จากจุดเริ่มต้นสู่จุดสิ้นสุดใน FATE อัลบั้มที่ 7 ในขวบปีที่ 20 แห่งวง COCKTAIL

Sometimes It’s Hard to Force Own Life

บางครั้งมันก็ยากที่จะบังคับชีวิตตัวเอง 

ไม่ว่าใครจะหล่นวลีนี้เอาไว้ ทว่าชีวิตของวงดนตรีที่ชื่อ Cocktail ก็ยากไม่ต่างกัน มันเป็นเช่นนั้นมาตลอดเวลาร่วม 2 ทศวรรษ บนเส้นทางสายดนตรีสายนี้

นับตั้งแต่จุดเริ่มต้น ซึ่งเป็นการรวมกันของคนจำนวนมากที่ต่างกัน ในวันวัยสมัยมัธยมปลาย อันก่อเกิดเป็นศิลปินกลุ่มในยุคเพลงอินดี้เริ่มรุ่งเรืองช่วงต้นยุค 2002 ผ่านการล้มลุกคุกเข่า เผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงมานานัปการ พิสูจน์ตัวเองจนกลายมาเป็นหัวหอกของวงการเพลงร็อกเมืองไทย

“มันมีคนกำหนดอะไรบางอย่างเอาไว้แหละ คนที่ว่าก็คือตัวเรา ที่กำหนดผลลัพธ์ของการกระทำของเรา” 

คำพูดอันหนักแน่นของโอม ฟรอนต์แมนคนสำคัญที่ร่วมทางมากับวงแต่วันแรก บ่งบอกถึงความเชื่อที่พวกเขายึดเป็นหลักในการเดินทางมาไกลจนถึงวันนี้ วันที่มีผลลัพธ์เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ประสบความสำเร็จในฐานะศิลปิน วัดจากชื่อเสียงอันเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และขบวนบทเพลงฮิตที่ได้ยินกันไปทั่ว 

ปลายปีที่ผ่านมา Cocktail เปิดตัวสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 7 Fate อย่างเป็นทางการ อีกหนึ่งอัลบั้มที่มีเสียงตอบรับดีงาม เป็นโอกาสดีที่เราได้ชักชวน โอม-ปัณฑพล ประสารราชกิจ (ร้องนำ) เชา-ชวรัตน์ หรรษคุณาฒัย (กีตาร์) ปาร์ค-เกริกเกียรติ สว่างวงศ์ (กีตาร์เบส) และ ฟิลิปส์ เปรมสิริกรณ์ (กลอง) มานั่งพูดคุยถึงเบื้องหลังการทำงาน ความเปลี่ยนแปลงนานาที่เกิดขึ้น 

และเรื่องที่แว่วว่านี่อาจจะเป็นงานเพลงชุดสุดท้ายของวง

Chapter 1 

โล่เหล็กเรื่องเล็กน้อยแสนยิ่งใหญ่ กับงานอำลาโลโก้เก่าในคืนก่อนพระจันทร์เต็มดวง

ก่อนอัลบั้มใหม่จะมาถึง มีหนึ่งการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับ Cocktail อย่างเปิดเผย 

หากมององค์ประกอบรวมของศิลปินเพลง จะเห็นสิ่งเล็กๆ แต่สำคัญไม่น้อยอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่แทนตัวตน สะท้อนจิตวิญญาณ และยังเป็นสิ่งหลอมรวมจิตใจของแฟนคลับนอกจากบทเพลง คงไม่ผิดนักหากกล่าวว่าสัญลักษณ์หรือ ‘โลโก้’ นั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งที่มิอาจขาดหายไปได้เสียแล้ว

สังเกตให้ดีโลโก้มักปรากฏในที่ทางต่างกันไป เป็นสัญลักษณ์แทนตัวศิลปิน ผ่านอาร์ตเวิร์กประกอบตัวเพลง กราฟิกในเอ็มวี ปกอัลบั้ม บนเวทีคอนเสิร์ต Merchandise ที่เป็นลายเสื้อยืดตัวโปรด หรือดวงไฟในมือใครหลายคน กระทั่งรอยสักอันแสนภาคภูมิใจ

เป็นที่ชื่นชมกันว่าโลโก้ของ Cocktail ช่างสง่างามและมีมนตร์ขลัง โดยปรากฏครั้งแรกเมื่อครั้งเปิดตัวเพลง คุกเข่า ราวปี 2012 ในอัลบั้มลำดับ 5 The Lords of Misery เรียกกันอย่างเรียบง่ายว่า ‘โล่เหล็ก’ ก่อนที่อัลบั้มชุด 6 Cocktail ตั้งแต่เพลงทำดีไม่เคยจำ จะเปลี่ยนจากโล่เหลือเพียงแค่ตัว ‘CT’ พวกเขาเชื่อว่าโลโก้วงเป็นสิ่งแทนความนึกคิด เจตนาของวงในช่วงเวลานั้น 

