“ตอนแรกแอบคบกันเงียบๆ เพราะที่บ้านไม่ค่อยยอมรับเรื่อง LGBTQIA+ เท่าไหร่”
“ด้วยความที่พ่อค่อนข้างหัวโบราณ เชื่อว่าผู้ชายต้องคบกับผู้หญิง ลูกผู้ชายต้องเป็นตำรวจต้องเป็นทหาร ช่วงแรกก็เลยแอบคบกันเงียบๆ แต่ตอนเกณฑ์ทหาร ผมจับได้ใบดำเลยวิ่งไปกอดแฟน แล้วพ่อกับแม่ก็แอบตามไปดู แล้วเห็นพอดี พ่อบอกว่าแฟนน่ารักดีนะ มากินข้าวด้วยกันสิ ตอนนั้นคือปลดล็อกสำหรับผมมาก”
“ความรักของเราคือการดูแลกัน การแบ่งปันและมอบความสุขให้แก่กัน และเราเองก็มีความสุข”
เรื่องราวความรักของ ‘ปอม-ทิยะ ปานะดิษฐ’ และ ‘แม็ค-ธเนศวร เปี่ยมสุขเจริญยิ่ง’ คู่รักวัยรุ่นที่ก่อนหน้านี้เคยเลิกรากันไป แต่ก็กลับมารักกันใหม่อีกครั้งและอยู่เคียงข้างกันทุกวันนี้ เพราะเกิดจากการแชร์ความรักและแบ่งปันซึ่งกันและกัน

‘เธอดึงดูดฉัน ฉันดึงดูดเธอ’
ปอม : เราเจอกันผ่านแอปฯ หาคู่ คุยได้สักพักก็เลิกรากัน จนผ่านไปประมาณ 2 ปีเศษๆ ก็ได้กลับมาคุยกันอีกรอบ จากนั้นก็คุยกันมาเรื่อยๆ
แม็ค : ตอนนั้นผมทำงานพาร์ตไทม์ เขา Direct Message IG มาถามว่าทำงานที่นี่หรอ แล้วก็ชวนคุย ส่วนตัวผมรู้สึกว่าเรื่องในอดีตผ่านไปแล้ว ก็เลยมองข้ามเพื่อเริ่มต้นใหม่
‘คนนี้แหละคู่ชีวิต ที่จะใช้ชีวิตคู่ไปด้วยกัน’
ปอม : การที่เราเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่ เราแค่อยากหาคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ เข้าใจในสิ่งที่เราเป็น พอคุยกันแล้วรู้สึกว่าเขาเป็นแบบนั้น ก็เลยคุยกันได้ยาวๆ
แม็ค : ผมรู้สึกว่านิสัยเขาเปลี่ยนไปจากครั้งแรกที่เราคุยกันครับ เขาดูโตขึ้น ไม่อารมณ์ร้อน อาจจะอารมณ์ร้อนสำหรับบางเรื่อง แต่ในบางเรื่องก็เย็น เขายอมรับได้กับสิ่งที่เราเป็น และเราก็ยอมรับได้กับสิ่งที่เขาเป็น

‘การแบ่งปันความสุขร่วมกัน นิยามความรักแบบฉบับปอม-แม็ค’
ปอม : การที่เรารักและมอบความสุขให้กับเขาได้ เราเองก็มีความสุข
แม็ค : การดูแลกัน การแบ่งปันกัน เช่น ทำอาหาร เทคแคร์กัน ได้อยู่ด้วยกันทุกๆ วัน แล้วรู้สึกสบายใจ
‘สื่อภาษารักผ่านการกระทำ และ คำพูด’
ปอม : ผมไม่ค่อยแสดงออก ไม่ค่อยบอกรัก แต่จะเน้นการกระทำ เช่น ไปเล่นด้วย หยิกพุง แต่จะไม่ชอบแสดงความรักในที่สาธารณะ ไม่ค่อยจับมือ ไม่ค่อยหอมแก้ม
แม็ค : แรกๆ แอบน้อยใจ ทำไมออกไปข้างนอกด้วยกันแล้วไม่จับมือ เพราะผมชอบจับมือ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าไม่ต้องแสดงออกต่อหน้าคนอื่นก็ได้ แค่อยู่ด้วยกัน เทคแคร์กันก็โอเคแล้ว ส่วนตัวผมจะบอกรักเขาทุกๆ วัน ช่วงก่อนนอน หรือ ตอนไหนที่อยากบอกก็บอกเลยครับ

