอง

เราจะไม่มีทางเข้าใจมันได้ จนกว่าจะเผชิญกับสิ่งนี้ด้วยตัวเอง ยังเชื่อคำนี้เสมอ

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

อาการเจ็บป่วยมันไม่เคยเตือนเราล่วงหน้า รู้ตัวอีกทีเราก็ก้าวขาเข้าไปสู่วงจรนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันไม่ผิดเลยที่เราจะเหนื่อย จะอ่อนแอ แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องรู้จักประเมินตัวเองอยู่เสมอ เพราะสุดท้ายแล้วคนที่รู้จักตัวเราดีที่สุดก็คือเรา เช่นเดียวกันกับคนที่จะอยู่กับเราไปตลอดก็คือตัวเราเอง 

ความผิดหวังหรือเรื่องทุกข์ใจใดๆ ที่เคยเจอ วันหนึ่งเมื่อมองย้อนกลับไปเราจะรู้สึกขอบคุณตัวเองที่ผ่านช่วงเวลาอันแสนกระอักกระอ่วนนั้นมาได้เพียงลำพัง เชื่อว่าสักวันเราคนธรรมดาคนนี้จะกลายเป็น ‘คนที่เข้มแข็ง’ ขึ้นกว่าเราในอดีตอย่างแน่นอน และถึงแม้จะยังมีความรู้สึกนั้นวนเวียนกลับมาทักทายเราอยู่บ้างเป็นครั้งคราวก็ ‘ไม่เป็นไรเลยนะ’ ท้ายที่สุดมันอาจไม่ได้หายไป แต่เราจะเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันได้ 

Whenever I bring clouds over the earth and the rainbow appears in the clouds, I will remember my covenant between me and you and all living creatures of every kind. Never again will the waters become a flood to destroy all life. – Genesis 9:12-17

‘…พระเจ้าสร้างสายรุ้งขึ้นมาเพื่อย้ำเตือนว่า สุดท้ายแล้วฝนจะไม่ตกไปตลอด…’

AUTHOR