Lightyear จุดกำเนิดและการเติบโตของ ‘บัซ ไลท์เยียร์’

‘บัซ ไลท์เยียร์’ คือหนึ่งในตัวละครที่เป็นที่รู้จักกันดีจากภาพยนตร์เรื่อง Toy Story ของค่าย Pixar ซึ่งปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งแรกใน Toy Story ภาคแรกเมื่อปี 1995 ในฐานะของเล่นของเจ้าหนูแอนดี้ตัวละครเอกในเรื่อง และยังเป็นคู่หูผู้เคียงข้างนายอำเภอ ‘วู้ดดี้’ ของเล่นชิ้นโปรดของแอนดี้ ซึ่งประทับตราตรึงในใจของคนดูเป็นจำนวนมากจนทำออกมาถึง 4 ภาค 

ครั้งนี้ บัซ ไลท์เยียร์ กลับมาในฐานะภาพยนตร์ของตัวเอง เป็นภาคแยกที่ถึงแม้ใครจะไม่เคยดู Toy Story มาก่อนก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใดเพราะแยกส่วนออกมาโดยสมบูรณ์ มันคือหนังที่เหมือนกับเล่าความเป็นมาของ บัซ ไลท์เยียร์ และเป็นหนังที่แอนดี้ได้ดูจนชอบและหลงใหลในตัวละครตัวนี้ ก่อนที่ต่อมาตัวบัซ ไลท์เยียร์ จะถูกนำมาทำของเล่นนั่นเอง 

ดังนั้น ในภาพยนตร์แอ็กชั่นกึ่งไซ-ไฟเรื่องนี้ เราจะได้เห็นเรื่องราวเบื้องหลังว่าทำไมแอนดี้จึงชอบและหลงใหลในตัวบัซ รวมถึงที่มาที่ไปของพฤติกรรมและบุคลิกต่างๆ ของบัซที่เราเคยเห็นใน Toy Story ด้วย 

แม้พล็อตจะค่อนข้างเห็นได้บ่อยจากหนังหลายๆ เรื่อง แต่ก็ถือเป็นกลิ่นอายความคลาสสิกที่น่าคิดถึง ความผิดพลาดของบัซทำให้ทุกคนในทีมสำรวจต้องติดอยู่บนดาวประหลาด เขาต้องแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดไป 

ภารกิจที่ผูกมัดนำพาให้บัซมาเจอกับคู่หูอย่าง ‘ซ็อกส์’ (Sox) หุ่นยนต์แมวสีส้ม แต่ภารกิจแรกยังไม่ทันจะเริ่มก็เจออุปสรรคใหญ่อย่าง ‘เซิร์ก’ (Zurg) ที่มาพร้อมกองทัพหุ่นยนต์และยานบินต่างดาวที่หมายเอาชีวิตเขาอย่างไม่ลดละ ความบังเอิญทำให้เขาได้พบกับเพื่อนร่วมทีมใหม่อีก 3 คนที่ดูเหมือนจะพึ่งพาไม่ได้เท่าไหร่ ชวนให้ติดตามว่าเขาจะเอาชนะอุปสรรคทุกอย่างอย่างไร

ในเนื้อหาเราจะได้เห็นประเด็นเกี่ยวกับการเคารพความคิดคนอื่น ในทุกๆ วันเราอยู่แต่ในโลกที่ได้ยินเพียงเสียงตัวเอง ซึ่งมันอาจจะทำให้เราไม่ได้เปิดใจและมองสิ่งต่างๆ ในแง่มุมของคนอื่น เช่นเดียวกับบัซที่มักจะคิดแทนเพื่อนร่วมทีมอย่าง ‘อลิชา’ โดยไม่ถามความเห็นของเธอเลย 

ส่วนอีกประเด็นที่หนังพูดถึงคือ ไม่ว่าใครๆ ก็พลาดได้ เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่จะผิดพลาด แต่สิ่งที่สำคัญคือ เราได้เรียนรู้และป้องกันความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นอีกครั้งหรือเปล่า? ก่อนจะเป็นเสือแห่งอวกาศ บัซก็เคยทำผิดพลาดมาก่อน แต่เขาก็เลือกที่จะแก้ไขรวมถึงไม่ทำพลาดซ้ำอีก เราจะได้เห็นการเติบโตของคาแรกเตอร์ของบัซ ไลท์เยียร์ ที่ถูกฉีกออกมาจาก Toy Story และหลายๆ ฉากก็กระตุกความคิดให้เราได้ลองถามตัวเองตามบัซด้วยเหมือนกัน 

ถึงอย่างนั้นบัซผู้มีคำพูดประจำตัว ‘to infinity and beyond’ ก็ยังคงมีความเปิ่นและป่วนชวนให้ยิ้มตามอยู่ตลอดเหมือนเดิมรวมถึงตัวละครสมทบอื่นๆ ก็ช่วยกันตบมุกและบาลานซ์กันได้เป็นอย่างดี เรียกเสียงหัวเราะได้เกือบจะทุกซีนแม้กระทั่งหลังดราม่าจบไปได้ไม่ถึงนาที

สิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือแมวจอมขโมยซีนอย่าง ‘ซ็อกส์’ ที่แย่งซีนพระเอกอย่างบัซไปตั้งแต่เปิดตัว ทำให้เนื้อหาหนังไม่หนักหน่วงจนเกินไป แม้จะสอดแทรกไปด้วยกฎฟิสิกส์ การข้ามเวลา และพหุจักรวาล แต่ก็สื่อออกมาให้เข้าใจตามเนื้อหาได้โดยไม่ยาก จนมีครบทุกรสตั้งแต่คอมเมดี้ ดราม่า อบอุ่นหัวใจ และความมัน ไม่หนักด้านไหนมากไปจนรู้สึกเลี่ยน

แม้หนังจะไม่ได้เข้าฉายในบางประเทศ เพราะฉากเกี่ยวกับ LGBTQ+ แต่จริงๆ แล้วก็เป็นซีนที่กำลังดี ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด เรียกได้ว่าเป็นหนังที่เด็กดูดี ผู้ใหญ่ดูได้โดยไม่รู้สึกเบื่อและไม่เสียดายเงินค่าตั๋วแน่นอน หลังดูจบอาจจะได้แง่คิดดีๆ จนตกผลึกบางอย่างกับตัวเองก็เป็นได้

AUTHOR