ต้องกั๊กแล้วถ่ายก่อนนะเตง ผู้คนพลุกพล่านท่ามกลางตึกสูงต่ำเรียงรายกันเป็นตับ เท้าหลั่งไหลเดินเข้าราวกับว่าที่นี่ไม่มีเวลาปิดทำการ นึกออกหรือยังว่าที่ไหน ถ้ายังก็จะใบ้ให้อีกหน่อยว่ามันคือศูนย์กลางจักรวาลของวัยรุ่นทุกยุค
ใช่แล้ว – จะเป็นที่ไหนไปได้ นอกจาก สยาม! กองถ่ายหนัง GELBOYS คือหนึ่งในฝูงชนที่เคลื่อนตัวกันอยู่อย่างลับๆ (?) พร้อมด้วยเสียงสั่งคัตของผู้กำกับ ‘บอส กูโน’ และตากล้องคู่หูอย่าง ‘ตั้ง-ตะวันวาด วนวิทย์’ ผู้ที่จะมาถอดกระบวนการให้เราฟังว่าซีรีส์ติดกระแสที่เห็นกันถูกถ่ายทำด้วยโทรศัพท์ทั้งหมด ฟังดูจะเครซี่ว่าไม่มีทางแน่ๆ แต่ความไม่มีทางพวกนั้นกลายเป็นความจึ้งในวันนี้ที่ควรต้องจารึกไว้

เล็บเจลที่ฉีกกรอบเรื่องเพศ สีสันฉูดฉาดบนเสื้อผ้า ความสัมพันธ์ยุ่งเหยิงของเด็กหนุ่มทั้ง 4 คน โทรศัพท์ที่ไม่ได้มีไว้แค่โพสต์คลิปเต้น TikTok แต่ยังรวบรวมความรู้สึกของผู้ใช้งาน และความทรงจำการถ่ายทำซีรีส์เรื่องนี้เอาไว้ ถ้าใครคิดถึงบรรยากาศตอนยังเอ๊าะๆ ได้เดินโลดแล่นทั่วสยาม ชายตามองหาคนที่ชอบ นั่งเรียนพิเศษข้างๆ กัน ความโรแมนติกในชุดนักเรียน คราบน้ำตาของวัยเสียงแตก ทั้งหมดนั้นหาดูได้ใน GELBOYS (ไม่เชื่อลองเปิดดูสิ)
ครั้งแรกที่ได้อ่านบท ตั้งลงความเห็นว่าเด็กในเรื่องติดโทรศัพท์มาก จึงพูดขำๆ ขึ้นมาว่าเรื่องนี้โคตรน่าถ่ายด้วยมือถือ แต่ดูเหมือนบทสนทนาจะถูกทิ้งไว้จนกระทั่ง “ตั้ง ถามจริงๆ เลยนะ ถ่ายด้วยโทรศัพท์ได้ไหม ?” ประโยคน่ากลัวของผู้กำกับที่ขึ้นสมองมากกว่าคำสั่งคัต และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
คอลัมน์ Draft Till Done ครั้งนี้เราจึงชวนตั้งมาพูดคุยถึงเบื้องหลังกระบวนการทำงานของซีรีส์เรื่องนี้ ตั้งแต่เริ่มหาวิธีการถ่ายทำตั้งแต่ต้นจนจบด้วยโทรศัพท์เครื่องเดียว การสร้าง Mood & Tone สีสุดเท่ขึ้นมาใหม่ในฉบับของตั้ง และความท้าทายของโลเคชันที่มีคนนับพันอยู่หลังกล้อง ไปจนถึงวันแห่งความทดท้องอแงแต่ยังมีแรงฮึบขึ้นมาใหม่

