รู้จัก ‘Let Them Theory’ ทฤษฎีมาแรง เมื่อการปล่อยจอยจากการพยายามควบคุมคนอื่น คือหนทางค้นพบหนทางที่ ‘ใช่’ ของจิตใจ

‘ทำไมถึงไม่เป็นแบบนี้’

 ไม่มากก็น้อย เราทุกคนต่างมีความต้องการที่จะ ‘ควบคุม’ สภาพแวดล้อม และสถานการณ์ต่างๆ ของตนเอง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ และเป็นสัญชาตญาณในการเอาตัวรอด 

แต่บางครั้งเรากลับใช้สัญชาตญาณนั้นมากเกินไป จนกลายเป็นความพยายามควบคุมผู้อื่น พาลทำให้ต้องหงุดหงิดทุกครั้งเมื่อคนเหล่านั้นไม่ได้เป็น หรือปฏิบัติอย่างที่เราต้องการ

หากใครได้ติดตามช่องทางโซเชียลในช่วงนี้ โดยเฉพาะ TikTok อาจเคยผ่านหูกับทฤษฎี ‘Let Them’ กันมาบ้าง ทฤษฎีที่ว่านี้ เป็นแนวคิดจาก เมล รอบบินส์ (Mel Robbins) นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ นักเขียนชื่อดัง และอดีตทนายความ ที่เน้นการยอมรับ และปล่อยให้ผู้อื่นทำในสิ่งที่ต้องการ โดยไม่พยายามควบคุม หรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของพวกเขา

ทฤษฎีที่ว่านี้ มีรากฐานมาจากหนังสือของเมลที่ตีพิมพ์ในปี 2024 ชื่อ ‘The Let Them Theory: A Life-Changing Tool That Millions of People Can’t Stop Talking About’ ซึ่งมีคำอธิบายไว้ว่าเป็น ‘คู่มือเกี่ยวกับวิธีหยุดปล่อยให้ความคิดเห็น ดราม่า และการตัดสินของคนอื่นส่งผลต่อชีวิตของคุณ’ โดยในหนังสือ เมล ระบุว่าทฤษฎีนี้ ‘จะทำให้เป็นอิสระจากวัฏจักรที่เหนื่อยล้าในการพยายามจัดการทุกสิ่งทุกอย่างและทุกคนรอบตัว’

แนวคิดนี้เรียบง่าย เมลเขียนในหนังสือว่า เธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับทฤษฎีนี้เป็นครั้งแรกจากลูกสาว และเธอชอบมันทันที เธอยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า

ถ้าเพื่อนของคุณไม่เชิญคุณไปทานบรันช์ในสุดสัปดาห์นี้ ก็ปล่อยให้พวกเขาทำ

ถ้าคนที่คุณชอบ เขาไม่สนใจที่จะผูกมัด ก็ปล่อยให้พวกเขาทำ

ถ้าลูกๆ ของคุณไม่อยากไปทำกิจกรรมบางอย่างกับคุณในสัปดาห์นี้ ก็ปล่อยให้พวกเขาทำ

แน่นอนว่า เราอาจปล่อยให้ผู้อื่นทำสิ่งนั้นอยู่แล้ว แต่เราอาจมีส่วนร่วมกับการเลือกของพวกเขามากเกินไป และพยายามควบคุมการกระทำของพวกเขา จึงทำให้ต้องรู้สึกทุกข์เมื่ออีกฝ่ายไม่เป็นอย่างที่เราต้องการ ทฤษฎี Let Them จึงแนะนำว่าให้ปล่อยผู้อื่นทำในสิ่งที่ต้องการ และเราจะรู้สึกได้ปลดปล่อยจากการควบคุม ในทางกลับกันจะช่วยให้เรารู้สึกสงบ ผ่อนคลายมากขึ้น และได้ค้นพบหนทางแห่งหัวใจที่แท้จริง

หลักการของทฤษฎี ‘Let Them’ คืออะไร?

ปล่อยให้เขาเป็น (Let Them) 

เรามักเสียพลังไปกับการพยายามควบคุมสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น การคาดหวังให้คนอื่นปฏิบัติต่อเราแบบที่เราต้องการ เมื่อพวกเขาไม่ทำเช่นนั้น เราจะรู้สึกเจ็บปวด โกรธ หรือผิดหวัง ดังนั้นเมื่อต้องรู้สึกหงุดหงิด หรือไม่พอใจกับการกระทำของผู้อื่น ให้บอกตัวเองว่า ‘ปล่อยให้เขาเป็น’ โดยไม่พยายามบังคับ ควบคุม หรือรู้สึกว่าเราต้องเข้าไปเปลี่ยนพฤติกรรมของพวกเขา เพื่อยอมรับว่าเราไม่สามารถควบคุมความคิด หรือการกระทำของผู้อื่นได้ 

ตัวอย่างการลองปรับใช้

  • หากเพื่อนไม่ชวนไปปาร์ตี้ (ปล่อยให้เขาเป็น ถ้าเขาอยากไปโดยไม่มีเรา นั่นคือสิ่งที่เขาเลือก)
  • แฟนไม่สนใจ (แทนที่จะนั่งดราม่า บอกตัวเองว่าปล่อยให้เขาเป็น แล้วเราจะได้เห็นเองว่าเขาให้คุณค่าเรามากแค่ไหน)

โฟกัสที่ตัวเอง (Let Me) 

หลังจากปล่อยให้ผู้อื่นเป็นในแบบของเขาแล้ว ให้หันมาโฟกัสที่ตัวเอง แทนที่จะมัวหมกมุ่นกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำ เพราะเมื่อปล่อยพลังงานลบจากคนอื่นออกไป เราจะมีพื้นที่ว่างในใจให้ดูแลตัวเองมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่เราสามารถควบคุมได้จริง เช่น เลือกที่จะไม่ใส่ใจ และเอาเวลาไปทำสิ่งที่เติมเต็มจิตใจอย่างการอ่านหนังสือ ออกกำลังกาย หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หรือใช้เวลาในการทำสิ่งที่อยากทำเพื่อรักษาความสงบทางอารมณ์ และพลังงานของตัวเอง 

แล้วประโยชน์ของทฤษฎีนี้คืออะไร?

