ในช่วงขวบปีที่ยังเป็นเด็กเรามักจะได้ยินประโยคที่ว่า วัยเยาว์คือช่วงเวลาที่สุขที่สุดแล้ว สิ่งไหนหรืออะไรที่ยากลำบากอยู่ในตอนนี้มันเทียบไม่ได้กับรสชาติของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่
ตอนประถมเราถูกพี่วัยมัธยมบอกว่าฮอร์โมนที่แท้จริงมันอยู่ในช่วงมัธยมปลาย ความพลุ่งพล่าน สับสน มึนงงของเด็กน้อยมันยังไม่ใช่ของจริง และเมื่อถึงวัยหนุ่มสาวต้องเผชิญหน้ากับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เป็นเรื่องใหญ่ ชี้ชะตาชีวิตอนาคตของพวกเขา รุ่นพี่มหาวิทยาลัยก็จะมาบอกว่าการสอบเข้าน่ะกระจอก การเข้ามาเรียนและอยู่ให้รอดในรั้วมหาลัยสิของจริง
ขณะที่วัยทำงานผ่านมาได้ยินก็คงหัวเราะ หึ ในลำคอ แล้วบอกว่า รอพวกเจ้าออกมาสู่โลกภายนอกก่อนเถอะ ยังไม่นับ Midlife Crisis หรือความเคว้งคว้างหลังเกษียณ ที่จริงเเละเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ โลกจริงมันโหดร้ายกว่านั้นเจ้าพวกเด็กน้อย
คำบอกเล่าเหล่านั้น ทำให้เราตั้งคำถามว่ารสชาติของความแตกสลายและรวดร้าวที่สุดคือช่วงเวลาไหนกันแน่?
ถ้าหนังหรือวรรณกรรม คือการบอกเล่าเรื่องของมนุษย์ได้อย่างละเอียดและสะท้อนกลับความเป็นจริงได้กระจ่างชัดมากที่สุด การที่โลกนี้มีหนังที่บอกเล่าเรื่องราวของคนทุกช่วงวัยก็คงพอจะการันตีได้ว่า ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ ความยากลำบากในการเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ ในช่วงเวลานั้นคือของจริง ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นๆ มากเพียงพอที่จะรู้สึก ไม่ว่าเมื่อผ่านเวลาไปสิ่งที่เรารู้สึกมันจะเจือจางลงแค่ไหน แต่จริงๆ แล้วมันเข้มข้นที่สุด ณ ตอนที่รู้สึกเสมอ
a day จึงอยากชวนมามองเรื่องราวเหล่านี้ผ่านตัวละครเด็กและวัยรุ่นที่คงไม่ได้เจ็บสุดแค่หกล้ม ในหนังก้าวพ้นวัย ที่ก้าวพ้นบ้างไม่พ้นบ้างว่า พวกเขาล้วนต้องเผชิญกับโลกที่ไม่ได้โอบรับความไม่ประสาในการดำรงอยู่ของพวกเขาเลย การก้าวพ้นวัยจึงรวดร้าวและต้องแตกสลายก่อนจะผ่านพ้นไปได้เสมอ
*** เนื้อหาบทความหลังจากนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของหนัง
ยูอิจิ ฮาซูมิ, ชูสึเกะ โฮชิโนะ ใน All About Lily Chou-Chou, 2001 (ชุนจิ อิวาอิ)
เราควรจะยืนอยู่หนแห่งใดในโลกอันกว้างใหญ่นี้