“มันเป็นอะไรที่เครซี่มาก”
ต้องบอกเลยว่าการถ่ายทำ GELBOYS เป็นสาเหตุที่เราต้องพาดหัวนิยามว่ามันเครซี่จริงๆ ใครจะไปคิดว่าโทรศัพท์ 1 เครื่องใช้ถ่ายซีรีส์ได้! ทั้งยังเป็นเทรนด์ติดปากติดกระแสที่วัยรุ่นต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทำถึง ขนาดตากล้องเองก็ยังไม่คาดคิดมาก่อนเหมือนกัน
จุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณตัดสินใจถ่ายซีรีส์ GELBOYS กับ บอส กูโน คืออะไร
เรายังไม่เคยเจอผู้กำกับที่ชอบขนาดนี้ บอกรักว่ะ (หัวเราะ) จุดเริ่มต้น ‘บอส-ตั้ง’ เป็นเหมือนความฟลุกที่เราต้องมาเจอกัน เพราะหาคนถ่ายไม่ได้ คนอื่นคิวฮอตกันหมด มีเราที่ว่างอยู่คนเดียว อีกอย่างคือมีคนรู้จักร่วมกันด้วย ทำให้บังเอิญมาเจอกัน กลายเป็น combination ที่มาเสริมกันดี พี่บอสมันกะเทยมากอ่ะ เราชอบ visual ที่ดูธรรมชาติ แต่มีความ exotic ใหญ่ๆ มันเป็นความกะเทยที่มีความธรรมชาติสูง พอมาอยู่ด้วยกันแล้วก็ชอบบิลต์กัน
ตอนที่พี่บอสบอกว่ากำลังจะมีโปรเจกต์เกี่ยวกับเล็บเจล ตอนนั้นเราก็งง อะไรคือเล็บเจล จนไปไถ TikTok ก็เลยอ๋อ! มันคือการทำเล็บลายนู่นลายนี่ ซึ่งมันเป็นวงการที่ potential สูงมาก ตอนแรกเราเข้าใจว่าการทำเล็บคือแค่เอาสีมาทา แต่จริงๆ แล้วมันเป็นอะไรก็ได้ บางคนทำเล็บลายมังกร ลายตึก ยิ่งพี่บอสบอกว่าซีรีส์เรื่องนี้จะถ่ายที่สยาม เป็นซีรีส์เกี่ยวกับเด็กที่ชอบทำเล็บ มันเป็นอะไรที่เครซี่มาก เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งนี้เลย แต่ยิ่งไม่รู้ก็ยิ่งชอบ
เวลาทำกองกับพี่บอสมันจะพ่วงมาเป็นแพ็กเกจ เป็นกองที่ทำด้วยแล้วรู้สึกดี ชอบวิธีที่บอสชอบเล่าเรื่องด้วย execution บางซีนเขาจะดีไซน์ไปทางไม่ต้องให้ตัวละครพูดอะไรออกมา แต่ทำเพื่อสื่ออะไรบางอย่าง เราชอบวิธีเล่าแบบนั้น เราเลยเลือกพี่บอส