ไม่คาดหวัง ไม่ผิดหวัง

ปล่อยให้คนอื่นทำในสิ่งที่อยากทำ โดยไม่พยายามบังคับ ควบคุม หรือรู้สึกว่าเราต้องเข้าไปเปลี่ยนพฤติกรรมของพวกเขา การยอมรับว่าเราไม่สามารถควบคุมผู้อื่นได้ หรือไม่ได้พยายามจะเปลี่ยนแปลงใคร จะทำให้ไม่ต้องรู้สึกผิดหวัง หรือเครียดเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นอย่างที่หวัง เหมือนเป็นการเปลี่ยนการคิดวนไปมาว่า ‘ทำไมเขาถึงทำแบบนั้น’ แต่เป็นการเลือก ‘ปล่อยให้เขาเป็น’ แล้วกัน

เป็นตัวของตัวเอง

การปล่อยให้ผู้อื่นเป็นในแบบของตัวเอง จะช่วยให้ความสัมพันธ์มีความเข้าใจ และยอมรับซึ่งกันและกันมากขึ้น เพราะการยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายเป็น จะช่วยให้ความสัมพันธ์เติบโตบนพื้นฐานของความเข้าใจ ไม่ใช่การควบคุม เช่น เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้อีกฝ่ายชอบ และอีกฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพื่อเรา ทุกคนสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ นั่นหมายถึงเราจะได้เรียนรู้กันและกันจากสิ่งที่เป็นจริงๆ มากกว่าการพยายามเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้อีกฝ่ายชอบ ซึ่งเมื่อถึงวันหนึ่ง เราจะไม่สามารถหลีกหนีจากตัวตนได้อยู่ดี และเมื่อวันนั้นมาถึง อาจสายเกินไปที่จะปรับความเข้าใจกันก็ได้

สงบสยบเคลื่อนไหว

การโฟกัสที่ตัวเอง และการตอบสนองของตัวเอง หรือเมื่อไม่ยึดติดกับการที่คนอื่นต้องทำอะไรตามใจเรา ความรู้สึกก็จะสงบขึ้น เพราะเราไม่ปล่อยให้พฤติกรรมของคนอื่นมากำหนดอารมณ์ของเรา เช่น อาจมีใครคอยวิจารณ์เรา แต่เราเลือกจะไม่ตอบโต้ได้ เพราะรู้ว่า ‘ความสงบในชีวิตของเรามีค่ากว่า’

แน่นอนว่า หลายคนอาจมีมุมมองว่าทฤษฎี Let Them อาจจะเหมาะกับบางคน บางบริบท และบางเงื่อนไข แต่สิ่งที่ทฤษฎีนี้พยายามบอกคือ เราต่างใช้พลังงานไปกับการคิดมากในเรื่องต่างๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ แทนที่จะทำเช่นนั้น การมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่สามารถควบคุมได้น่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า และการ ‘Let Them’ นั่นแหละ จะเปิดเผยให้เห็นว่าผู้อื่นเป็นใคร เป็นอย่างไร จากนั้นเราจะสามารถตัดสินใจได้ว่าอะไรคือสิ่งที่เหมาะที่สุดสำหรับเรา

หากลองเปรียบดูกับเรื่องความสัมพันธ์ ทฤษฎีนี้อาจกำลังบอกว่า เราไม่จำเป็นต้องบังคับ หรือคาดหวังให้ใครคิด หรือปฏิบัติเช่นเดียวกับเราในความสัมพันธ์ เพราะมีแต่จะทำให้เหนื่อยกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ หากใครที่อยากอยู่ในชีวิตเรา เขาจะไม่เอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ หรือจุดสุ่มเสี่ยงที่จะเสียเราไป แต่หากเขาเลือกที่จะทำบางอย่าง นั่นก็เป็นการเปิดเผยตัวตนของเขา ซึ่งเรามีสิทธิ์เลือก หรือตัดสินใจว่าจะเดินต่อไปกับเขาหรือไม่

เราไม่จำเป็นต้องเสียพลังงานชีวิตไปกับคนที่ปฏิบัติไม่ดีกับเรา และเราเลือกที่จะให้เกียรติ และเห็นคุณค่าในตัวเองได้

เมื่อ ‘Let Them’ เราจะรู้สึกถึงการควบคุมได้มากขึ้น มีความสงบทางอารมณ์มากขึ้น และมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับผู้คนในชีวิต

ในแง่นี้ ทฤษฎี ‘Let Them’ อาจช่วยปลดปล่อยเราจากความเหนื่อยล้าของการพยายามจัดการทุกสิ่งทุกอย่างและทุกคนรอบตัวเราได้

AUTHOR