Groundhog Day | 30 ปี ‘วันรักจงกลม’ ถึงคนที่ตกอยู่ในวังวนของชีวิตและกำลังหาทางหลุดพ้น

การพัฒนาเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดดหลังปี 2000 และการระบาดใหญ่ของไวรัสที่เปลี่ยนวิถีชีวิตของคนบนโลกนี้ไปอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่สะท้อนออกมาให้เราเห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนยิ่งขึ้นคือ การพบว่าเราใช้ชีวิตในรูปแบบเดิมวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา ตื่นนอนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไถหน้าจอ แปรงฟันอาบน้ำก็ต้องเตรียม (ไป) ทำงาน ตกดึกก็ไถดูฟีดอีกหน่อยแล้วค่อยนอน จากนั้นก็ตื่นขึ้นมาทำกิจวัตรแบบเดิมๆ นี้ซ้ำไปซ้ำมา ยิ่งมีการแจ้งเตือนในรูปแบบของ On This Day ทางโซเชียลเน็ตเวิร์กที่ทำให้หลายครั้งพบว่าเราทำอะไรแบบเดิมเหมือนปีที่ผ่านมา

จริงๆ แล้วสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาร่วมกันของผู้คนในทุกยุค และถูกนำมาพูดถึงอยู่เสมอ หนึ่งในนั้นคือการนำเสนอผ่านหนังเรื่อง Groundhog Day ที่ออกฉายในปี 1993 นำแสดงโดย บิล เมอร์เรย์ และ แอนดี้ แมคโดเวลล์ โดยเป็นเรื่องของนักข่าวพยากรณ์อากาศชื่อ ‘ฟิล’ ชายที่คนทั่วไปไม่ค่อยอยากจะสุงสิงด้วย เพราะเขาเป็นคนประเภทที่รวมความน่าอยู่ให้ห่างเอาไว้ในตัวคนเดียว ทั้งความจองหอง เย่อหยิ่ง เอาแต่ใจ รักใครไม่เป็น มองตัวเองว่าเป็นศูนย์กลางของจักรวาล จนวันหนึ่งเขาได้รับบทเรียนครั้งใหญ่นั่นคือตัวเองต้องติดอยู่ในลูปของวัน Groundhog Day วนเวียนซ้ำไปซ้ำมานานเป็นสิบๆ ปี

วันรักจงกลม

Groundhog Day เป็นวันประจำปีของสหรัฐอเมริกาและแคนาดา โดยเป็นวันพยากรณ์ว่าฤดูหนาวนั้นจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ และมีการจัดประเพณีทำนายทายทักด้วยการใช้เจ้ากราวนด์ฮ็อก (สัตว์ในตระกูลตัวตุ่น) มาทำนายสภาพอากาศต่อจากวันนี้ โดยเป็นประเพณีที่จัดขึ้นที่เมืองพังซูทาวนีย์ (Punxsutawney) ในรัฐเพนซิลเวเนีย และมีผู้คนมาร่วมเฉลิมฉลองมากมาย

การที่ต้องจำใจเดินทางมาทำข่าวงาน Groundhog Day ทำให้ฟิลพบว่าตัวเองต้องตกอยู่ในลูปของวันนี้แบบไม่มีวันสิ้นสุด ซึ่งไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม เมื่อถึงเวลาหกโมงเช้าอีกครั้ง เขาจะตื่นขึ้นมาในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ วนเวียนไปอย่างนั้นแม้ว่าเขาจะพยายามฆ่าตัวตายมาแล้วกี่รอบก็ตาม

Groundhog Day เป็นหนึ่งในหนังที่พูดถึงเรื่องการติดอยู่ในเวลาช่วงใดช่วงหนึ่ง (Stuck in Time) และส่งอิทธิพลให้กับหนังคล้ายๆ กันนี้หลายเรื่อง เช่น 50 First Dates (2004), The Time Traveler’s Wife (2009), About Time (2013), Edge of Tomorrow (2014) และ Two Distant Strangers (2020) ที่เป็นหนังสั้นของ Netflix เป็นต้น โดยหัวใจสำคัญของหนังเรื่องนี้คือ การเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่ออยู่ร่วมกับคนในสังคมและการเข้าอกเข้าใจคนอื่นอย่างแท้จริง