หากใครเคยได้รู้จักกับเหล่าตัวละครในเรื่อง All About Lily Chou-Chou คุณคงจะเข้าใจดีว่า โลกนี้เป็นสีเทาแต่ทุ่งหญ้ายังเขียวขจีเป็นอย่างไร ‘ยูอิจิ ฮาซูมิ’ และ ‘ชูสึเกะ โฮชิโนะ’ ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน เด็กหนุ่มวัยมัธยมที่หลงใหลคลั่งไคล้ในศิลปิน ‘Lily Chou-Chou’ โลกของพวกเขาจึงดำเนินไปคู่ขนานระหว่างชีวิตจริงที่แสนเจ็บปวดกับโลกในเว็บบอร์ดที่มีไว้เพื่อเชิดชูศิลปินที่รัก
ชูสึเกะเป็นคนแนะนำให้ยูอิจิรู้จัก Lily แต่หลังจากเหตุการณ์สำคัญของเรื่อง สถานะของทั้งคู่กลายเปลี่ยนเป็นหัวหน้าเเก๊งอันธพาลกับเด็กที่ถูกบูลลี่
โลกของยูอิจิเองล่มสลายลงเมื่อตัวเองต้องกลายมาเป็นลูกกระจ๊อกให้กับอดีตเพื่อนสนิท หนังถ่ายทอดและอนุญาตให้เราเห็นลึกไปถึงความเจ็บปวดภายในของการหดตัวลงในจุดยืนของเด็กหนุ่มในช่วงขวบปีที่กำลังจะก้าวพ้นวัย เขามีเพียง Lily และใช้เธอเป็นที่พึ่งทางจิตใจราวกับศาสนา
โลกในเว็บบอร์ดแฟนคลับของ Lily จึงเป็นที่หนแห่งเดียวที่เขาถูกตอบรับ ท่ามกลางความทึมเทาของโลกจริงที่เขาอยู่ โลกออนไลน์ ผู้คนที่ลอยเคว้งอยู่ในอากาศทำให้ทุ่งข้าวยังคงเขียวขจี แต่สุดท้าย เขาก็พบว่าเพื่อนเพียงคนเดียวที่เขามีอยู่ ไม่มีอยู่จริง แอ็กเคานต์ Bluecat ความสัมพันธ์เดียวที่ฉุดเขาขึ้นมาจากหลุมลึกของเรื่องราวในโลกจริง คือ ‘ชูสึเกะ’ คนที่ทำให้โลกเขาล่มสลายลง ตัวเขาหายไปอีกครั้ง คงไม่มีจริงๆ ที่ที่เป็นของเรา ของเด็กชายคนนั้นในช่วงวัยไม่พ้นวัย
และในขณะเดียวกัน ‘ชูสึเกะ’ ผู้ที่ดูเหมือนจะอยู่ห่วงโซ่บนสุดของระบบนิเวศในโรงเรียน เขาคือหัวหน้าแก๊งอันธพาลผู้สามารถบงการ ‘เพื่อน’ ได้ แต่ภายใต้สิ่งเหล่านั้น เขาคืออดีตนักเรียนตัวอย่าง เรียนเก่งและสุภาพ
ความน่าสนใจคือช่องว่างที่หนังไม่ได้เล่าถึงการเปลี่ยนผ่านของเด็กดีไปสู่การระเบิดพฤติกรรมการแสดงออกอย่างเเข็งกร้าว ท่อนส่วนตรงนี้แหละที่คือความเปราะบางของมนุษย์คนหนึ่ง
ชูสึเกะจึงเป็นตัวแทนของการ Evolve ตัวเองจากรอยปริแตกของสภาพการณ์บางอย่าง ในช่วงเวลาที่จิตใจไม่คงมั่นสุดๆ เราเห็นการกรีดร้องที่ไม่มีเสียงของเขาผ่านท่าทีที่นิ่งสงบ ผ่านพฤติกรรมที่ไม่น่าอภิรมย์ ไม่มีข้อแก้ตัวอะไรให้กับการกระทำของเด็กชายคนนี้ทั้งนั้น มีแต่ความเป็นมนุษย์ที่ถูกชำแหละแผ่กางออกมาให้เห็น ว่าการเผชิญหน้ากับความไม่มั่นคงของการดำรงอยู่ทำอะไรกับเด็ก กับวัยรุ่น ไม่สิ กับมนุษย์คนหนึ่งได้บ้าง
โซฟี ใน Aftersun, 2022 (ชาร์ล็อตต์ เวลส์)
ผมไม่แน่ใจเลยว่าใช้ชีวิตมาถึง 30 ได้ไง แต่คงไม่น่ารอดไปถึง 40 แน่

