ตามไปดูคอนเสิร์ตกลางสายฝนในเมืองเก่าของนาระที่งาน Asuka Design Week

นาระ จังหวัดเงียบๆ ที่มักถูกมองข้ามเวลาเราไปเที่ยวญี่ปุ่นแถบคันไซ หากถามว่าโอซาก้าหรือเกียวโตมีอะไรน่าสนใจหรือน่าเที่ยวบ้างก็คงจะได้รับคำตอบมาเป็นชุด แต่สำหรับนาระ… (นิ่งไปสามวินาที) เรามักจะได้ ‘กวาง’ เป็นคำตอบ เพราะเจ้าพวกกวางเหล่านี้เชื่องมากจนออกมากินขนมเซมเบ้จากมือนักท่องเที่ยวที่นาระพาร์กจนเป็นจุดเด่นของจังหวัด (เพียงอย่างเดียว) บ่อยๆ

ไม่ใช่เพียงแต่นักท่องเที่ยวเท่านั้นที่แทบไม่ค่อยรู้จักนาระ แม้แต่คนญี่ปุ่นส่วนมากเองก็ยังมองข้ามเมืองนี้ไปเหมือนกัน Asuka Design Week เลยถูกจัดขึ้นที่เมืองอะสุกะ เมืองเล็กๆ ในจังหวัดนาระ ที่คนอีกจำนวนมากก็คงไม่ทราบว่าเมืองนี้เก่าแก่ถึง 1,400 ปี อีกทั้งยังเป็นต้นของประวัติศาสตร์ชาติญี่ปุ่น แต่ก็กลับถูกมองข้ามอยู่บ่อยๆ และเพื่อทำให้ท้องถิ่นเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากขึ้น จึงใช้งานศิลปะท้องถิ่น การแสดง และดนตรีเป็นเครื่องมือเพื่อดึงดูดให้คนมาเที่ยวและทำความรู้จักกับเมือง จนกลายมาเป็นงานนี้

เทศกาล DESIGN WEEK เริ่มจัดครั้งแรกที่โตเกียวในปี 1986 แล้วเวียนไปจัดตามเมืองต่างๆ ในญี่ปุ่น หลังจากนั้นก็ได้ขยายโครงการไปยังประเทศอื่นๆ โดยจัดมาแล้วกว่าร้อยเมืองทั่วโลก (ที่เชียงใหม่เองก็เคยจัด Chiang Mai Design Week มาแล้วสองครั้งด้วย) เพื่อสนับสนุน สร้างความร่วมมือ พัฒนา แลกเปลี่ยนความรู้ ส่งเสริมการพัฒนาทางศิลปะที่จะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ ส่งเสริมการท่องเที่ยว และเกิดการจ้างงาน โดยในแต่ละเมือง บรรดาผู้ที่อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมการออกแบบก็จะรวมตัวกัน ส่งต่อข้อมูล เชื่อมโลกเข้าด้วยกันผ่านการออกแบบ บรรดานักออกแบบญี่ปุ่นที่เข้าร่วมก็ยังได้แสดงให้เห็นการใช้วัตถุดิบพื้นบ้านที่พบได้จากสถานที่ต่างๆ ในประเทศอีกด้วย

Asuka Design Week ครั้งนี้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 13 – 15 ตุลาคมที่ผ่านมา (ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว) ในชื่อธีม ‘Ancient Asuka Culture Festival’ หรืองานแสดงวัฒนธรรมอะสุกะ ผู้ชมสามารถรับชมประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเมืองเก่า และชมการแสดงต่างๆ อีกทั้งยังมีการแสดงผลิตผลทางการเกษตร และมีอาหารอร่อยๆ ให้เลือกชิมกันอีกด้วย