หากโล่เหล็กแสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานในวัยเด็กของวง CT ก็เท่ากับเป็นการลดรูปให้เห็นแต่แก่น แต่แล้วอัลบั้ม Fate วงก็ได้เปลี่ยนโลโก้อีกครั้ง เพื่อสะท้อนภาพความนึกคิดในปัจจุบันให้ได้มากที่สุด

“ปัจจุบันเรากลับมาใช้โล่เหล็ก ชื่อว่า Modern Knight” โอมเริ่มอธิบายถึงตราประจำวง “ที่จริงโล่เหล็กถูกลดทอนรูปลงเหลือ CT มีลักษณะเป็น Emblem เหมือนกัน เพราะวันนั้นเรารู้สึกว่ายังไม่สามารถสวมกับตัวได้ เลยถอดรูปให้ดูคล่องตัว แต่พออัลบั้มนี้เต็มไปด้วยความบ้าพลัง จึงรู้สึกว่าพร้อมแล้วที่จะกลับไปใช้ ซึ่งเป็นโลโก้ที่ดีที่สุดตลอดกาลของเรา และถ้าจะเป็นโลโก้สุดท้ายก่อนวงต้องแยกย้ายกัน เราเห็นตรงกันว่าต้องเป็นโลโก้นี้ และวงดนตรีวงเดียวนี้เท่านั้นที่ใช้โลโก้นี้ได้”

ด้วยความผูกพันกับโลโก้ CT ที่ผ่านช่วงเวลาสำคัญและประวัติศาสตร์ของวงมาตลอด 5 ปีเต็ม ฉะนั้นก่อนจะเปลี่ยน จึงมีการจัดงานอำลาเล็กๆ แต่มากด้วยความอบอุ่น ทว่าก็ละคนกับบรรยากาศแห่งความอาลัย

“รูปแบบเหมือนงานอำลาอาลัย มีดอกไม้มาตั้งเหมือนงานศพ คล้ายสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของการเปลี่ยนผ่าน เข้าไปสู่สิ่งใหม่ในอัลบั้มนี้ ซึ่งผมมองว่าความตายหรือการเปลี่ยนแปลง สอดคล้องกับเพลง เรื่องธรรมดา เพราะเป็นสิ่งที่ธรรมดาที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราเหมือนกัน” ปาร์คย้อนถึงโมเมนต์งานนั้น

แม้ดูเป็นเรื่องโศกเศร้า ซ่อนความน่ากลัวด้วยคำว่าความตาย แต่เนื้อในคือการแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของสิ่งที่ผ่านไป และส่งให้เดินทางต่อมาจนวันนี้ สะท้อนผ่านตัวเลขแห่งกาลเวลา ปี 2016-2021 หรือช่วงอัลบั้ม 6 โดยความหมายของการตายที่อยากจะสื่อก็เพื่อที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง 

ถึงเป็นเรื่องอำลา แต่จังหวะเดียวกันยังเป็นการต้อนรับสิ่งใหม่ด้วย ด้วยกรอบไอเดียของงานมาจากเพลง เรื่องธรรมดา พูดถึงการเปลี่ยนแปลง การพลัดพราก แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็กลายเป็นเรื่องธรรมดา เชื่อมโยงกับโลโก้ที่เปลี่ยนไป ก็ยังถือว่าเป็นการลอนช์ซิงเกิลใหม่ ในรูปแบบต่างจากเดิมของวง

“พูดในความสัตย์จริงมากขึ้น อัลบั้มนี้ค่อนข้างเป็นคอนเซปต์ เราต้องการหักล้างหลายอย่าง ส่วนความจำเป็นว่าทำไมต้องจัดงานอำลา ประจวบเหมาะว่าต้องการเปิดซิงเกิล อาจมองได้ในเชิงมาร์เก็ตติ้ง เพราะเพลง เรื่องธรรมดา มันก็ธรรมดาจริงๆ ในแง่มุมที่จะดึงความสนใจจากคนฟัง ตัวเพลงค่อนข้างเป็นออริจินัล Cocktail ไม่ได้มีอะไรหวือหวาออกมาใหม่ ฉะนั้นเราเอาสองมุมนี้มาผนวกกัน” เชาอธิบาย

จริงอยู่ว่าการเปลี่ยนโลโก้อาจเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือเป็นเรื่องราวอันใหญ่โตก็ได้ สุดแล้วแต่ที่จะตีความ แต่ลึกๆ แล้วเจตนาที่วงต้องการส่งผ่าน ก็เพื่อหวังจะให้เข้าใจเกี่ยวกับคำว่าเรื่องธรรมดา ของการแตกสลาย การตายจาก และการเริ่มต้นใหม่

Chapter 2 

FATE คำว่าชะตาที่ไม่เป็นเพียงชื่ออัลบั้ม 7 แต่คือเรื่องเล่าในบทเพลงและเส้นชีวิตของวง

ราวกับว่าพวกเขานั่งอยู่บนรถไฟตีลังกา ชีวิตเมื่อช่วงเริ่มปี 2020 นั้นกำลังไปได้สวย เต็มเปี่ยมไปด้วยความสนุกสนาน ความรื่นเริงใจไปกับการตระเวนออกทัวร์คอนเสิร์ตที่เกาะอังกฤษ วงดนตรีไทยวงไหนก็มีความฝันเช่นเดียวกันกับพวกเขาทั้งนั้น แต่งานเต้นรำกลับต้องอำลาเร็วกว่าที่คาด หลังมีการล็อกดาวน์ 

โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชีวิตนักดนตรีเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ได้รับผลกระทบ และเป็นกลุ่มรั้งท้ายในการกลับมาทำกินตามวิถี มีเรื่องน่าสนใจอยู่สิ่งหนึ่ง ซึ่งมาจากการอ่านเกมล่วงหน้า อาชีพนักดนตรีเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนอยู่ในทุกย่างก้าว มีจุดพีกที่รายได้งามกองตรงหน้า ย่อมต้องมีช่วงเวลาขาลงอยู่เช่นกัน และนับรวมกับเหตุไม่คาดฝันอย่างโควิด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับวง การตั้งกองทุน Cocktail ไว้มาก่อนหน้าแล้วนั้น ก็ได้นำมาใช้ในคราวฉุกเฉินแบบนี้

มันตอกย้ำให้เห็นว่าความจริงของชีวิตคืออะไร Cocktail อยู่รอดมาได้เพราะเงินของกองทุนที่มีอยู่เพื่อดูแลทุกคน เราจ่ายเงินเดือนให้ทีมงานได้หมด ประหนึ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ตอกย้ำให้เห็นว่า ความไม่ประมาท ธรรมะข้อสุดท้ายที่พระพุทธองค์ตรัส เป็นตามนั้นจริง” โอมหัวเรี่ยวหัวแรงของวงกล่าวไว้

ต่อเมื่อคลายล็อกความกังวลออกไป วงก็พร้อมใจกันที่จะเริ่มต้นทำงานเพลงชุดใหม่

ช่วงเคอร์ฟิวเป็นช่วงที่วงมีความผ่อนคลาย สามารถรวมตัวทำงานกันในห้องซ้อมได้นิดนึง ไล่ทำเพลงแต่ละเพลง ซึ่งการได้เล่นดนตรีกันต่อหน้า ทำให้เข้าใจในรายละเอียด อยากแก้ก็ได้แก้ อยากปรับก็ได้ปรับ ทำให้แต่ละเพลงไปได้เร็ว แต่ช่วงที่ออกจากบ้านไม่ได้ก็ต้องปรับตัว อัดเพลงที่บ้าน ส่งไฟล์เดโมให้กัน หาวิธีทำให้งานสามารถเดินต่อไปได้” ปาร์คเล่าย้อนเหตุการณ์แรกๆ ในการสตาร์ทอัลบั้มนี้

 “ล็อกดาวน์ช่วงแรกในเดือนเมษายน-พฤษภาคม ปี 2020 เราเริ่มทำเพลง เรื่องธรรมดา ใกล้กับช่วงที่ทำเพลง ดึงดัน ผมคิดว่ารูปแบบการทำงานในซิงเกิลของอัลบั้มใหม่ เราได้โฟกัสกันมากขึ้น มีโอกาสได้คิด แก้ เติม แต่ง เพราะที่ผ่านมาการทำงานเพลงของเรา มันควบคู่ไปกับการเดินทางทัวร์คอนเสิร์ต ในรอบนี้เลยต่างออกมา” ฟิลิปส์เล่าเสริมภาพการทำงานในช่วงเวลานั้น

Cocktail พยายามดันงานให้ได้ตลอด ซึ่งต้องปรับเยอะพอสมควร พวกเราเป็นคนยุคเจนเนอเรชั่นที่คาบเกี่ยวระหว่างแอนะล็อกครึ่งหนึ่ง กับดิจิทัลครึ่งหนึ่ง ดังนั้นเก่งเรื่องออนไลน์ขนาดนั้นไหม ก็มีหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้มากขึ้น เราไปใช้ห้องอัดไม่ได้ ต้องพึ่งพาตัวเองมากขึ้น ผมก็เริ่มทำงานที่บ้านเยอะขึ้น ศึกษาอุปกรณ์เอง ทำที่บ้านยังไงโดยที่คุณภาพยังได้อยู่” เชาช่วยขยายภาพ

เมื่อถามว่าเพลงในอัลบั้มชุดนี้สะท้อนความนึกคิดของวงในปัจจุบันอย่างไรนั้น คำตอบที่รับได้คือ การสั่งสมประสบการณ์ทางดนตรีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผสมกับชีวิตที่ผ่านมาข้ามวัยมาระดับหนึ่ง หลายสิ่งถูกคลี่คลายลง และซื่อตรงกับความรู้สึกของตนที่สุด

“ในเชิงของดนตรีของแต่ละคนเอง ไม่ว่าจะเป็นผม พี่เชา พี่ปาร์ค ทุกคนมีทางในแบบของตัวเองอยู่แล้ว บวกไปด้วยประสบการณ์จากที่ทำงานมา แต่ ณ วันนี้ ด้วยความที่เราโตขึ้น เข้าใจอะไรมากขึ้น ทำทุกอย่างให้มันคลี่คลายมากขึ้น ปลดพันธนาการทุกอย่างออก เข้าไปสู่ Core Message ของเพลงในแบบที่เรานำเสนอทั้งสามคน รวมถึงพี่โอมด้วย” ฟิลิปส์เล่า

