ความสวยงามในสมัยนี้ คงไม่ใช่แค่ความ ‘รัก’ ในตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องคำนึงถึงความ ‘รักษ์’ สิ่งแวดล้อมเพื่อส่วนรวมด้วยเช่นกัน เพราะผลิตภัณฑ์เกือบทุกสิ่งที่ทำให้เราสวยงามทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ครีมบำรุงผิว หรือเครื่องสำอาง เหล่านั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมมากมายทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น การใช้ทรัพยากรธรรมชาติน้ำและพืชพันธุ์ หรือจะเป็นการผลิตขวดพลาสติกบรรจุภัณฑ์จำนวนมาก
ปัจจุบันภาวะโลกร้อนสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมของผู้คนและธรรมชาติมากมาย เช่น การเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเล สภาพอากาศที่แปรปรวน หรือธารน้ำแข็งที่กำลังละลายอย่างรวดเร็ว จึงทำให้หลายอุตสาหกรรมทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าว รวมถึงบริษัทอันดับหนึ่งในอุตสาหกรรมความงามอย่าง ‘L’OREAL’ ที่ในประเทศไทย มีแบรนด์ดังในเครือมากมาย อาทิ L’Oréal Paris, Maybelline New York, Garnier, La Roche-Posay, Cerave, Lancôme, YSL Beauty, Kiehl’s, Kérastase เป็นต้น โดย ลอรีอัล กรุ๊ป มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ความงามและทุกกระบวนการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความยั่งยืนภายใต้ชื่อ “L’Oréal For The Future” พร้อมตั้งเป้าหมายด้านความยั่งยืนและสังคมที่ชัดเจนไปจนถึงปี 2030 มุ่งยกระดับการเปลี่ยนแปลงการดำเนินงาน โดยคำนึงถึงขีดจำกัดความปลอดภัยของโลกเป็นที่ตั้ง เพื่อสร้างความงามขับเคลื่อนโลกอย่างแท้จริง
L’Oréal for the Future
“L’Oréal For The Future” ไม่ใช่ก้าวแรกเพื่อความยั่งยืนของลอรีอัล ก่อนหน้านี้ในปี 2013 ลอรีอัลให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจพัฒนาผลิตภัณฑ์ความงามอย่างยั่งยืนผ่านโครงการ ‘การแบ่งปันความงามเพื่อทุกสรรพสิ่ง (Sharing Beauty With All)’ และประกาศเป้าหมายในปี 2020 โดยมีนวัตกรรมเครื่องมือ ‘Sustainable Product Optimization Tool: SPOT’ ในการประเมินและพัฒนาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งถูกนำเข้ามาเป็นปัจจัยหนึ่งในการออกแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของแบรนด์ในเครือลอรีอัลตั้งแต่เริ่ม
ด้วยความใส่ใจในประเด็นสิ่งแวดล้อมมายาวนาน จึงทำให้ในปี 2020 นั้น 96% ของผลิตภัณฑ์ใหม่หรือผลิตภัณฑ์ที่ปรับสูตรใหม่ได้รับการปรับปรุงให้มีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมดียิ่งขึ้น ไม่เพียงแค่คิดถึงเรื่องผลิตภัณฑ์ แต่ยังโฟกัสเรื่องสิ่งแวดล้อมของสถานที่ตั้งโรงงาน การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในโรงงานอุตสาหกรรม และการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนมากกว่าเคย
เหล่านี้จึงทำให้ลอรีอัลเป็นบริษัทเดียวในโลกที่ได้รับคะแนนระดับ ‘A’ จากการจัดอันดับทั้งสามด้าน ได้แก่ การจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การดำเนินการปกป้องรักษาป่าไม้ และการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ของ Carbon Disclosure Project: CDP องค์กรรายงานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลกเป็นเวลา 7 ปีติดต่อกัน
ส่วนผสมจากธรรมชาติ
สิ่งสำคัญที่ไม่แพ้เรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม นั่นคือ ‘สูตรและส่วนผสม’ ในผลิตภัณฑ์ที่มีการนำ ‘Green Science’ การใช้วิทยาศาสตร์เพื่อความยั่งยืน เริ่มตั้งแต่การศึกษาธรรมชาติเพื่อค้นหาส่วนผสมใหม่ๆ และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชีวภาพ (Green Chemistry) ลดการใช้สารเคมีน้อยลง และมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีและปลอดภัยที่สุดให้แก่ผู้ใช้งาน
ทุกวันนี้วัตถุดิบชีวภาพของลอรีอัล 61% เป็นส่วนผสมจากธรรมชาติ โดย 32% เป็นวัตถุดิบธรรมชาติโดยตรงอย่างวิตามินซี และ 29% เป็นส่วนผสมที่มาจากเทคโนโลยีชีวภาพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดปริมาณการเกิดของเสียและใช้ปริมาณน้ำน้อยลง