เราเดินทางมาถึงในช่วงเย็นวันสุดท้ายที่มีคอนเสิร์ตกลางแจ้งของศิลปินรุ่นใหม่แต่ฝีมือดี แม้ว่าฝนจะตกไม่หยุด หนักบ้างเบาบ้าง แต่คนดูก็ยังไม่ไปไหน นั่งกางร่มดูคอนเสิร์ตกลางฝนต่อไป เมื่อเราลองมองไปรอบๆ จึงได้พบว่าบริเวณจัดงานนั้นรายล้อมไปด้วยภูเขา ที่มีหมอกขาวลอยอยู่บนยอด อืม…ก็ได้บรรยากาศชุ่มฉ่ำสดชื่นไปอีกแบบ

ตอนที่มาถึง การแสดงละครพื้นบ้านเพิ่งจบไปพอดี มีคนมารับไม้ต่อบนเวทีเป็นนักร้องสาวที่สะพายกีตาร์ขึ้นมายืนทักทายคนดูอย่างเป็นกันเอง เธอมีชื่อว่า Rei ซึ่งเป็นทั้งนักร้อง นักแต่งเพลง และมือกีตาร์ผู้มีน้ำเสียงและสำเนียงการเล่นกีตาร์อันโดดเด่น เธอเคยใช้ชีวิตในวัยเด็กที่นิวยอร์ก ตอนหัดเรียนกีตาร์นั้นเรอิเริ่มจากการเรียนกีตาร์คลาสสิกตอนอายุเพียง 4 ขวบ ก่อนจะเปลี่ยนมาเรียนกีตาร์บลูส์ในภายหลังซึ่งก็คือหนึ่งปีต่อมา (ห้าขวบ!!!) เรอิเคยร่วมแสดงดนตรีในเทศกาลดนตรีระดับประเทศ และระดับนานาชาติมาแล้วมากมายทั้ง FUJI ROCK FESTIVAL หรือแม้แต่ SUMMER SONIC โดยที่ตอนนี้เธอมีอายุแค่ 24 ปีเท่านั้น

เพลงบลูส์จากกีตาร์และเสียงร้องของเรอิทำให้ผู้คนคึกคักโยกตัว ตบมือกันท่ามกลางสายฝน ก่อนที่จะมอบเวทีต่อให้กับ Rina Katahira นักร้องและนักแต่งเพลงจากฟุกุชิมะที่อายุเพียง 25 ปี รินะสะกดคนดูด้วยเสียงหวานซึ้งปนเศร้าพร้อมกับดีดกีตาร์โปร่งในมือไปด้วย เป็นความเท่แบบที่ผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่เวลาได้เห็นหญิงสาวร้องเพลงและเล่นกีตาร์ได้อย่างสุดฝีมือแบบนี้แล้วมันดีจริงๆ ไม่ใช่แค่นั้น ในเพลงสุดท้าย เรอิก็กลับขึ้นมาบนเวที แล้วสองสาวก็ร้องเพลง All You Need Is Love ของ The Beatles ร่วมกันให้ได้ฟินเป็นการส่งท้าย

ก่อนแสงอาทิตย์กำลังจะหมดไป มีการแสดงคั่นหนึ่งชุด เป็นกลุ่มชายหลากหลายวัยโกนศีรษะใส่ชุดนักบวชขึ้นมาจัดโต๊ะทำพิธีกันบนเวที ท่องบทสวดพร้อมกันก้องไปทั้งหุบเขา ความรู้สึกของเราตอนนั้นคือขลังมาก ขนลุกไปหมด คนดูทุกคนเงียบกริบไปด้วย ผมถามคนญี่ปุ่นแถวนั้นว่าเขากำลังแสดงเกี่ยวกับอะไร คนญี่ปุ่นตอบว่านี่ของจริงไม่ใช่การแสดง เขาสวดมนต์เคารพเทพเจ้าบนภูเขาจริงๆ อ้าว! เราก็เดินไปเดินมาถ่ายรูปซะเพลินเลย

หลังจากนั้นการแสดงบนเวทีก็ต้องพักไว้ชั่วครู่เพราะต้องรอให้ฟ้ามืดสนิทก่อนถึงจะเริ่มโชว์ต่อไปได้ เราเลยเดินไปดูนิทรรศการแสดงภาพวาดจากหนังสือ Poupelle of Chimney Town ที่จัดบนเนินใกล้ๆ เวทีระหว่างรอการแสดงชุดต่อไป

เจ้าของผลงานนี้คือ Akihiro Nishino ศิลปินชาวญี่ปุ่นซึ่งนอกจากการวาดภาพ เขายังมีผลงานด้านการแสดงทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังมาแล้ว เขาใช้เวลากว่า 4 ปีครึ่งในการทำหนังสือภาพนี้ออกมา โดยเป็นเรื่องราวน่ารักๆ ของคนส่งของที่ดันทำของที่ต้องส่งซึ่งก็คือหัวใจหล่นหายลงไปในเมืองที่เต็มไปด้วยปล่องควันสูงมากมายในคืนวันฮาโลวีน หนังสือเล่มนี้เป็นที่นิยมของทั้งเด็กและผู้ใหญ่จนได้รับการตีพิมพ์กว่า 320,000 เล่ม เห็นว่า Poupelle of Chimney Town กำลังจะทำเป็นแอนิเมชันและจะออกฉายในปี 2562 อีกด้วย

ในการโชว์ที่เมืองอะสุกะนี้ เขาพิมพ์ภาพจากหนังสือลงบนแผ่นอะคริลิกที่ทำหน้าที่เหมือนป้ายไฟวางไว้กลางแจ้ง เรียงภาพจากหนังสือทีละหน้าเป็นเรื่องราว เราเดินดูภาพเหล่านี้ส่องแสงอยู่กลางความมืด ทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในเมืองแห่งปล่องไฟคืนวันฮาโลวีนด้วยจริงๆ

ไม่นานนักเสียงกลองก็ดังขึ้นเหมือนชวนออกรบ บนเวทีถูกรับหน้าที่โดยกลุ่มชายหนุ่มและหญิงสาวในนามกลุ่ม ยามาโตะ ที่มาพร้อมกับ ไทโกะ กลองญี่ปุ่นขนาดใหญ่ที่ทำจากต้นไม้อายุกว่า 400 ปี หลายสิบใบ หนุ่มสาวบนเวทีซัดกลองกันแบบไม่ยั้ง ทำให้ผู้ชมคึกคักเป็นการส่งท้ายท่ามกลางสายฝนที่ไม่ยอมจากไปไหนเหมือนตั้งใจร่วมสนุกไปกับเราด้วย อ้อ กลุ่มนักแสดงกลองไทโกะกลุ่มนี้ตั้งชมรมอยู่ที่เมืองอะสุกะนี่เอง แต่ฝีมือดีจนรับไปแสดงในต่างประเทศมาแล้วกว่า 3,000 ครั้ง ใน 54 ประเทศทั่วโลกเลยนะ ถึงว่า หวดกลองกันสะใจมาก

เมื่อเสียงกลองเงียบลง เสียงพลุก็ดังขึ้นจากในป่า ท้องฟ้าถูกสาดด้วยประกายของดอกไม้ไฟสีต่างๆ ก่อนที่พิธีกรจะกล่าวทิ้งท้ายว่า งานดีไซน์วีคครั้งต่อไปจะจัดขึ้นที่เมืองอุเระชิโนะ จังหวัดซากะ (Ureshino Design Week) เมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องของออนเซนและใบชา ซึ่งจะมีการแสดงการบรรเลงซามิเซนและขลุ่ยญี่ปุ่น อีกทั้งยังมีศิลปินท้องถิ่นร่วมแสดง โดยการจัดงานคราวนี้จะเป็นการร่วมมือกันของหมู่บ้านอินะกะดาเตะ เมืองโอวานิ เมืองฮิโรซากิและจังหวัดอะโอโมริ ในวันที่ 10 – 12 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ ใครไปชมใบไม้แดงแถวนั้นพอดี บอกเลยว่าไม่อยากให้พลาดครับ สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเข้าไปดูได้ที่ ureshinodesignweek.jp/

AUTHOR