“เราค่อนข้างซื่อตรงกับอัลบั้มนี้ เราได้ยินและรู้สึกกับมันอย่างไรก็เล่นอย่างนั้น ครั้งแรกที่ลองทำเพลง อภิสิทธิ์ชน เราตีความไปไกลมาก คิดกันเยอะมาก ทำเป็น Post-Rock แต่พอฟังกันหลายรอบแล้วมันไม่เข้าลูป สุดท้ายคุยกันใหม่ว่า ถ้าฟังครั้งแรกรู้สึกอะไรเราเล่นเลย เล่นตามสัญชาตญาณ มันเป็นสามช่าว่ะ แบบพี่อัสนี-วสันต์ เพลงนี้ผมว่ามันคือสัญชาตญาณของเรา คือถ้าให้ Cocktail เล่นเพลงแจมกัน ณ อารมณ์ตรงนั้นเลย ผมว่าประมาณนี้ เรียกว่าซื่อตรงกับรากเหง้าของเราประมาณหนึ่งเลย” เชาช่วยสะท้อนภาพตัวตนและเล่าความเป็นวงยุคนี้ผ่านบทเพลงในชุดที่ 7

“เพลง ดึงดัน เรื่องธรรมดา ชั่วชีวิต และ อภิสิทธิ์ชน ผมมองว่า 4 เพลงเหล่านี้ค่อนข้างบริสุทธิ์ และจริงใจที่สุดเท่าที่เราเคยทำมาแล้ว คือมาจากโมเมนต์นั้นจริงๆ พอเราได้ยินเพลง เริ่มแจมกัน มันออกมาอย่างนั้นเลย มาสเตอร์แทบจะเหมือนกับแรกๆ ที่ทำ” เชาย้ำตัวตนของวงผ่านเบื้องหลังการทำเพลง

หลายต่อหลายครั้งที่บทเพลงและแนวคิดของวง กล่าวถึงเรื่องราวการเดินทางของชีวิต การพบเจอสิ่งที่ไม่คาดคิด การพลัดพราก และมักมีเรื่องของเวลาและความเปลี่ยนผันเข้ามา เช่นนั้นแล้วพอได้นึกไตร่ตรอง พวกเขาจึงเห็นพ้องต้องกันว่า ทั้งหมดอยู่ภายใต้คำว่า ‘ชะตา’ 

เป็นคอนเซปต์ในงานเพลงชุดใหม่ และชื่ออัลบั้มว่า FATE ที่ตั้งใจสื่อสารความหมายอย่างตรงไปตรงมา ผ่านเนื้อหาที่เล่าในบทเพลง ควบคู่กับสะท้อนความคิดของวงที่สุด

“เราพยายามทำในสิ่งที่ชอบก่อน คิดว่าอยากนำเสนอแบบนี้ต่อคนฟัง อาจจะไม่ได้เป็นเพลงแนวเดียวกัน แต่อยู่ในชุดความคิดเดียวกัน เล่าในแบบเดียวกัน ในมุมของนักดนตรีที่โตขึ้น มีวุฒิภาวะมากขึ้น ไม่ได้อยู่ในพื้นฐานของอารมณ์ อย่างเพลง เรื่องธรรมดา มันไม่ได้รู้สึกกระวนกระวายกับเรื่องของความรักขนาดนั้น แต่เข้าใจในสัจธรรมบางอย่าง” ฟิลิปส์กล่าวในประเด็นที่ว่าอัลบั้มปรารถนาจะเล่าถึงสิ่งใด

“ชื่ออัลบั้ม FATE แปลว่าชะตา มันหมายถึงอะไรที่ทำให้เรามาถึงตรงนี้ได้…” เชาช่วยขมวดภาพรวมของงานเพลงชุดนี้ “…กับจุดใหญ่อีกจุดหนึ่งคือ จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด ทุกอย่างต้องมีการจบ ไม่ว่าจะจบในชุดความคิดหรือว่าในฐานะการทำงาน ทุกอย่างต้องมีการขีดเส้น และมันเป็นการยอมรับว่าเราขึ้นสูงได้ ก็ลงต่ำได้ วันหนึ่งก็ต้องจบ”

Chapter 3

พลังอันบ้าคลั่งสู่ขบวนบทเพลงทั้ง 17 แทร็กในอัลบั้มใหม่ FATE

กลางเดือนธันวาคม 2021 แฟนเพจอย่างเป็นทางการของ Cocktail ประกาศถึงความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับงานเพลงชุดที่ 7 สำหรับสาวกของสุภาพบุรุษทั้งสี่ รวมถึงนักฟังเพลงแล้ว คงเกิดอาการหัวใจพองฟูไปตามๆ กัน เพราะพวกเขาได้ปล่อยซิงเกิลใหม่พร้อมกันรวดเดียว 4 เพลง 