ความฝังจำในเยาว์วัยมักแฝงเร้นอยู่ในพฤติกรรม ความเป็นไปอยู่ในซอกใดซอกหนึ่งของการพ้นผ่านวัย ตัวละครโซฟีเป็นภาพแทนของประโยคนี้ได้อย่างแจ่มชัด เรื่องราวของเธอไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า ลูกสาวกับพ่อ (แคลัม) ไปพักผ่อนด้วยกันในรีสอร์ตประเทศตุรกี
แต่ภายใต้เรื่องราวธรรมดาสามัญนั้นกลับเต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนทางอารมณ์ เราจะสัมผัสได้ว่าแคลัมกำลังเผชิญหน้าอยู่กับความไม่มั่นคงทางจิตใจ เขาเป็นพ่อที่ไม่แข็งแรงเพียงพอที่จะประคองลูกสาว ทำได้เพียงจับแตะอย่างเเผ่วเบา ช่องว่างระหว่างคนทั้งคู่กว้างใหญ่มหาศาล
เราจะเห็นภาพของแคลัมเปราะบางจนเหมือนจะบุบสลายได้ทุกเมื่อ ในขณะที่โซฟีเองก็พอจะจับก้อนมวลเหล่านั้นได้ แต่ก็เป็นเพียงพื้นผิวของมัน เป็นผิวส่วนที่ลอกเป็นขุยออกมาด้วยซ้ำไป เธอไม่อาจเข้าใจการต่อสู้ดิ้นรนภายในของผู้ใหญ่ และอาจเป็นเพราะเหตุนั้นรอยแหว่งทางใจจากผู้เป็นพ่อจึงเกี่ยวเอาบางเสี้ยวภายในของเธอหลุดขาดออกไปด้วย โดยที่เด็กสาวไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ
การไปพักผ่อนในครั้งนั้นทิ้งตะกอนขุ่นๆ ไว้กับเธอ อาจไม่มากมายแต่เพียงพอให้มันกัดกินบางท่อนบางส่วนของเด็กน้อยเสมอไป และไม่มากก็น้อยเมื่อเธอโตขึ้นเพียงพอจะเข้าใจพ่อในวันนั้นแล้ว บาดแผลที่เคยยุบยิบอยู่ข้างในก็อาจกลับมาเผยตัว ฉีกทึ้งความเป็นผู้ใหญ่ในตัวเธอได้เหมือนกัน ดังเช่นผู้กำกับที่กลับไปเจอรูปภาพเก่าที่ถ่ายกับพ่อ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อเกิดหนังเรื่องนี้
โซฟีจึงเป็นตัวแทนของเด็กที่ถูกโอบกอดโดยอ้อมกอดที่อ่อนแรงเหลือเกิน
ด็อกซอน ใน Reply 1988, 2015 (ชินวอนโฮ)
ลูกคนกลางทั้งโลกรู้ดี พี่ก็คือพี่ น้องก็คือน้อง ฉันก็ต้องยอมให้เขาตลอด
แต่ฉันก็อยากให้พ่อแม่รู้ว่าฉันเสียสละแค่ไหน บางครั้งคนที่หลงลืมเรามากที่สุดก็คือครอบครัวเราเอง

หากใครที่เคยได้ดูซีรีส์เรื่อง Reply 1988 คงจะอดไม่ได้ที่จะตกหลุมรักด็อกซอน เด็กสาวสุดร่าเริงที่สร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกคน เธอเอาใจใส่และคิดถึงคนรอบข้างเสมอ แม้พื้นฐานชีวิตของเธออาจจะไม่ได้สดใสเหมือนสิ่งที่เธอเป็น แต่ด็อกซอนเป็นตัวละครที่ทำให้เรารู้สึกว่าพลังบวกที่เธอมีเมื่อผสมปนเข้ากับความไร้เดียงสาในช่วงขวบปีที่หนังเล่าถึง มันบ่มเพาะให้เธอเป็นคนที่เเข็งแรงทางด้านจิตใจมากเลยทีเดียว
เธอเติบโตมาในบ้านกึ่งใต้ดิน สถานะทางการเงินที่บ้านค่อนข้างด้อยกว่าเพื่อนๆ อยู่ไม่น้อย มีพ่อเป็นพนักงานธนาคารที่มีชนักติดหลัง ต้องจ่ายหนี้เเทนเพื่อนที่ตัวเองเอาชื่อไปค้ำประกันเงินกู้ให้
ซีรีส์จะโปรยฉากที่พ่อของด็อกซอนมักจะใช้เงินไปกับความน่าสงสารของคนอื่นๆ เสมอ แต่ในขณะเดียวกันพ่อกลับแสดงความไร้อาดูรกับคนที่บ้านอยู่บ่อยๆ สถานภาพทางการเงินของครอบครัวเธอจึงอยู่ในขั้นที่ต้องไปหยิบยืมเงินเพื่อนบ้านเพื่อมาจ่ายค่าไปทัศนศึกษาให้กับด็อกซอน
แต่จุดตัดที่ทำให้เธอระเบิดความรู้สึกออกมาไม่ใช่เรื่องของการไม่มีสิ่งของเหมือนคนอื่น แต่กลับเป็นการไม่มี ไม่ได้ในสิ่งที่พี่น้องของเธอได้รับ ในตอนหนึ่งของซีรีส์มีการพูดถึงสภาวะการเป็นลูกคนกลางของด็อกซอน เธอมีพี่สาวที่เรียนเก่ง พ่อกับแม่จึงมักจะให้อะไรดีๆ แก่พี่สาวก่อนเสมอ และมีน้องชายที่เป็นลูกรักของพ่อ ความสำคัญของเธอช่างดูกระจ้อยร่อยในครอบครัว
แม้ซีรีส์จะหาทางลงโดยฉายภาพมุมมองความไม่สมบูรณ์ของมนุษย์ในฐานะพ่อแม่ พ่อขอโทษเธอและบอกว่าพวกเขาเองก็เป็นพ่อแม่ครั้งแรก แน่นอนว่าในความเป็นมนุษย์เราคงเข้าอกเข้าใจประโยคนี้เป็นอย่างดี ว่าพวกเราล้วนพร่องขาดอะไรไปเสมอ แต่ความโหดร้ายอาจคือ เหตุใดรอยแหว่งนั้นดันเป็นด็อกซอน ลูกคนกลางผู้เสียสละให้คนอื่นได้เสมอ หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะเหตุนั้น เพราะใครๆ ต่างก็รู้ว่าเธอจะไม่เป็นไร เธอจึงถูกมองข้ามไป
และสิ่งที่สะท้อนชัดว่าเธอรู้สึกขาดพร่องจากการถูกให้ความสำคัญ คือเธอพยายามมองหาว่าใครที่จะมาชอบเธอได้บ้าง เธออยากถูกให้ความสำคัญ เราจึงจะเห็นด็อกซอนตามหาว่าเพื่อนคนไหนชอบเธอ แล้วเธอจึงจะชอบเขากลับไป ในช่วงขณะหนึ่งเธอพยายามจับความมั่นคงทางจิตใจผ่านความรักในรูปแบบคนรัก เพื่อได้รับการยืนยันว่าในความสัมพันธ์นี้เธอจะสำคัญกับใครบางคนที่สุด
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่างที่บอกว่าด็อกซอนช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน เธอใช้ความอินโนเซนต์ของความเยาว์ก้าวพ้นวัยไปอย่างมั่นคง และเติบโตโดยไม่ทิ้งความสดใสและหัวใจที่เสียสละไว้ข้างหลังเลย
พี่น้องตระกูลลิสบอน ใน The Virgin Suicides, 1999 (โซเฟีย คอปโปลา)
She just wanted out of that house

อะไรมันจะโหดร้ายไปกว่าการถูกจองจำในช่วงวัยใคร่ปรารถนา สาวๆ พี่น้องตระกูลลิสบอนทั้ง 5 คนล้วนเผชิญอยู่กับชะตากรรมเดียวกันคือถูกขังไว้ในคุกที่เรียกว่าบ้านในช่วงขวบปีใคร่ที่จะรู้มากที่สุด
หนังเรื่อง The Virgin Suicides ไม่ได้ให้รายละเอียดในระยะประชิดเกี่ยวกับเรื่องราวของสาวๆ และพ่อแม่มากนัก แต่เลือกที่จะให้เราปะติดปะต่อเรื่องผ่านมุมมองของหนุ่มวัยงุ่นง่านที่ซุ่มมองพวกเธอ และรับรู้เรื่องราวผ่านไดอารี่ของ ซีซิเลีย น้องสาวคนเล็กที่ทำอัตวินิบาตกรรมเป็นคนแรก
เรื่องราวดำเนินไปโดยผสมปนเประหว่างความจริงกับจินตนาการของผู้เล่า เหล่าหญิงสาวจึงดู
ราวกับจะเป็นปริศนาที่น่าค้นหาอย่างยิ่งยวด
หลักฐานที่เด่นชัดจากข้อมูลทั้งหมดคือความน่าสลดหดหู่ใจที่ฉายชัดผ่านวิถีชีวิตที่บิดเบี้ยวของพวกเธอ ความเคร่งครัดจนชวนสยองขวัญพรั่นพรึงของพ่อแม่ที่กระทำต่อลูกๆ นำไปสู่การฆ่าตัวตายยกแผงในท้ายที่สุด จากหนังเราไม่อาจชี้ชัดได้ว่าเป็นเพราะเหตุนี้เหตุเดียว เพราะเราถูกอนุญาตให้เป็นเพียงคนนอกในการดูห่างๆ เท่านั้น
แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่เราพอจะทำความเข้าใจได้คือ พวกเธอจนมุม ไม่อาจข้ามพ้นประตูที่ถูกตอกปิดทึบไว้รอบด้าน สิ้นสุดวัยเยาว์ไว้เพียงเท่านั้น ในขณะที่พ่อเเม่ต้องการที่จะดูแลพวกเธออย่างสุดลิ่มทิ่มประตู โดยการฝังจมไว้ในบ้าน แต่ก็เป็นพ่อแม่เองนั่นแหละที่งัดประตูแล้วผลักพวกเธอออกไปสู่หุบเหวลึกที่พวกเขากลัวนักหนาว่าพวกเธอจะตกลงไป
ซู ใน Where We Belong, 2019 (คงเดช จาตุรันต์รัศมี)
ที่ตรงนั้น มีฉันหรือเปล่า

ท่ามกลางความง่อนแง่นไร้หลักยึดของเมืองที่กดทับการเติบโตทางความคิดของผู้คน ‘ซู’ หญิงสาวที่กำลังเข้าสู่วัยเปลี่ยนผ่าน เธอรู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่งกับใครหรืออะไรเลย ในช่วงวัยที่เปราะบางเช่นนี้ เธอ (พวกเธอและพวกเรา) อยู่ในที่ที่ไร้ซึ่งหลักยึดเหนี่ยว ไม่ว่าจะเป็นผู้คนหรือสภาพการณ์ของสังคม เธอจึงต้องการหนีไปเสียจากบ้าน
ระยะห่างของซูกับสิ่งรายล้อมรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวหมูเลียงที่เธอไม่ได้อยากจะรับช่วงต่อเลยสักนิด พ่อที่ไม่สามารถพูดคุยกันได้เลย เมืองเเละผู้คนที่เธอไม่สามารถหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งได้ สร้างความรู้สึกโดดเดี่ยว ราวกับโลกที่เธออยู่มีเพียงเเค่เธอคนเดียว
แต่การจะปลดพันธนาการของสิ่งซึ่งเกี่ยวพันกันมาแต่อ้อนแต่ออกกลับไม่ง่ายอย่างนั้น เธอต้องหันกลับไปสะสางสิ่งยุ่งเหยิงที่สางไม่ออกก่อนการหนีออกไป ไปประเทศไหนก็ได้ เพียงแต่ต้องไม่ใช่ที่นี่ เธอต้องหันหน้าเผชิญกับสิ่งที่ไม่อยากจะเกี่ยวพันด้วยมากที่สุด อย่างการคุยกับพ่อที่ค้านในเรื่องที่เธอจะไปต่างประเทศ หรือการสะสางความสัมพันธ์ที่เธอเคยหันหลังให้ ยิ่งซูเผชิญหน้ากับสิ่งที่เคยเลี่ยงมากเท่าไหร่ ความสิ้นหวังต่อชีวิตและการก้าวเดินต่อไปกลับมากขึ้นเท่านั้น