ทำไมถึงเลือกที่จะถ่ายด้วยโทรศัพท์
เริ่มต้นจากตอนอ่านบท คือเด็กในเรื่องมันติดโทรศัพท์มากเลย อยู่ข้างกันก็ยังนั่งแชทคุยกันเพราะไม่อยากให้เพื่อนรู้ มันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เป็นอีกหัวใจหลักของเรื่องเลยนอกจากเล็บ เราเลยพูดขำๆ ว่าเรื่องนี้แม่งน่าถ่ายด้วยโทรศัพท์มากเลย ทุกคนก็แฮ่ๆ จริงด้วย แล้วก็ข้ามไป ทิ้งไว้ตรงนั้น ทุกคนก็คงคิดว่าใครมันจะไปใช้โทรศัพท์ถ่ายซีรีส์ทั้งเรื่อง จะบ้าเหรอ! แต่อยู่ๆ ก็เกิดเซสชันที่กลับมาคุยเรื่องนี้กันจริงจังอีกครั้ง
ตั้งเริ่มจำลองสถานการณ์ราวกับว่าเขาได้ย้อนกลับไปในวันนั้นอีกครั้ง
“ตั้ง ถามจริงๆ เลย ถ่ายด้วยโทรศัพท์ได้ไหม?” เสียงพี่บอส
“เลยเหรอวะ” ตั้งมองอย่างอึ้งๆ “7 อีพี อีพีละชั่วโมงครึ่ง ถ่าย 27 คิวด้วยโทรศัพท์ มันไม่ได้พี่บอส”
“ถามจริงๆ เลย เพราะมาคิดอีกทีมันเข้ากับเรื่องนี้มาก” พี่บอสถามซ้ำ
“พี่บอส เอา realistic เลย อีกอาทิตย์ครึ่งจะเปิดกล้องแล้ว มันไม่ทัน ผมยังไม่รู้เลยต้องใช้อุปกรณ์เสริมอะไรบ้าง ถ่ายหนังมันไม่ได้ทำคนเดียว มันมี chain effect”
“ขอร้อง! เรื่องนี้เหมาะกับโทรศัพท์มาก คือได้โปรด เอาเลย” คำขอเชิงสั่งของพี่บอสครั้งสุดท้าย
“เออ ได้!” ตั้งตอบรับ
เขาเลิกหันซ้ายหันขวาสวมบทบาทเป็นพี่บอสแล้วกลับมาคุยกับเราตามเดิม
จริงๆ เราก็รู้สึกว่าซีรีส์เรื่องนี้แม่งเหมาะกับการถ่ายด้วยโทรศัพท์เหลือเกิน ถ้ามีซีรีส์เรื่องไหนในชีวิตนี้ที่ต้องใช้โทรศัพท์ถ่ายมันคือเรื่องนี้แหละ! ช่วงนั้นก็ลองเทสต์กล้องอย่างเดียว โอเค เท่านี้มันร้อนเกิน ต้องมีตัวทำความเย็นสั่งมาจากจีน ต่อสายภาพยังไงวะ ส่งสายภาพออกมาแม่งสัญญาณกระตุกอีก ก็แก้ปัญหาไปเรื่อยๆ ทุกวันก็จะมีปัญหาใหม่ที่เราไม่รู้เกิดขึ้นเรื่อยๆ เพราะสุดท้ายแล้วมันก็คือโทรศัพท์!


ตอนที่รู้ว่าต้องใช้โทรศัพท์ถ่ายจริงๆ มีความกังวลไหม
มาก (เสียงถอนหายใจยาวเฟื้อย) นอนไม่หลับเลยช่วงนั้น เราต้องใช้โทรศัพท์ถ่ายจริงๆ เหรอวะ ขนาดถ่ายไป 1 คิวแล้วยังกังวลอยู่เลย เช่น ถ่ายๆ อยู่โทรศัพท์ดับไปเลย เราก็เฮ้ย! แบตหมดเหรอ ร้อนไปเหรอ ก็ไม่นี่ แล้วก็จะมีทีมไปไล่หาว่ามันเกิดจากอะไร แก้ปัญหาเอาเครื่องใหม่มา เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนคิว 4 ทุกอย่างถึงจะลงตัว เราถึงจะเข้าใจ
อีกอย่างเราก็ตกใจกับความรู้สึกภาพด้วย ปกติถ่ายหนังมันจะหน้าชัดหลังเบลอมาก นั่นคือความ cinematic ที่เราเข้าใจกัน แยกเลเยอร์แบ็กกราวนด์กับคนได้ชัดเจน แต่โทรศัพท์คือภาพทุกอย่างมันชัดหมด แต่โชคดีที่เราเป็นคนชอบถ่ายภาพชัดลึกอยู่แล้ว ก็พอมีความรู้ตรงนั้นมาช่วย adapt ได้ ความเครียดของเราเกิดจากการที่ถ่ายๆ อยู่แล้วกล้องเป็นอะไรไม่รู้ ถ่ายต่อไม่ได้ เราก็เลยแก้ปัญหาด้วยการเทสต์แม่งทุกอย่าง เทสต์ให้รู้มากที่สุด ลองคิดดูว่าอะไรจะเกิด บั๊กเดียวของการใช้โทรศัพท์น่าจะเป็นเพราะเราไม่มีเวลาเข้าใจมันมากพอ เราก็เลยต้องเร่ง

“โจทย์ของตากล้อง”
เราเคยคิดว่าหน้าที่ตากล้องก็แค่ถ่ายทอดภาพตรงหน้าออกมา ผู้กำกับอยากได้ภาพแบบไหนก็เซย์เยสตอบรับตาม แต่ความจริงแล้ว เขาเป็นเสมือนแฝดของผู้กำกับ ต้องคิดตรงกันชนิดที่มองตาก็รู้ใจ และกว่าจะถึงจุดนี้ได้ต้องอาศัยความขยันในการทำการบ้านอย่างหนัก เมื่อได้รับโจทย์มา ตั้งจึงต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง
ตอนอ่านบทครั้งแรกสิ่งที่แวบเข้ามาในหัวชัดที่สุดคือภาพไหน
ด้วยความที่ซีรีส์เรื่องนี้มีความแฟชั่นมากๆ เด็กทุกคนแต่งตัวแบบตะโกน เสื้อผ้าแบบนี้อยู่กับโลเคชันสยาม มันเป็นอะไรที่ใหม่มาก ไม่รู้จะจัดการยังไง โจทย์ของตากล้องคือทำยังไงก็ได้ให้ภาพไม่เครซี่เกินไป เพราะตัวละครใส่เสื้อสีเขียวนีออน ตุ้มหูแดง กระเป๋าน้ำเงินเข้ม ท่ามกลางสยามที่เป็นปูน ในพาเลตสีมันดูกระจายมาก เราก็เลยทำสี Preset ชื่อ TangBadNails ลองถ่ายแล้วก็เคลือบสี จนเจอว่าวิธี explode ภาพว่าต้องถ่ายสว่างกว่าปกตินิดหนึ่ง มันจะทำให้สีจืดลงและทำให้สีต่างๆ ที่เราสะดุ้งแม่งกลับมาอยู่ในหนังได้ เพราะไม่งั้นซีรีส์เรื่องนี้มันจะมีสีเต็มไปหมด ด้วย TangBadNails ก็จะช่วยทำให้ทุกอย่างกลืนเข้าด้วยกัน

ในฐานะเป็นคนที่ถ่ายซีรีส์ทั้งเรื่องด้วยโทรศัพท์เป็นครั้งแรก เบื้องหลังทำการบ้านยังไงบ้าง
หนึ่งคือถ้าเสิร์ชว่าถ่ายหนังด้วยโทรศัพท์ใน YouTube สามหน้าแรกต้องดูทุกคลิปแล้ว สองคือพยายามทำให้มันง่ายที่สุด ลิสต์สถานการณ์ที่อาจจะ extreme ที่สุดในซีนต่างๆ แล้วก็เอากล้องไปลองเทสต์ว่าจะแก้ยังไง เช่น ถ้าสว่างมากๆ ต้องมี ND filter แล้วจะทำยังไงให้มันสามารถใส่ไปได้เลย ก็ต้องประดิษฐ์กับทีมกล้องกันเอง หรือถ้าร้อนมากๆ ก็ต้องมีตัวทำความเย็น ชื่อว่า peltier เป็นแม่เหล็กตู้เย็นที่จะเก็บความเย็นได้นาน
พออุปกรณ์พร้อมแล้วก็ต้องหา Mood & Tone ซึ่งยากมาก เพราะ Mood & Tone หนังที่ถ่ายด้วยโทรศัพท์มีเรื่องเดียวคือ Tangerine ที่สามารถเป็นเรฟได้ แต่มันก็ไม่ใกล้กับสิ่งที่เราอยากได้เลย เราก็เลยต้องคิดขึ้นมาใหม่ พี่บอสอยากได้ภาพธรรมชาติแต่เฟียร์ซ (ตอนตั้งพูดเหมือนเห็นเครื่องหมายคำถามผุดขึ้นมาบนหัว) ซึ่งขอบคุณมากพี่บอส ช่วยได้มาก หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ตีความกันไป เรื่อยๆ อาทิตย์ก่อนออกกองก็โยนกันตลอดเวลาจนในที่สุดก็ได้ภาพที่ต้องการ

เล่าพาร์ตวิธีเซตโทรศัพท์ถ่ายซีรีส์หน่อย
ใช้แอปฟรีชื่อ Black Magic เป็นแอปที่คนใช้กันเยอะ เพราะเราจะปรับกล้องโทรศัพท์เป็น manual ได้เลย เพราะจริงๆ มันปรับอะไรไม่ได้ขนาดนั้น ND filter ก็เป็นสิ่งสำคัญในการปรับแสงโดยรวมของภาพ
ตั้งแต่ซีรีส์ออนก็มีคน DM มาหาเยอะว่าจะทำหนังสั้น หนังธีสิสด้วยโทรศัพท์เพราะเรื่องนี้เลย เราก็ดีใจ แล้วผมก็ไปแจกวิธีใน TikTok (ตามไปดูคลิปสูตรได้ใน TikTok ชื่อ Tangbadvoicee นะ)

เปรียบเทียบระหว่างการใช้โทรศัพท์กับกล้องใหญ่ ในแง่ของการถ่ายทำซีรีส์เรื่องนี้ มีความยากง่ายต่างกันยังไงบ้าง
โห! เยี่ยมมากเลย คือเอาจริงๆ นะเรื่องนี้แม่งถ่ายไม่ได้ถ้าไม่ใช้โทรศัพท์ ถ้าถ่ายด้วยกล้องใหญ่ต้องมีเงินอีกสัก 30 ล้าน ทุกอย่างมันจะไปได้ยากมาก วันที่เรามา block shot ที่สยาม วันนั้นใช้กล้องตัวนิดเดียวเอง คนมองทั้งซอยแบบถ่ายอะไรกันวะ ถ้ามีสักคนเดียวมองกล้องพี่บอสก็จะสั่งคัตแล้ว เพราะมันทำลายกำแพงระหว่างคนดูเราต้องการความ realistic ความรู้สึกว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง ถ้าเป็นกล้องใหญ่ไม่มีทางจะทำได้เลยกับสถานที่ public ที่สุดในประเทศอย่างสยาม

“อย่าอ่อมและไปกันต่อ”
ปกติถ้าติดตามดูเบื้องหลังการออกกอง เราจะเห็นทีมงานส่วนใหญ่มีสีหน้าเดียวกันคือซีดเผือด เพราะทุกคนจะอลหม่านต้องทำหลายอย่างไปพร้อมกัน “ถ้าสังเกตดีๆ เอ็กซ์ตราจะหน้าซ้ำๆ หมดเลย” ตั้งบอกเราอย่างนั้น แต่น่าแปลกที่ถ้ามีคนหนึ่งอ่อม คนที่เหลือจะบอกให้ไปต่อ แม้ว่าพวกเขาก็เหนื่อยไม่ต่างกัน บรรยากาศกองนี้เท่านั้นที่จะทำให้ตั้งพูดคำว่ารักออกมาได้
ซีรีส์ GELBOYS ต่างจากเรื่องอื่นในแง่ไหนบ้าง
ไม่มีเรื่องไหนเหมือน GELBOYS เลยในโลกใบนี้ เราเป็นคนชอบจัดไฟมาก ถ้าไปออกกองจะเป็นคนสั่งไฟเยอะ ไฟดวงใหญ่ๆ เพราะเราไม่เชื่อในธรรมชาติ ถ้าชอบแสงพระอาทิตย์แดดออก เออ เดี๋ยวมันก็ไป ทำใหม่ดีกว่า อย่างเช่น พี่บอสบอกชอบแสงพระอาทิตย์ตอน 5 โมงครึ่งมาก แสงทองประกายเลย ผมก็จะเอาไฟลงมาจากรถให้หมด อยากได้แสงแบบนี้เดี๋ยวทำให้ใหม่ แต่ให้มันอยู่นานๆ
วันแรกเราขนไฟเข้ามาคันเดียว ยามบอก เยอะไป! เฮ้ย เดี๋ยวก่อนนะ นี่ไฟแค่ 6 ดวงเอง ปกติเรามี 20 ยามบอกไม่ได้นะครับ นี่สยามนะ อีกวันเอามา 3 ยามบอกเยอะไป! โถ่เว้ย! (ตอนนี้ผมตั้งฟูไปหมดเพราะใช้มือขยี้ไม่หยุด) ตอนหลังก็เลยเหลือแค่ไฟเป็นหลอดแบบยูทูบเบอร์ ซึ่งเกิดความปวดหัวอีกอย่างตามมาคือถ่ายโทรศัพท์มันจะดีมาก ถ้ามีแสงเยอะ แต่ไฟเรามีเท่านี้ มันย้อนแย้งกันมาก

มีซีนไหนไหมที่รู้สึกว่าน่าจะถ่ายทำยากที่สุดตั้งแต่อ่านบท
ซีน random dance อีพีสุดท้าย ตอนนั้นสมองตายไปเลย คือมันจะเป็นไปได้ยังไง อ่านบทเสร็จแล้วหันไป แป๊บนะพี่บอส ขอทำความเข้าใจก่อน ต้องอธิบายก่อนว่ามันคือซีนที่ตัวละครทุกคนทะเลาะกัน และมีการเปลี่ยน blogging ตลอดเวลา และมี random dance และกำหนดด้วยเพลง ตัวละครเต้นไปด้วย และเคลียร์ปัญหาชีวิตไปด้วย และย้ายที่ไปด้วย และ มี Proxie เข้ามาด้วย! (สารภาพว่าไม่เคยได้ยินใครใช้คำเชื่อมว่า ‘และ’ ใน 1 ประโยคได้คุ้มเท่าตั้งเลย)
เราจะถ่ายทั้งหมดนี้ในวันที่มีอีเวนต์หมีเนย อีเวนต์วง BUS แล้วก็สิ่งนี้จริงๆ เหรอ? พี่บอสก็ตอบ ใช่! วันนั้นผมเกือบน็อกมีคำถามในหัวตลอดว่ามันจะเป็นไปได้ไงวะ แต่มันเป็นไปแล้ว

ตอนซีรีส์ออกมาแล้วความรู้สึกเป็นยังไง
อุ๊ย! ฟินมาก ย้อนกลับไปตอนถ่ายคิวหนึ่ง พี่บอสเคยถามว่า “ตั้ง กลับไปถ่ายกล้องหนังกันไหม” เพราะสิ่งที่พี่บอสซีเรียสที่สุดคือซีนอารมณ์ เหมือนเป็นซิกเนเจอร์เขาเลย คือมันเห็นตานะ แต่มันไม่เห็นดีเทลในลูกตา ซึ่งสิ่งที่พี่บอสแม่งรักมากคือรายละเอียดในลูกตาคน แต่พอถ่ายในโทรศัพท์มันเห็นเป็นปื้ดๆ ตอนนั้นเราก็เขวเหมือนกันนะ หรือเราต้องกลับไปถ่ายกล้องใหญ่วะ แต่ไม่! ไม่ได้ เราต้องหาวิธี งั้นหลังจากนี้เราจะพยายามถ่ายให้เห็นในลูกตานั้น ซีนอารมณ์ต้องมีไฟหลอดหนึ่งที่จ่อให้เห็น พอเห็นลูกตา ซึ่งมันก็เห็นจริงๆ พี่บอสก็โอเค ไปกันต่อเพื่อน

ในแง่ของการถ่ายทำ เรื่องนี้ท้าทายขนาดไหนสำหรับคุณ
ทำหนังกับบอส กูโน ไม่มีอะไรไม่ challenge มันไต่สเต็ปเลย ตอนถ่าย แปลรักฉันด้วยใจเธอ เราก็คิดว่าไม่มีอะไรยากไปกว่านี้แล้ว ไปถ่าย วิมานหนาม ก็คิดว่าไม่มีอะไรยากไปกว่า วิมานหนาม แล้ว นี่มา GELBOYS ยากกว่า 10 เท่า ตอนนี้เริ่มคิดแล้วว่าถ้ามากกว่านี้ก็ไม่รู้จะทำยังไง
พูดถึงพาร์ตการทำงานร่วมกันกับทีมนี้หน่อย
รักที่สุดเลย ไม่เคยรักทีมไหนเท่าทีมนี้ ทุกคนเหมือนเป็นเพื่อนกัน นอกจากงานก็คุยกันเรื่องชีวิตประจำวัน ทุกคนเป็น vibe แบบไปดิวะ สู้ คือเราจะผลัดกันเฟล อย่างซีน random dance ตั้งแบบโอย! ไม่ไหวแล้ว ซีนตะกี้มันทำลายจิตใจแบบ completely ไปแล้ว แต่มันก็จะมีคนแบบเฮ้ย ฮึบๆๆ ดิวะ

“ตะวันวาด”
ถึงแม้ว่าตลอดเวลาที่ตั้งเล่าถึงกระบวนการทำงานที่ผ่านมา ฟังดูเหมือนทรหดและเหน็ดเหนื่อยมากในเวลาเดียวกัน แต่ตั้งกลับยิ้มแล้วหัวเราะออกมาได้ เรื่องหนักๆ ทำเอานอนไม่หลับดูจะทุเลาลงไปหมด คงเป็นแบบนี้ไปไม่ได้เลยถ้าตั้งไม่ได้มีกำลังใจหนาแน่น มากไปกว่านั้น น่าจะเพราะความหลงใหลในงานที่ทำจริงๆ เราเองก็ไม่แน่ใจว่าเมื่อคนอ่านไล่สายตามาจนถึงตรงนี้จะจดจำว่าเขาคือ TangBadVoice หรือ TangBadNails ที่แน่ๆ ตั้งมีสิ่งหนึ่งที่อยากทำก่อนตายและอยากให้คนเซฟเขาไว้ในแบบนั้น
ได้คิดไว้ไหมว่าอยากให้คนจำว่าเราเป็นใคร ทำอะไร
อยาก ก่อนตายอยากดันกำแพงของอะไรบางอย่างออกไปอีกหน่อย อย่างความรู้องค์รวมของศิลปะมันมีอะไรอีก มันทำแบบนี้ได้นะ ทำนองนั้น

คุณบอกว่าภูมิใจกับผลงานเรื่องนี้มาก อยากจะโม้ให้ลูกหลานฟัง ถึงตอนนั้นจะโม้ว่าอะไร
อีหลานเอ้ย ปู่ของเอ็งเนี่ยเคยใช้โทรศัพท์ถ่ายซีรีส์ทั้งเรื่องมาแล้ว เอ็งเชื่อไหมถ้าไมโครเวฟถ่ายหนังได้ เขาก็ถ่ายออกมาให้สวยได้ แฮ่ๆ พูดเล่นครับ ไม่จริง
สารภาพว่าเราเผลอแย้งอยู่ในใจว่าตั้งทำได้ทุกอย่างแหละถ้าคิดจะทำ เพราะซีรีส์เรื่องนี้ก็เป็นบทพิสูจน์อย่างจังอยู่ ล่าสุดเขาเล่าว่าลองไปปีนผาจำลองมาแล้วชอบมันมาก ตอนนี้ปีนจนเข้าเดือนที่ 4 เดือนหน้าจะไปลงแข่งโอลิมปิกพร้อมพูดด้วยสีหน้าเอาจริง เราส่งกำลังใจไปว่าขอให้ได้เหรียญทอง คิดว่าน่าจะคว้ามาได้ไม่ยากหรอก เพราะเขาคือ ‘ตั้ง ตะวันวาด’ ยังไงล่ะ