ที่มาของการตกนรกอเวจี (ปอยเปต) ชั่วกัปชั่วกัลป์

หนังเรื่องนี้เชื่อมโยงกับความเชื่อของคนเอเชียในเรื่องของการวนเวียนอย่างไม่รู้จบสิ้นด้วย โดยหลังจากที่ Groundhog Day ออกฉาย ผู้กำกับ ฮาโรลด์ เรมิส ได้รับจดหมายจากชาวพุทธที่ส่งมาชื่นชมเขาถึงการเอาแนวคิดนี้มาถ่ายทอด ส่วนชาวคริสต์ก็พูดถึงในแง่ของเรื่องทางจิตวิญญาณที่ทำให้เข้าใจได้ง่าย ซึ่งในส่วนของเนื้อเรื่องนั้น แดนนี รูบิน ผู้เขียนบทภาพยนตร์เล่าว่าเขาได้แรงบันดาลใจมาจากหนังเรื่อง Christmas Every Day (1892) ของ วิลเลียม ดีน ฮาวเวลส์ และนิยายเรื่อง Interview with the Vampire ของ แอน ไรซ์ ในแง่ของคนที่ต้องมีชีวิตที่ไม่มีวันตายนั้นจะเป็นอย่างไร

เดิมทีนักแสดงที่จะมารับบทฟิลในตอนแรกนั้น ผู้กำกับ เรมิส อยากให้ ‘ทอม แฮงส์’ มารับบทนี้ แต่ทีมงานส่วนใหญ่ได้คัดค้านด้วยเหตุผลว่า แฮงส์ นั้น มีบุคลิกของผู้ชายที่ดีเกินไป ซึ่งขัดกับบุคลิกของตัวละครที่เป็นผู้ชายที่น่ารังเกียจไม่มีใครอยากคบ และยังมีผู้ท้าชิงบทนี้อีกหลายคน เช่น สตีฟ มาร์ติน, โรบิน วิลเลียมส์ หรือ จอห์น ทราโวลตา ด้วย แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกปัดตกไปด้วยเหตุผลเดียวกัน ยกเว้นแค่ ไมเคิล คีตัน ที่ปฏิเสธบทนี้เอง

หลังจากหนังออกฉายก็ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน The 100 greatest comedies of all time ของทาง BBC โดยอยู่ที่อันดับ 4 ส่วนสามอันดับแรกคือ Some Like It Hot (1959), Dr. Strangelove or: How I Learned to Stop Worrying and Love the Bomb (1964) และ Annie Hall (1977) ทั้งยังถูกจัดให้อยู่ในหนังสือชุด 1001 Movies You Must See Before You Die โดย สตีเวน เจย์ ชไนเดอร์ ด้วย

ความตั้งใจแรกของผู้กำกับได้วางโครงเรื่องให้ฟิลใช้ชีวิตวนเวียนอยู่ในวัน Groundhog Day เป็นเวลาหนึ่งหมื่นปี แต่สุดท้ายหนังก็ถูกปรับและประมาณการไว้ว่าฟิลใช้ชีวิตอยู่ในลูปเวลานี้ที่สิบปี โดยฉากที่เขาถูก ริต้า นางเอกของเรื่องตบหน้า ปรากฏให้เห็นในหนังสิบครั้ง และชื่อของริต้านี้ก็เป็นชื่อของนางเอกในหนังเรื่อง Edge of Tomorrow (2014) นำแสดงโดย เอมิลี บลันต์ ซึ่งหนังเรื่องนี้ใช้แท็กไลน์ว่า Live, Die, Repeat, Edge of Tomorrow และมีการอธิบายว่าธีมของหนังคือ Sci-Fi Groundhog Day

ตัวเลข 339.88 คือ จำนวนเงินที่ริต้าใช้ประมูลฟิลในงานเลี้ยงช่วงท้ายเรื่อง หากใช้สกิลช่างเชื่อมเปลี่ยนให้เป็นจำนวน 33,988 วัน และเริ่มนับในวันที่ 1 มกราคม ปี 1900 สามารถแปลงได้เป็นจำนวน 93 ปี 43 วัน (ไม่นับวันอธิกสุรทินหรือให้สามสิบวันเท่ากับหนึ่งเดือน) ก็จะตรงกับวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ปี 1993 ซึ่งเป็นวันที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉาย

การเรียนรู้จากวงกลมชีวิตของฟิลที่หมุนอย่างกระท่อนกระแท่น

แม้หนังเรื่องนี้จะผ่านมาแล้วถึง 30 ปี แต่ Groundhog Day ก็ยังสามารถเชื่อมโยงกับผู้คนในตอนนี้ได้ ทั้งประเด็นของความรู้สึกเบื่อหน่ายที่ครอบตัวเราไว้ในชีวิตประจำวัน การปรับตัวและการหันกลับมาแก้ไขพฤติกรรมของตัวเอง การให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติตัวกับผู้อื่น การเลือกที่จะพูดและแสดงความคิดเห็น การแสดงออกถึงความรักและความเอาใจใส่ ปัญหาที่น่าปวดหัวในการดำรงชีวิต ตั้งแต่การมีภาระผูกพันที่ซับซ้อน หรือในเรื่องของความสัมพันธ์ที่ทำให้เรามูฟออนเป็นวงกลม

โดยเราจะเห็นว่าในช่วงแรกฟิลได้ใช้ความเจ้าเล่ห์ของตัวเองในการได้มาซึ่งสิ่งที่เขาต้องการ โดยไม่สนใจว่าคนอื่นจะรู้สึกอย่างไร เพราะเมื่อเวลาผ่านไปจนถึงตอนหกโมงเช้า ทุกอย่างจะรีเซตกลับมาเป็นเหมือนเดิม และเมื่อฟิลรู้ว่าตัวเขาสามารถที่จะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องแคร์ใคร แต่ก็มีสิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้สำเร็จคือ การชนะใจริต้าหญิงสาวที่เขารัก แม้เขาจะใช้วิธีซื้อใจของเธอเท่าไหร่ก็ตาม (แตกต่างกับเฮนรี ใน 50 First Dates ที่เขายังประสบความสำเร็จในบางวันได้) จนสุดท้ายวังวนของการใช้ชีวิตแบบเดิมซ้ำไปซ้ำมาก็ทำให้เขาหมดอาลัยตายอยากในชีวิต แม้จะใช้ความตายเป็นเครื่องมือพาเขาให้พ้นทุกข์ก็ทำไม่ได้

หลังจากที่วนเวียนอยู่ในห้วงเวลาที่ทุกข์ตรมมาจนนับไม่ถ้วน ฟิลก็ได้ตื่นรู้และ ‘เกิดใหม่’ ด้วยการปรับเปลี่ยนตัวเอง โดยช่วงเวลาในหนึ่งวันนี้ค่อยๆ ทำให้เขาค้นพบความหมายของการมีชีวิตอยู่ผ่านชีวิตของคนในเมืองพังซูทาวนีย์ รวมทั้งริต้ากับแลร์รีทีมงานทั้งสองคนของเขา โดยแสดงให้เห็นว่าเราสามารถมีความสุขในวันที่น่าเบื่อได้ ด้วยการเปลี่ยนวิธีคิดและการกระทำเดิมๆ ของตัวเอง ซึ่งความสุขที่แท้จริงของฟิลไม่ได้มาจากการกระทำเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง แต่เป็นการที่เขาเริ่มทำบางอย่างเพื่อคนอื่น รวมทั้งพยายามตามหาสิ่งใหม่ๆ จากเหตุการณ์เดิมๆ รวมถึงการเรียนรู้สิ่งใหม่จนกลายเป็นฟิลคนใหม่ที่ใครๆ ต่างก็รักเขา รวมถึงริต้าหญิงสาวผู้เป็นรักเดียวของเขาด้วยเช่นกัน

ดังนั้นใครที่รู้สึกว่าแต่ละวันของตัวเองน่าเบื่อ ซ้ำซาก ได้แต่ใช้ชีวิตแบบเดิมๆ จนห่อเหี่ยว หรือแม้กระทั่งเรื่องความสัมพันธ์ที่รู้สึกไม่ก้าวหน้าขึ้นเลยแม้แต่น้อย หนังเรื่องนี้น่าจะมีแง่มุมและให้ข้อคิดบางอย่างกับคุณได้ อย่างน้อยก็น่าจะทำให้ช่วงเวลาที่นอนดูหนังเรื่องนี้มีรอยยิ้มของคุณปรากฏขึ้นมาได้บ้าง

AUTHOR

PHOTOGRAPHER