ไม่มากก็น้อยเราเชื่อว่าซูกับพวกเราเชื่อมโยงกันได้ไม่ยาก เราทุกคนล้วนต่อไม่ติดกับอะไรบางอย่าง แม้สิ่งนั้นจะเกี่ยวพันกับตัวตนเราอย่างแน่นแฟ้น คำถามคืออะไรมันสร้างสภาพแวดล้อม กฎกติกา เงื่อนไขบางอย่างมาบีบรัดชีวิต กดทับการงอกเงยของเราส่งต่อกันมาเป็นทอดๆ จนกีดกันเราให้ไกลห่างออกจากที่ที่มันควรเป็นของเราได้ขนาดนี้
แน่นอนว่าซูคือภาพสะท้อนของเด็กรุ่นใหม่ที่เหนื่อยล้าเต็มทีกับการถูกส่งต่อ หยิบยื่นทางเลือกที่ไม่ได้ Evolve ไปตามการหมุนไปของโลก การหนีออกไปเสียจากบ้านคือการอารยะขัดขืนต่อการครอบงำก่อนเก่าที่วนกลับไปหาต้นทางไม่เจอ
หนังและซูไม่ได้ให้บทสรุปที่เป็นรูปธรรม เพียงเเต่รำพึงว่า ‘เราจะโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่เราไม่ชอบหรือเปล่า’ แต่การเคลื่อนไปก็เป็นส่วนหนึ่งของการมีชีวิตอยู่ เราไม่รู้ว่าเราจะโตไปเป็นแบบไหน จะส่งต่อทางเลือกที่สร้างการกดทับให้คนรุ่นต่อไปหรือไม่ หรือจะหันกลับไปสะสางสิ่งที่พันกันยุ่งเหยิง เพื่อมุดออกไปจากกรอบครอบเหล่านั้น ไม่มีใครตอบได้
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
การเติบโตมันเคว้งคว้างไร้หลักยึดและการมีชีวิตอยู่มันแสนเข็ญขนาดนั้นแหละ
แม้เหล่าตัวละครที่เราเขียนถึงเขาจะมีชีวิตที่แตกต่างกันทั้งบริบทและช่วงเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่มีร่วมกันคือ พวกเขาล้วนกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เปราะบาง พร้อมที่จะหักพังแหลกสลายได้ทุกเมื่อ ไม่อาจประคองตัวเองด้วยมือของตัวได้เลย ดังนั้นการจะก้าวผ่านไปได้จำเป็นต้องมีทั้งหน่วยใหญ่และหน่วยย่อยเข้ามาโอบรับและดันหลัง
ให้ผ่านพ้นไปได้เพื่อบรรลุ นิติ ภาวะ ไปสู่การเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรงเพียงพอที่จะก้าวขาไปอย่างมั่นคง
และถึงอย่างนั้นสภาวะนี้จะไม่มีวันสิ้นสุดลง คุณจะยังเปราะบางและเดียงสาต่อโลกได้อีกไม่รู้จบ ไม่ว่าจะเติบโตไปจนถึงอายุเท่าไหร่ โลกยังคงต้องหมุนไปเพื่อเจอสิ่งที่ต้องก้าวพ้นใหม่ เรายังจำเป็นต้องก้าวขาไปสักที่สักแห่ง ไปในที่ที่เราเองก็ไม่รู้ เพียงแต่ต้องไป ชีวิตมันเป็นแบบนั้น
และเพราะบริบทชีวิตของมนุษย์แตกต่างกันมากมายเหลือเกิน จนเราคงไม่อาจไปชี้บอกใครว่าช่วงเวลาไหน วัยไหนอย่าพึ่งเป็นทุกข์เลย