‘คนหนึ่งเย็นเหมือนน้ำ คนหนึ่งร้อนเหมือนไฟ รวมกันแล้วกลายเป็นความสมดุล’
ปอม : ผมชอบความเป็นคนอารมณ์เย็นของเขา เพราะเวลาเราอารมณ์ร้อน เขาก็จะปลอบให้เราใจเย็นขึ้น แต่ข้อเสียของการเป็นคนอารมณ์เย็นมากๆ ที่เราไม่ชอบคือ การทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาว อาจจะด้วยความที่ยังเด็ก บางเรื่องเราก็อาจจะต้องเป็นผู้นำให้กับเขาบ้าง
แม็ค : ตอนแรกหงุดหงิดมากกับการเป็นคนอารมณ์ร้อนของเขา แต่พอมานั่งไตร่ตรอง ก็เข้าใจว่าสาเหตุส่วนใหญ่ก็มาจากเราด้วย บางทีเราทำอะไรไม่ค่อยมีเหตุผล ส่วนสิ่งที่ชอบ เราชอบความเป็นผู้ใหญ่ รู้สึกว่าพึ่งพาเขาได้ เวลามีปัญหา ถ้าปรึกษาเขา ก็จะได้คำตอบที่ดีและง่ายต่อการตัดสินใจ

‘ความเข้าใจจากครอบครัว ปลดล็อกชีวิตรัก’
ปอม : ที่บ้านผมรู้อยู่แล้วว่าเราเป็น LGBTQ ผมรักใครชอบใคร เขาก็รักด้วย แต่ก็ต้องให้เขาช่วยสแกนดูอีกทีว่าคนนี้ผ่านไหม
แมค : ส่วนที่บ้านผม ไม่ค่อยยอมรับเรื่อง LGBTQ เท่าไหร่ ด้วยความที่พ่อค่อนข้างหัวโบราณ เชื่อว่าผู้ชายต้องคบกับผู้หญิง ลูกผู้ชายต้องเป็นตำรวจ ต้องเป็นทหาร ช่วงแรกก็เลยแอบคบกันเงียบๆ แต่ตอนเกณฑ์ทหาร ผมจับได้ใบดำเลยวิ่งไปกอดแฟน แล้วพ่อกับแม่แอบตามไปดู เห็นพอดี พ่อบอกว่าแฟนน่ารักดีนะ มากินข้าวด้วยกันสิ ตอนนั้นคือปลดล็อก
ปอม : โชคดีที่พ่อแม่ของเราสองคนไม่ได้กีดกัน เลยง่ายนิดนึง
‘หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กัน เทคนิคประคองความรัก’
ปอม : ความเข้าใจและการมองข้ามข้อเสีย เวลาเราทะเลาะกัน เราจะเคลียร์เลย ไม่ปล่อยข้ามวัน เราจะไม่ทิ้งปัญหา แต่ต้องแก้ปัญหา หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กัน เลยอยู่กันมาได้ถึง 3 ปี
แมค: เหมือนกันครับ หนักนิดเบาหน่อยก็ให้อภัยกัน

‘ห้องนั่งเล่น และ ห้องนอน เซฟโซนสร้างความสุขและความสบายใจ’
แมค : ห้องนั่งเล่นครับ รู้สึกเป็นห้องที่ทำให้สบายใจ มันเหมือนเป็นไทม์โซนของความสุข ได้นั่งดูหนังกับแฟน หรือ เวลาเพื่อนมานั่ง พ่อแม่มานั่ง ก็สร้างช่วงเวลาที่ทำให้แฮปปี้ รู้สึกว่านี่แหละคือ ห้องที่ผมชอบ
ปอม : ห้องนอนครับ สำคัญที่สุดเลย เพราะบางทีทำงานมาเหนื่อยๆ ก็อยากทิ้งตัวลงนอน ถ้าตรงนั้นมีแฟนอยู่ด้วยก็จะยิ่งสบายใจ

‘ภาพชีวิตในฝันแบบเดียวกันของ ปอม กับ แม็ค’
“แบบเดียวกันครับ” ทั้งคู่ประสานเสียงตอบ หลังจากนั้นก็ปล่อยให้ปอมทำหน้าที่เป็นผู้ขยายความต่อ “เราเคยคุยกันครับว่าจะทำธุรกิจเล็กๆ ถ้าไม่อยากทำงานในกรุงเทพฯ แล้ว ก็อาจจะไปเปิดคาเฟ่ต่างจังหวัด ทำด้วยกัน เติบโตไปด้วยกัน”
“ถ้าเป็นเรื่องของครอบครัว อยากให้ลองเปิดใจคุยกันเลยว่า เราเป็นแบบนี้ แต่เราก็สามารถทำมาหากินเลี้ยงตัวเอง และเป็นคนดีของสังคมได้ โดยไม่ทำให้ใครเดือดร้อน หรือไม่เดือดร้อนใคร”
‘ปอม-ทิยะ ปานะดิษฐ’