นับกับที่ส่งออกมาก่อนหน้า ไล่เรียงจากเพลงแรก รักจริง (ให้ดิ้นตาย), ดึงดัน, ชั่วชีวิต, อภิสิทธิ์ชน และ เรื่องธรรมดา สิริรวมก็ครบ 9 เพลงของครึ่งแรกอัลบั้ม FATE ในพาร์ต 1 ที่ใช้ชื่อว่า Alpha ซึ่งจากคุณภาพบทเพลงที่อัดแน่นในพาร์ตแรก ก็อดไม่ได้ที่จะอยากฟังต่ออีก 8 เพลงที่รออยู่ในพาร์ต 2 Omega 

ว่าไปแล้วในยุคนี้ น้อยนักที่จะเห็นศิลปินเพลงสักรายทำงานเป็นอัลบั้ม ที่เหนือกว่านั้นในสตูดิโออัลบั้มชุดนี้ของ Cocktail มีเพลงมากถึง 17 เพลง มากกว่าทุกชุดที่ผ่านมาของวง

ตอบด้วยเหตุผลอย่างซื่อสัตย์ มันไม่ซับซ้อนอะไรเลย แต่งได้เยอะก็ออกไป เก็บไว้นานก็บูดแค่นั้นเอง รู้สึกว่าเรื่องอะไรที่ฉันต้องเก็บไว้ ต้องรอไปถึงเมื่อไร ถ้ามันต้องมีอีก ถึงวันนั้นก็คงจะแต่งได้อีก เพราะฉะนั้นให้มันออกไปเถอะ จะดีหรือไม่ดี ดังหรือไม่ดัง ทำในสิ่งที่เราอยากทำน่าจะสำคัญที่สุดแล้ว พี่กอล์ฟ F.Hero ยังมีเพลงมากกว่านี้อีก (Into the New Era มี 32 เพลง) หรือ Tylor Swift ออกอัลบั้ม Red (Taylor’s Version) ก็มีถึง 30 แทร็กเลยนะครับ” โอม ซึ่งอีกบทบาทหนึ่งคือผู้เขียนเพลงอธิบาย

Cocktail มีเพลงสต็อกไว้ประมาณหนึ่ง” เชาเสริมเหตุผลขึ้น “การที่จะจับมาอยู่ในอัลบั้มใดอัลบั้มหนึ่ง ต้องอยู่ในชุดความคิดเดียวกัน ถ้าอยู่ในเรื่องเดียวกันได้ ก็มารวมเป็นสารบัญเดียวกัน พอเราเจอคำว่า Fate ทุกอย่างมันสมบูรณ์หมดเลย ฉะนั้นทุกเพลงที่สต็อกไว้ เผื่ออัลบั้มหน้า เผื่ออัลบั้มพิเศษอื่นๆ จึงถูกจับมาใส่ในอัลบั้มนี้ทั้งหมด กลายเป็นอัลบั้มที่มีเพลงเยอะมาก

“ถ้าพูดในแง่ของอาร์ติสต์ เราต้องการเคลียร์ชุดความคิดนี้ให้จบไป ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถหลุดจากตรงนี้ได้ พอคอนเซปต์มาแล้ว ถ้ายังจะขืนเอาเพลงที่ลงตัวกับอัลบั้มนี้ไปใส่อัลบั้มหน้า ผมรู้สึกว่ามันไม่ขาด เราจะมูฟออนไม่ได้สักที ฉะนั้นต้องให้มันเคลียร์เลยว่าทุกอย่างจบอยู่ตรงนี้ คอนเซปต์แบบนี้จบแค่นี้”

หากมองไปยังไลน์อัปเพลงในครึ่งแรก สิ่งที่สังเกตเห็นอีกประการคือรายนามศิลปินที่มาร่วมงานกับวงในชุดอย่างคับคั่ง ซึ่งนั่นก็จัดว่ามากที่สุดเท่าที่พวกเขาออกอัลบั้มมาทุกชุด ณ ตอนนี้ คงจะทราบแล้วว่ามี ตั๊ก-ศิริพร อยู่ยอด, ติ๊ก ชิโร่ (มนัสวิน นันทเสน), กอล์ฟ F.Hero (ณัฐวุฒิ ศรีหมอก) รวมถึง แจ๊ส JSPKK (ผดุง ทรงแสง) และหากถอดรหัสจากปกอัลบั้ม ยังมี Easter Egg ซ่อนไว้อีกรอการเปิดเผยในพาร์ตต่อไป

 โอมเล่าถึงเหตุผลของการมีศิลปินมาร่วม featuring กับวงเอาไว้อย่างน่าสนใจ เพราะเขารู้ข้อจำกัดที่ตนมี อะไรที่เขาร้องได้ อะไรที่ร้องไม่ได้ เลยมีการเชิญศิลปินคนอื่น มาเสริมเติมให้เพลงมีความสมบูรณ์ อันเป็นไปตามสเปกที่พวกเขาวางเอาไว้ในใจกัน 

ส่วนเรื่องที่ว่าใครจะเป็นผู้มาถ่ายทอดแนวคิดดังกล่าว กรอบที่วงรวมเอาไว้นั่นก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร 

ข้อ 1 – เสียง ที่ครอบคลุมกับโทนของเพลง 

และข้อ 2 – อุปนิสัย คนนั้นเล่าเรื่องนั้นแล้วทำให้ผู้ฟังเชื่อได้ 

เรามีอิมเมจอยู่ในใจแล้วว่า เนื้อเสียงจะต้องประมาณไหน เราก็ไปค้นว่าถ้าใช้เนื้อเสียงนี้ นึกถึงใครบ้าง บางคนเนื้อเสียงใช่ แต่นิสัยไม่ได้สอดคล้องกับเรื่องที่เล่า เพราะเราอยากได้เรื่องเล่าที่ทรงพลังขึ้น ทำให้ไปได้ไกลกว่าที่ผมเล่าเองคนเดียว ทำให้จินตนาการในหัวของผมมันบียอนด์” โอมอธิบายหลักการคร่าวๆ ให้พอเข้าใจ

“ยกตัวอย่างเพลง รักจริง (ให้ดิ้นตาย) ที่มีพี่ติ๊ก ชิโร่ และกอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ มาร่วมฟีเจอร์ริง มาจากว่าโอมเป็นคนเสียงต่ำ แล้วในฮุกเพลงนี้ต้องการเสียงที่แผดสูง เพื่อฉุดเพลงให้พุ่งขึ้นไป ก็ได้จังหวะเวลาพอดีกันกับพี่ติ๊ก” เชาเล่าเบื้องหลังประกอบให้เห็นภาพขึ้น

มีเรื่องเล็กน้อยแต่สร้างผลลัพธ์ที่ใหญ่ยิ่งอยู่เรื่องหนึ่ง ปกติแล้วเพลงที่มีศิลปินอื่นมาร่วมฟีเจอร์ริงกับ Cocktail โจทย์จะถูกเขียนขึ้นให้ร้องคู่หรือมากกว่านั้นมาตั้งแต่ต้น เว้นเพลง ดึงดัน นั้นที่ต่างออกไป เดิมทีเพลงนี้แต่งขึ้นมาให้เป็นเพลงร้องเดี่ยวปกติ ทว่ามีการท้าในห้องแต่งเพลง โดยฟิลิปส์ท้าโอมไปว่า ทำไมไม่ชวนพี่ตั๊กมาร้องด้วย แล้วเธอก็ถูกชักชวนให้มาร่วมร้องด้วยจริงๆ ภายหลังจึงปรับให้เป็นเพลงร้องคู่ กลายเป็นว่าเสียงของทั้งสองเสริมกันและกัน ผลักให้เพลงติดหูคนฟัง จนมียอดชมในยูทูบสูงถึง 273 ล้านครั้ง มากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของวง

นอกจากนี้เรื่องบางเรื่อง โอมเองก็ยอมรับว่าอาจจะเล่าเองได้ แต่หากเขาร้องเองนั้นกลับไม่น่าเชื่อถือได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงต้องเฟ้นหาบุคคลมาถ่ายทอดช่วย เพื่อที่จะแทนว่าคนเรามีหลายมุมมอง หลายโหมดอยู่ในตัว ที่สำคัญคือให้เรื่องเล่าที่ทรงพลังมากขึ้น 

“อย่างพี่แจ๊ส ชวนชื่น เขาทำให้เพลงดูแน่ขึ้น กวนขึ้น เป็นบุคลิกภาพที่ต่อให้ผมทำ คุณก็ไม่เชื่อ อย่างผมคุยกับจ๋าย (อิชณน์กร พึ่งเกียรติรัศมี นักร้องนำวง Taitosmith) ถึงเพลง นักเลงเก่า ที่ประกอบภาพยนตร์เรื่อง 4King ผมชอบมาก ท่อนที่ร้องว่า คึกคะนองกันมากพอแล้ว อย่าทำอย่างนั้นเลย จากใจนักเลงเก่า โอ๊ย… ถ้าร้องให้เพราะ ผมก็ร้องได้ แต่ใครจะเชื่อผมว่าเป็นนักเลงเก่า ทั้งที่จ๋ายบอกว่าไม่เคยเป็นนักเลงอะไรทั้งนั้นหรอก แต่ใจมันนักเลง บุคลิกภาพกับพลังท่ีส่งออกทั้งจ๋าย ทั้งโมส (ตฤณสิษฐ์ สิริพิชญาศานต์ นักร้องนำวง Taitosmith) มันเชื่อได้”

Chapter 4

ฤาว่า FATE จะเป็นจุดสิ้นสุดของ Cocktail

ขณะที่หลายบทเพลงกำลังทำหน้าที่ นับแล้วก็มีกว่า 6 เพลงที่ยอดชมทางยูทูบอยู่ในหลักล้านวิว บางเพลงแตะหลักสิบล้าน หนึ่งในนั้นสร้างประวัติการณ์เข้าใกล้ 300 ล้าน ผสมกับ เธอ และ คู่ชีวิต ที่เพิ่งฉลอง 200 ล้านวิวไปหมาดๆ เมื่อต้นปี 2022 หากจะถือเป็นห้วงเวลาแห่งการดื่มด่ำความสุข ก็ไม่ผิดแปลกอะไรนัก มองจากสายตาคนนอกสิ่งเหล่านี้จะเรียกว่าประสบความสำเร็จก็พูดได้เต็มปากแล้ว