ตัวอย่างการปรับสูตรและผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม เช่น เนื้อมาสคาร่า เดิมทีเป็นเนื้อโพลีเมอร์สังเคราะห์ แต่เปลี่ยนเป็นการแว็กซ์จากการใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติอย่างโพลีเมอร์จากข้าวโพด 99% ซึ่งให้ความหนาและความติดทนไม่แพ้ผลิตภัณฑ์ทั่วไป พร้อมทั้งยังล้างออกได้ง่าย และผ่านการทดสอบทางการแพทย์แล้วว่าเหมาะสมทั้งสำหรับดวงตาที่บอบบางและผู้สวมใส่คอนแทกต์เลนส์ มากไปกว่านั้นยังมีการคิดค้นผลิตภัณฑ์ครีมนวดผมแบบไม่ต้องล้างออก ที่ใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ 98% ช่วยประหยัดการใช้น้ำอุ่นได้ถึง 100 ลิตรต่อผลิตภัณฑ์หนึ่งขวดด้วยเช่นกัน
แพลนของลอรีอัลยังตั้งเป้าหมายภายในปี 2030 วัตถุดิบชีวภาพในส่วนผสมและใช้สำหรับบรรจุภัณฑ์ 100% สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่า เหล่านี้ได้ผ่านกระบวนการคิดค้น ออกแบบ และการจัดการที่คิดถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนทุกรายละเอียด
ยิ่งไปกว่านั้นยังจัดหาและลงมือปลูกส่วนผสมจากธรรมชาติด้วยวิธีการที่ยั่งยืน เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในโลกมากยิ่งขึ้น เช่น การสกัดแพลงก์ตอนในทะเลจากสาหร่ายขนาดเล็ก (Vitreoscilla filiformis) ที่มีคุณสมบัติในการต้านจุลชีพและอนุมูลอิสระ เสริมสร้างเกราะป้องกันตามธรรมชาติ และช่วยในการฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง
ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ
สูตรและส่วนผสมทางธรรมชาติเป็นกุญแจสำคัญของลอรีอัล และต้องอาศัยความพิถีพิถันในการพัฒนาเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย ลอรีอัลใช้วัตถุดิบพืชพันธุ์ต่างๆ เกือบ 313 ชนิดนำมาเป็นส่วนประกอบหลัก และนั่นคือเหตุผลที่ ลอรีอัล กรุ๊ป ใส่ใจเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ โดยออกแบบกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการเพาะปลูกอย่างยั่งยืน
ในปี 2021 วัตถุดิบของลอรีอัล 63% เป็นวัตถุดิบที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ และใน 40% ของทั้งหมดเป็นสารเคมีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ถัดมาในปี 2022 ผลิตภัณฑ์ในเครือกว่า 97% ออกแบบเพื่อเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น วัตถุดิบธรรมชาติอย่างน้ำมันปาล์ม สารอนุพันธ์น้ำมันปาล์ม และน้ำมันจากเนื้อในเมล็ดปาล์มที่ใช้ทั้งหมด 100% ได้รับการรับรองแล้วว่า มีความยั่งยืนสอดคล้องกับมาตรฐาน RSPO มาตั้งแต่ปี 2012
ในปัจจุบันส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ลอรีอัล 94% เป็นส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเยื่อไม้ ซึ่งนำมาทำเป็นกล่องกระดาษและกระดาษสำหรับบรรจุภัณฑ์ เหล่านี้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่ามาจากแหล่งที่จัดการเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และไม่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งคาดว่าภายในปี 2030 จะตั้งใจไปให้ถึง 100% พร้อมทั้งยังสนับสนุนการก่อตั้ง กองทุน ‘L’Oréal Fund for Nature Regeneration’ ส่งเสริมการฟื้นฟูระบบนิเวศทางธรรมชาติและริเริ่มการยุติการตัดไม้ในธรรมชาติอย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้เป้าหมายในปี 2030 ลอรีอัลจะส่งเสริมการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพตลอดกระบวนการทั้งต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ขณะเดียวกันก็ฟื้นฟูระบบนิเวศที่เสียหายไปพร้อมๆ กัน อย่างการใช้ส่วนผสมที่มาจากชีวภาพ 100% สำหรับสูตรและวัสดุบรรจุภัณฑ์ต่างๆ จะสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ และมาจากแหล่งที่ยั่งยืนโดยไม่มีส่วนผสมใดที่จะเกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า
อีกหนึ่งประเด็นที่ผลักดันคือ การก่อตั้งโรงงานอุตสาหกรรม และอาคารสถานประกอบการทั้งหมดจะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อความหลากหลายทางชีวภาพ และครอบครองการจัดสรรที่ดินให้เหมาะสมต่อการเพาะปลูกส่วนผสมทางธรรมชาติให้ได้เต็ม 100% เมื่อเทียบกับปี 2019
ตลอดเวลาหลายสิบปี ลอรีอัล กรุ๊ป มีเป้าหมายใส่ใจผลิตภัณฑ์ความงามด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ทั้งการศึกษา ออกแบบ และพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ตั้งแต่การทำงานต้นน้ำถึงปลายน้ำของผลิตภัณฑ์ เพราะอยากสร้างภาพจำให้กับทุกคนว่า ‘ความงาม’ ก็สามารถช่วยขับเคลื่อนโลกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน