Ghibli Magic เวทมนตร์อนิเมะที่โอบกอดหัวใจ ในวันที่โลกไม่น่ารัก

ในโลกที่ความวุ่นวายถาโถมเข้ามาเหมือนพายุ หลายคนจึงมองหา ‘หลุมหลบภัย’ เพื่อหลีกหนีความจริง หนึ่งในเซฟโซนยอดนิยม คงจะหนีไม่พ้นแอนิเมชันจาก Ghibli ที่เปรียบเหมือนผ้าห่มผืนบางที่โอบกอดจิตใจในวันที่เราเหนื่อยล้าจนเกินจะรับไหว 

การได้ท่องโลกแฟนตาซีใน Spirited Away, เดินกางร่มเคียงคู่ไปกับ Totoro, เรียนรู้การเป็นแม่มดร่วมกับ Kiki หรือสำรวจป่าลึกลับใน Princess Mononoke ทุกเรื่องราวอันแสนมหัศจรรย์นี้ พาหัวใจรู้สึกอบอุ่นอย่างลึกซึ้ง ผ่านเวทมนตร์ฉบับ Ghibli ที่เทคโนโลยี หรือ AI หน้าไหนลอกเลียนแบบไม่ได้ 

ชื่อของ Ghibli Studio ไม่ได้มาจากเครื่องบินรบอิตาลีสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงลมร้อนในทะเลทรายซาฮารา ซึ่งตั้งแต่ปี 1985 จนถึงปัจจุบัน พวกเขาก็ยังคงเป็น 

‘ลมลูกใหม่ในวงการอนิเมะ’ ตามที่ตั้งใจไว้ได้อย่างไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าพร้อมจะตกหลุมรักเวทมนตร์ Ghibli บทนี้แล้ว ก็ตามไปร่ายคาถากันเลย 

จิตวิญญาณที่สะท้อนผ่านลายเส้นวาดมือ 

ลายเส้นที่ประณีต พริ้วไหว สมจริงตั้งแต่ปลายผมตัวละคร ไปจนถึงไอน้ำจากหม้อที่กำลังระอุ ทั้งหมดคือเสน่ห์ที่ไม่มีใครเหมือนของแอนิเมชันจาก Ghibli Studio 

ต้องยกความดีความชอบให้กับ ‘ฮายาโอะ มิยาซากิ’ หนึ่งในผู้ก่อตั้งของ Ghibli ที่ยึดมั่นในเทคนิคการใช้ลายเส้นวาดมือ หรือ Hand-drawn animation มาตั้งแต่วันแรกที่ก่อตั้ง ภายใต้ความเชื่อที่ว่าการวาดมือทำให้รู้สึกถึงชีวิต และภาพที่วาดโดยคนจริงๆ ทำให้ผู้ชมรู้สึกถึง ‘จิตวิญญาณของศิลปิน’ ที่อยู่ในทุกๆ ลายเส้น

ถ้าสังเกตดูดีๆ แอนิเมชันจากค่ายนี้ ใช้เทคนิคการวาดมือแทบทั้งหมด แม้จะมีการใช้เทคโนโลยีช่วยในการลงสีบางส่วน แต่ภาพเคลื่อนไหวหลักๆ ยังคงวาดมือในทุกเฟรม โดย Ghibli Studio มีการก่อตั้ง Studio Ghibli Training Program สถานที่ฝึกนักวาดใหม่ให้เข้าใจกระบวนการแอนิเมชันแบบดั้งเดิม พวกเขาจะได้รับการฝึกฝนเทคนิค interval frames ที่ช่วยทำให้การเคลื่อนไหวลื่นไหลอย่างธรรมชาติแบบที่โมเดล 3D ทำไม่ได้ 

เราไม่ได้ต่อต้านคอมพิวเตอร์ แต่การใช้มันทำแอนิเมชัน

ก็เหมือนกับการกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแทนที่จะทำอาหารจริง

แอนิเมชันเรื่องล่าสุดของมิยาซากิอย่าง The Boy and the Heron (2023) หรือเด็กชายกับนกกระสา ใช้การวาดมือเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ด้วยเฟรมกว่า 170,000 เฟรม ทำให้ใช้เวลาในการสร้างยาวนานถึง 7 ปี ก่อนจะปรากฏบนจอให้คนทั่วโลกได้ชมภาพสุดประณีตผ่านลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์ 

ในวันที่เทคโนโลยี AI เข้ามาลดทอนคุณค่าของผลงานศิลปะ มิยาซากิเคยแสดงทัศนคติต่อต้าน AI อย่างชัดเจนมาตั้งแต่ปี 2016 โดยเขาบอกอย่างกล้าหาญว่า “ผมดูสิ่งนี้แล้วไม่รู้สึกสนใจเลย คนที่สร้างสิ่งนี้ขึ้นมาไม่เข้าใจความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผมรู้สึกขยะแขยงอย่างที่สุด”

ความเรียบง่ายที่สวยงาม

สารภาพมาซะดีๆ ว่าใครนั่งท้องร้องตอนดูฉากทำอาหารจากการ์ตูน Ghibli เรียกได้ว่าแทบจะเป็นลายเซ็นซิกเนเจอร์ของแอนิเมชันจากค่ายนี้ไปแล้ว ที่สามารถสร้างฉากเรียบง่ายอย่างการปรุงอาหารหน้าเตา หรือล้อมวงนั่งกินข้าวได้สวยงามละเมียดละไม จนทำให้คนดูอย่างเราละสายตาไม่ได้ 

วิถีชีวิตที่เรียบง่าย ค่อยเป็นค่อยไป เสมือนตัวละครกำลัง ‘ใช้ชีวิตประจำวัน’ ให้เราดู คืออีกหนึ่งเวทมนตร์ของ Ghibli ที่ทรงพลังมากกว่าฉากแอ็กชันอลังการจากเรื่องไหนๆ พวกเขาใช้เทคนิคการเว้นช่องว่างให้คนดูได้พักหายใจ และรู้สึกร่วมไปกับตัวละครที่กำลังดำเนินชีวิตของตัวเองอย่างไม่รีบร้อน 

แม้โลกในจินตนาการของ Ghibli จะเต็มไปด้วยความแฟนตาซี หลุดโลก และไม่มีทางหาได้ในชีวิตจริง แต่การใส่ฉากสุดเรียบง่าย อย่างการทำอาหารเช้าหน้าเตาในเรื่อง Howl’s Moving Castle ที่ทำให้เราเห็นว่าบ้านวิเศษหลังนี้ ก็มีมุมธรรมดาเหมือนบ้านหลังอื่นๆ หรือแม้กระทั่งฉากกางร่มรอรถเมล์ของ My Neighbor Totoro ที่ใช้เสียงฝนปลอบโยนหัวใจเราให้อบอุ่น ไปจนถึงการนั่งกินข้าวปั้นธรรมดาในเรื่อง Spirited Away ก็ทำให้คนดูรู้สึกอบอุ่นหัวใจไปด้วยกันได้ 

ทั้งหมดคือความธรรมดาแสนพิเศษที่ชวนให้เราลองหันกลับมามองชีวิตประจำวันในโลกความจริง เพื่อค้นหา ‘ความสวยงาม’ ที่ซ่อนอยู่

ปรัชญาที่อยู่ใต้ฉากการ์ตูน

ฉากหน้าของ Ghibli อาจเป็นแอนิเมชันสีสันสดใส ดำเนินเรื่องด้วยเหล่าตัวละครที่มีพลังวิเศษ แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังความเสมือนจริงเหล่านั้น ได้แฝงปรัชญาในการใช้ชีวิตบนโลกจริงไว้อย่างเข้มข้นแทบทุกอณู 

หนึ่งในแอนิเมชันที่ประสบความสำเร็จจนไปคว้ารางวัลออสการ์มาได้ก็คือ Spirited Away (2001) เรื่องราวการผจญภัยในโลกแฟนตาซีของเด็กหญิงวัย 10 ขวบ ที่ว่ากันว่าถ้าเราดูเรื่องนี้ในวัยที่ต่างกัน ก็จะได้รับสารที่ผู้กำกับตั้งใจจะสื่อต่างกันออกไปด้วย ไม่ว่าจะระบบทุนนิยมขนาดย่อมที่แฝงในโรงอาบน้ำ, ผีไร้หน้าที่สะท้อนความเหงาของคน รวมถึงความโลภที่กลายเป็นสัญชาตญาณดิบของมนุษย์ ทั้งหมดกลายเป็นธีมสำคัญที่แฝงอยู่ใต้ภาพที่เหมือนฝัน

Spirited Away ไม่ใช่โลกแฟนตาซีที่พาเราหนีความจริง 

แต่มันคือกระจกที่สะท้อนความจริงผ่านนัยในเรื่อง

อีกหนึ่งปรัชญาที่ซ่อนอยู่ใน Ghibli แทบทุกเรื่องคือการให้ความสำคัญกับ ‘ธรรมชาติ’ ทั้งการละเมียดละไมวาดต้นไม้ ใบหญ้าให้สวยงามเหมือนของจริง รวมถึงเนื้อหาของแต่ละเรื่องที่มักมีการเกี่ยวโยงกับธรรมชาติไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเรื่อง Princess Mononoke (1997) แอนิเมชันสร้างชื่อที่ทำให้ Ghibli Studio มีชื่อเสียง เล่าเรื่องราวความขัดแย้งระหว่างป่ากับมนุษย์ เมื่อป่าในเรื่องไม่ใช่เพียงฉากหลัง แต่มันคือ ‘ตัวละคร’ ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันเรื่องราว

ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นกระบอกเสียงสำคัญในการพูดถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ยังแก้ไม่หายมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน 

และเนื่องจาก 2 ผู้ก่อตั้งอย่าง ฮายาโอะ มิยาซากิ (Hayao Miyazaki) และ อิซาโอะ ทาคาฮาตะ (Isao Takahata) ต่างก็เติบโตมาในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้พวกเขาต่อต้านสงครามในทุกรูปแบบ และไม่เคยเชื่อว่า ‘สงครามมีฮีโร่’ 

ทัศนคติที่ชัดเจนนี้ สะท้อนผ่านผลงานชิ้นสำคัญอย่าง Grave of the Fireflies (1988) ภาพยนตร์ที่ได้ชื่อว่าทำให้คนจิตตกมากที่สุดหลังดู เล่าเรื่องราวของความจริงที่เจ็บปวดในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านมุมมองของเด็กที่ไร้เดียงสา 2 คนที่กลายเป็นเหยื่อในสงครามครั้งนี้ 

Ghibli ไม่ใช่การ์ตูนวัยใสเหมือนที่หลายคนคิด เสน่ห์ของมันคือการสอดแทรก ‘นัย’ ที่ต้องใช้ประสบการณ์ชีวิตเป็นใบผ่านทางถึงจะเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ 

เติบโตไปกับตัวละคร

‘สีเทา’ น่าจะเป็นคำจำกัดความตัวละครแบบ Ghibli ได้ดีที่สุด เพราะไม่ว่าจะตัวเอก ไปจนถึงตัวประกอบที่ออกไม่กี่ซีน ทุกตัวล้วนเป็นตัวแทนของมนุษย์ที่มีหลายมิติ ไม่มีใครเป็นคนดีสีขาว 100 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงเหล่าตัวร้ายก็ไม่มีใครเลวจนดำสนิทไปเสียหมด การเป็นพี่เลี้ยงทางบ้านที่เฝ้ามองทุกๆ ตัวละครเติบโต จึงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คนดูรักและอินไปกับพวกเขาอย่างลึกซึ้ง 

ตัวเอกของแอนิเมชันค่ายนี้ล้วนมี ‘จุดบกพร่อง’ ที่รอการแก้ไข ตัวละครที่เห็นได้ชัดสุดคือพ่อมดหนุ่มหล่ออย่าง ‘ฮาวล์’ จากเรื่อง Howl’s Moving Castle (2004) ที่ภายนอกดูเป็นพ่อมดที่เก่งกาจมากไปด้วยเสน่ห์ แต่ความจริงแล้วกับเก็บซ่อนความกลัว สับสน และไม่มั่นใจในตัวเอง ทำให้เขาเลือกที่จะไม่อยู่ฝ่ายไหนในสงคราม และซ่อนตัวเองไว้ในบ้านเคลื่อนที่แห่งนี้ จนได้เจอกับ ‘โซฟี’ หญิงสาวต้องคำสาปที่ต้องกลายเป็นหญิงชรา ความอบอุ่นของเธอเข้ามาละลายน้ำแข็งในจิตใจ ทั้งสองเรียนรู้ เข้าใจ และยอมรับกันและกันจากภายใน ไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอก

​​อีกหนึ่งเรื่องที่ตรึงใจผู้ชมไว้ได้อย่างอยู่หมัดคือ Kiki’s Delivery Service (1989) เรื่องราวของแม่มดน้อยวัย 13 ปีที่ต้องออกเดินทางไปค้นหาตัวเอง พร้อมทั้งเผชิญหน้ากับภาวะหมดไฟที่กำลังกัดกินตัวตนของเธอ ‘กีกี้’ ไม่ใช่แม่มดผู้ยิ่งใหญ่ที่กอบกู้โลก สิ่งที่ทำคือการขี่ไม้กวาดส่งของ เธอจึงเป็นตัวแทนของคนธรรมดาที่เริ่มต้นชีวิตในเมืองใหม่ เผชิญหน้ากับความไม่คุ้นเคย และอดทนกับความเหนื่อยล้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือธรรมชาติของการเติบโตที่ทุกคนต้องผ่านไปให้ได้ 

ไม่มีใครรู้คำตอบชีวิตทั้งหมดในวัย 13 ปี (หรือแม้แต่ 30)

ความสับสนคือส่วนหนึ่งของการหาทางไปข้างหน้า

เหล่าตัวละครที่ไม่ดีเลิศเหล่านั้น ล้วนเป็นตัวแทนของมนุษย์ทุกคนในโลกแห่งความเป็นจริง การได้เฝ้ามองตัวละครเติบโต เผชิญหน้ากับปัญหา และเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นในตอนจบ จึงเป็นเหมือนแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต ให้เรากล้าที่จะลุกขึ้นมาสู้กับโลกที่โหดร้ายกันอีกสักครั้ง 

เมื่อเราเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โลกที่เต็มไปด้วยสายรุ้งเมื่อตอนเด็ก อาจเต็มไปด้วยเมฆฝนมาแทนที่ ท่ามกลางสายฝนแห่งความสิ้นหวังที่เข้ามากัดกินตัวตนเราทีละน้อย ยังคงมีแอนิเมชันจาก Ghibli ที่เป็นเหมือนสถานที่เล็กๆ ให้เราได้หลบฝน พักเหนื่อย และหายใจได้ลึกๆ อีกครั้ง ความละเมียดละไมที่ใส่ใจในทุกๆ องค์ประกอบ พาให้เราเชื่อในความงดงามของโลกใบนี้อีกครั้ง นี่สินะ..เวทมนตร์ฉบับ Ghibli ที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย

AUTHOR