แต่มีบรรยากาศที่แตกต่างไปจากเดิม มันเจืออยู่ในเนื้อหาเพลง อากัปกิริยาของสมาชิกวง ในทำนองที่ว่าราวกับนี่จะถึงจุดจบสุดท้ายแล้วยังไงยังงั้น สัมผัสได้จากฟรอนต์แมนของวง ซึ่งหล่นวาจาเอาไว้ใน FATE of COCKTAIL สารคดีที่ปูเรื่องราวประกอบอัลบั้มที่ 7 นี้ ที่ว่า อัลบั้มนี้ทำเหมือนเป็นอัลบั้มสุดท้าย ต้องการความรู้สึกแบบเดียวกับตอนทำอัลบั้มแรก คือทำเหมือนกับว่าจะทำครั้งนี้ประหนึ่งว่าไม่เคยมีอัลบั้มไหนมาก่อน ทำด้วยใจอิสระ เชื่อว่าสิ่งที่คนฟังต้องการจากเรามากที่สุดคือ เราแบบที่เราชอบ

Cocktail ชุดนี้เป็นช่วงเวลาที่ผมทำงานแล้วมีความสุขอยู่อย่าง ผมไม่ได้ยึดติด เพราะพออยู่ในวัย 30 กว่าปีแล้ว วงเดินทางมาขนาดนี้ เพลงจะมาหรือไม่มา ไม่ได้ทำให้วงดังมากขึ้นหรือน้อยลงอีกต่อไป วงดังกว่านี้ก็คงไม่ได้แล้ว แล้วก็คงจะอยู่ประมาณนี้ไปสักพัก ก่อนลดลงไปตามกาลเวลาที่ควรเป็น ไม่ได้พูดให้เศร้า แต่มันลดแน่นอน เพราะฉะนั้น enjoy the moment ตัดเรื่องเสียงตอบรับ ความคาดหวัง ประสบการณ์ที่ผ่านมา ตัดออกจากใจให้หมด” โอมสะท้อนความคิดไว้ในระหว่างคุยใน a day talk

มันสะท้านอยู่เต็มอกว่า ไม่มีใครเป็นดาวค้างฟ้าไปตราบชั่วชีวิต แม้จะเคยผ่านการเป็นวงที่กวาดรางวัลทางดนตรีมานักต่อนัก ทั้งเพลงร็อกยอดเยี่ยม เป็นวงที่มีเพลงถูกพูดถึงมากที่สุด ท็อปดาวน์โหลด และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ความจริงที่ไม่อาจเลี่ยงได้นั่นคือว่า มันได้ผ่านมาแล้ว 

และความจริงอีกประการที่พวกเขายอมรับคือ นี่กำลังอยู่ในยุคสมัยของวงดนตรีใหม่ๆ 

“อัลบั้มชุดนี้รวมแนวคิดในเชิงการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ค่อนข้างเยอะ” โอมอธิบายความคิด “ยิ่งพอเราอายุเยอะขึ้น พอมีลูก ยิ่งทำให้มองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ง่าย ทำให้สำเหนียกว่าวันหนึ่งเราก็ต้องจากกันไป ผมทำค่ายเพลง ได้เห็นเด็กๆ ในค่ายเริ่มเจริญเติบโต เป็นยุคของ Tree Man Down, Tilly Bird, Taitosmith เหมือนได้ส่งต่ออะไรบางอย่างออกไปแล้ว รู้สึกได้ถึงช่วงเวลาท้ายๆ ของตัวเรา กำลังจะผ่านเข้าสู่ช่วงวัยค่อนไปทางปลายของอาชีพในวงการบันเทิงหรือเปล่า แม้ว่าจะอุปทานไปเอง แต่เริ่มตระหนักว่าได้เดินทางมาอย่างงดงามแล้ว

“ความคิดเรื่องนี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนสร้างแรงขับมหาศาลในการทำเพลงอัลบั้มนี้ ทำให้เพลงหลั่งออกมามหาศาล คิดงานออกมาประหนึ่งว่านี่เป็น last breath ของวง ผมแต่งเพลงเป็นหลัก จึงส่งบรรยากาศนี้ไปสู่คนในวงโดยปริยาย ซึ่งวงยังไม่ได้สรุปว่าเลิกหรือไม่เลิก แต่ว่าทำงานด้วยความรู้สึกแบบนี้รุนแรงมากๆ” 

ว่าไปแล้วก็ชวนให้นึกถึงปกอัลบั้ม ภาพที่สร้างจากงาน CGI ที่งดงาม เหนือจินตนาการ และเต็มไปด้วยดีเทล เป็นฉากการเริ่มต้นของงานเลี้ยง ทว่าไม่แน่ชัดว่าคืองานเลี้ยงอะไร ชวนสงสัยต่อว่า ฤาว่าจะเป็นงานอำลา เป็นอัลบั้มสุดท้ายของวงจริงๆ

“เป็นไปได้มั้ย ก็อาจจะเป็นไปได้ เพื่อเอาความจริงมาเล่าอีกรอบก็คือ เราเคยจะจบมาแล้ว แต่สุดท้ายมันจะมีอะไรบางอย่างที่เรียกว่าชะตา ทำให้เราทำต่อ วันนี้ผมอาจจะบอกว่า อาจจะเป็นอัลบั้มสุดท้าย มันก็หมดแล้วจริงๆ งัดทั้งสต็อกของเรามาใส่แล้ว แต่ไม่แน่เดือนหน้า ปีหน้า อาจจะเกิดอะไรขึ้นมาก็ได้ เรายังอยากทำอยู่ ฉะนั้นบอกไม่ได้จริงๆ ว่านี่คือที่สุดแล้ว” เชากลั่นกรองความรู้สึกออกมา

จะไปต่อหรือสิ้นสุดเพียงเท่านี้ ไม่มีใครรู้ได้ 

เพราะบางครั้งมันก็ยากที่จะบังคับชีวิตตัวเอง จนอาจจะต้องให้ชะตาเป็นตัวตัดสินก็เป็นได้

แต่ ณ ตอนนี้เท่าที่รู้ได้ หากเอาแค่ปัจจุบันในวันที่อัลบั้ม FATE Part 1 : alpha ออกมาแล้ว ถ้าจะให้จารึกความรู้สึกนึกคิดของเขาทั้งสี่อย่างแจ่มชัดที่สุด ถึงสิ่งที่พวกเขาคาดหวังไว้ว่า คนฟังจะได้อะไรกลับไปจากงานเพลงชุดนี้อย่างไรนั้น พวกเขาสามารถบอกคำตอบกันได้อย่างฉะฉาน

มีชุดความคิดอย่างหนึ่งที่ผมได้ยินพี่โอมพูดบ่อยๆ ณ วันหนึ่งเพลงเป็นของเรา แต่เมื่อวันใดถูกปล่อยไปสู่คนฟังแล้ว สุดท้ายเพลงเหล่านั้นจะไปอยู่กับเขา ในแนวคิดหรือความรู้สึกช่วงเวลานั้นๆ ของเขา ผมว่าทุกคนจะได้ฟังเพลงของเรา ด้วยความรู้สึกและอารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป เราก็พยายามทำอย่างเต็มที่มาตลอด อยากส่งต่อเพลงเหล่านี้ไปสู่คนฟังทุกคน ให้เป็นความรู้สึกดีๆ ในช่วงเวลาของเขา” ฟิลิปส์ มือกลองลองบอกเล่าความคิดออกก่อน

“สุดท้ายก็นานาจิตตัง เพลงเป็นไอเดียของผม ฟังแล้วอาจจะคิดเหมือนหรือไม่เหมือนผมก็ได้ ผมยังอยู่ในหลักการเดิมว่า เมื่อแต่งเพลง เพลงเป็นของผม แต่เมื่อเพลงออกจากผมไปแล้ว ไม่ใช่ของผม ใครอยากจะตีความ เชื่อหรือไม่เชื่อ ชอบหรือไม่ชอบ เป็นสิทธิ์ของท่าน” โอม ฟรอนต์แมนของวงหล่นความเห็นของตน

“เพลงเพลงหนึ่งฟังวันนี้อาจจะรู้สึกแบบหนึ่ง ฟังในสถานการณ์หนึ่งก็รู้สึกอีกแบบหนึ่ง คนฟังรู้สึกยังไงกับแต่ละเพลง เป็นสิ่งที่แล้วแต่จะตีความเพลงนั้นๆ เป็นของตัวเองอยู่แล้ว ถ้าคนฟังมีความสุข แน่นอนว่าคนทำงานก็มีความสุข” ปาร์ค มือเบสสื่อสารความรู้สึกออกมา

เชาเล่าความรู้สึกของคนทำเพลงว่า “ผมอยากให้คนฟัง enjoy กับมันก็พอ ไม่ได้หมายความว่าฟังแล้วจะต้องมีความสุข หากคุณเศร้า ฟังเพลงของเราแล้วดีขึ้น ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าฟังแล้วรู้สึกเศร้าตามเพลงจริง ก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน แสดงว่าสิ่งที่เราส่งออกไป มันสัมฤทธิ์ผล”

อ้างอิง

Fate of COCKTAIL EP.1 | αlpha
https://www.youtube.com/watch?v=Mqz8pUTAAE4&t=28s

Fate of COCKTAIL EP.2 | Ωmega
https://www.youtube.com/watch?v=d4TzEnuFnYo

Fate of COCKTAIL EP.3 | Fate
https://www.youtube.com/watch?v=ebsVoKrUaUM

 Cocktail
https://www.facebook.com/cheerscocktailhttps://www.facebook.com/cheerscocktail/photos/cocktail-all-about-albums-2545-25571-%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%81-cocktail-25452546c/10155409163570611/

AUTHOR