Faceless : ไร้หน้า แต่ไม่ไร้หัวใจ

สำหรับคนรักการดูหนังดูละครญี่ปุ่น เป็นที่รู้กันดีว่าเมื่อสัก 5 หรือ 10 ปีก่อน ไม่ว่าจะงานจอเงินจอแก้วล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ได้หาดูง่ายนัก ในขณะที่หนังหรือซีรีส์จากเกาหลีมีให้ดูทางสตรีมมิงพร้อมกับประเทศถิ่นกำเนิด ละครญี่ปุ่นแทบจะไม่ปรากฏบนแพลตฟอร์มใดๆ ด้วยนโยบายด้านสื่อบันเทิงของญี่ปุ่นที่มุ่งตลาดภายในประเทศ ไม่เน้นการส่งออก ไม่ว่าจะหนัง ละคร ดนตรี คอนเสิร์ต (ยังจำกันได้หรือเปล่าว่ายุคหนึ่งมิวสิกวิดีโอเพลงญี่ปุ่นล็อกโซนให้ดูได้ในประเทศตัวเองเท่านั้น!) การจะดูหนัง/ละครญี่ปุ่นได้ก็ต้องเป็นแฟนๆ แปลซับไตเติลกันเองหรือที่เรียกว่าแฟนซับ (Fansub)

แต่ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว ตั้งแต่ช่วงหลังโควิดมา แนวโน้มของอุตสาหกรรมบันเทิงญี่ปุ่นเริ่ม ‘ออกนอกเกาะ’ มากขึ้น เห็นได้จาก มิวสิกวิดีโอเลิกล็อกโซน บางเพลงมีซับไตเติลภาษาอังกฤษเสร็จสรรพ ศิลปินญี่ปุ่นมีคอนเสิร์ตในแถบเอเชียมากขึ้น ส่วนหนัง/ละครญี่ปุ่นหาดูได้ง่ายขึ้นทางสตรีมมิงใดๆ มีทั้งผลงานคลาสสิกยุค 90 หรือ 00 ไปจนถึงซีรีส์ที่กำลังออนแอร์ที่ญี่ปุ่น ซึ่งอาจจะฉายในไทยช้ากว่าญี่ปุ่นสัก 1 สัปดาห์

ในช่วงกุมภาพันธ์ 2025 มีภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่องสำคัญออนแอร์ทางเน็ตฟลิกซ์ นั่นคือ Faceless (2024) ซึ่งเข้าชิงรางวัล Japan Academy Film Prize มากที่สุด จำนวน 13 สาขา (ประกาศผลช่วงมีนาคม) หนังสร้างจากนิยายของ ทาเมฮิโตะ โซเมอิ ว่าด้วยคาบูรากิ ผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมที่แหกคุกออกมา เขาย้ายไปตามภูมิภาคต่างๆ ของญี่ปุ่น พร้อมกับเปลี่ยนชื่อและรูปลักษณ์ไปเรื่อย อย่างไรก็ดี คาบูรากิไม่ใช่ฆาตกรเลือดเย็น เขายืนยันว่าตัวเองบริสุทธิ์ ระหว่างหลบหนีเขาได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนจำนวนหนึ่งและพวกเขาอาจกลายเป็นไม่กี่คนในโลกที่ช่วยล้างมลทินให้กับคาบูรากิได้ 

Faceless เป็นผลงานกำกับของ มิจิฮิโตะ ฟูจิอิ คนทำหนังที่ฮ็อตที่สุดคนหนึ่งในช่วง 3 – 4 ปีนี้ ปัจจุบันเขาอายุเพียง 39 ปี แต่ทำหนังมาเกิน 10 เรื่อง เขาสามารถทำได้ทั้งหนังเมโลดราม่า (The Last 10 Years) หนังโรแมนซ์ (18×2 Beyond Youthful Days) หนังดราม่า (The Parades) หนังสืบสวน (The Journalist) หนังทริลเลอร์ (The Village) ซึ่งทุกเรื่องมีคุณภาพในระดับน่าพอใจ ล่าสุดเขาจะได้ทำซีรีส์ซามูไร Last Samurai Standing ที่รวมดาราญี่ปุ่นชื่อดังมากมาย ฉายทางเน็ตฟลิกซ์ช่วงพฤศจิกายนนี้

ความน่าสนใจของ Faceless คือเรื่องของ ‘โครงสร้าง’ และ ‘มุมมอง’ หนังเล่าสลับไปมาระหว่าง 2 ช่วงเวลา หนึ่ง-ช่วงอดีตที่พระเอกหลบหนีไปยังเมืองต่างๆ และสอง-ช่วงปัจจุบันที่เล่าถึงบรรดาผู้คนที่เคยพบเจอกับพระเอก พวกเขาได้รับรู้แล้วว่าคาบูรากิคือผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมและต้องจัดการกับความเชื่อของตัวเองว่าคาบูรากิคือฆาตกรใจโหดหรือผู้บริสุทธิ์ นอกจากนั้นหนังยังมีมุมมองของตำรวจผู้ตามล่าคาบูรากิ ยิ่งเวลาผ่านไปความยึดมั่นถือมั่นว่าอีกฝ่ายคือคนร้ายก็เริ่มสั่นคลอนมากขึ้น

แต่แน่นอนว่าจุดเด่นที่สุดของ Faceless คือ ริวเซย์ โยโกฮามะ ผู้รับบทนำ ด้วยการแสดงเป็นหลากหลายตัวตนได้อย่างน่าเชื่อถือ รวมถึงการถ่ายทอดถึงความเปราะบางของตัวละครอย่างน่าเจ็บปวด เขาคว้ารางวัลนำชายจากหลายเวที รวมถึงเป็นตัวเต็งของงาน Japan Academy Film Prize ด้วย ซึ่งโยโกฮามะนั้นร่วมงานกับผู้กำกับฟูจิอิอยู่บ่อยครั้ง จนถือได้ว่าเป็นนักแสดง-ผู้กำกับคู่บุญกัน สิ่งที่น่าชื่นชมคือเขาพัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปี จากการเล่นหนังรอมคอมหรือยอดมนุษย์ เขาหันมารับบทที่จริงจังและท้าทายมากขึ้น ไม่ว่าจะแฟนหนุ่มสุดชั่วใน Wandering (2022) หรือชายผู้มีชะตากรรมน่าเศร้าจาก The Village (2023) และอาจพูดได้ว่าเขามาถึงจุดพีคทางอาชีพใน Faceless

Faceless ยังสะท้อนถึงเรื่องการตราบาปจากสังคม (Social Stigma) ในประเทศญี่ปุ่น เราอาจจะคุ้นเคยกับสังคมเกาหลีที่แคนเซิลหรือก่นด่าประณามคนดังผู้ทำผิดพลาดจนเขาตัดสินใจปลิดชีพตัวเอง แต่ในญี่ปุ่นผู้คนที่เคยทำผิดทางอาญาก็มักถูกกีดกันทางสังคม เช่น คนที่ออกจากคุกมาแล้วหางานยาก เพื่อนบ้านรังเกียจ กระทั่งญาติพี่น้องก็ซวยไปด้วย เช่น ถูกปาหินใส่บ้าน ถูกพ่นกำแพงบ้านว่า ‘ไอ้ฆาตกร’ หรือถูกแขวนทางโซเชียลมีเดีย จนผู้ต้องหาหรือญาติต้องย้ายถิ่นฐาน เปลี่ยนชื่อแซ่ หรือกระทั่ง ‘หายตัว’ ไปจากสังคมแล้วไปใช้ชีวิตที่ห่างไกล ที่เรียกกันว่า Johatsu (Evaporated People) มันถึงขั้นว่าในญี่ปุ่นนั้นมีบริษัทรับจ้างทำให้คนหายตัวไป ไม่ว่าจะช่วยขนย้ายข้าวของอย่างรวดเร็วไร้ร่องรอย และหาถิ่นที่อยู่ให้ใหม่

หากแต่คาบูรากิไม่ยอมหายตัวไป เขาเลือกจะพิสูจน์ว่าตัวเองบริสุทธิ์ ซึ่งเขาไม่สามารถทำด้วยตัวคนเดียว ผู้คนที่เขาได้พบเจอช่วงหลบหนีจึงต้องมาร่วมมือกันช่วยเหลือพระเอก ซึ่งพล็อตส่วนนี้อาจไม่ถึงขั้นโลกสวย แต่ดูจะมองโลกในแง่ดีหรือเน้นแง่งามมากไปเสียหน่อย กระนั้นก็สัมผัสได้ถึงจุดประสงค์ของผู้สร้างที่ต้องการตั้งคำถามว่าในโลกที่ชั่วร้ายขั้นนี้ มนุษย์เรายังเหลือความเชื่อใจให้กันอยู่หรือเปล่า ซึ่งตราบใดที่ยังมีการตัดสินคดีผิดพลาด หรือติดคุกฟรี (เช่น กรณีของ อิวาโอะ ฮากามาดะ ที่ถูกตัดสินผิดว่าก่อเหตุฆาตกรรม จนต้องติดคุกถึง 46 ปี) หนังอย่าง Faceless ก็ยังถือว่าจำเป็นต่อการดำรงอยู่ 

AUTHOR