วันที่ฉันรู้สึกว่าเกือบจะเสียพ่อไป

บางทีคนเราก็ไม่รู้คุณค่าของคนที่คอยอยู่รอบข้างเรา จนกระทั่งเรารู้ว่าอาจจะเสียเขาไป
เราก็เป็นคนหนึ่งในนั้น เราเป็นคนที่ค่อนข้างเป็นตัวของตัวเองสูง เป็นลูกคนเดียว แต่พ่อแม่เลี้ยงให้ช่วยเหลือตัวเองมาตลอด เดินทางไปต่างประเทศเองตั้งแต่อยู่มัธยม
พอจบมหาวิทยาลัย อายุไม่ถึง 20 ปีก็ไปใช้ชีวิต เรียน และทำงานอยู่หลายประเทศ
เราคิดมาตลอดว่าเราเข้มแข็ง ช่วยเหลือตัวเองได้ อยู่ด้วยตัวเองได้
ไม่จำเป็นต้องพึ่งใคร

พ่อของเราเป็นนักธุรกิจแนวหน้าระดับประเทศที่เก่งมาก
ที่สำคัญท่านเป็นคนที่มีทัศนคติการทำงานดีมาก ไม่เอาเปรียบใคร
ตั้งแต่เล็กพอเราเดินเข้าไปหาพ่อที่ออฟฟิศ
พ่อจะบอกให้ไหว้สวัสดีตั้งแต่แม่บ้านยันผู้บริหาร
ท่านพูดเสมอว่าคนที่มาทำงานให้เราเป็นคนที่มาช่วยเรา ไม่ให้ดูถูกใคร
พ่อมีส่วนช่วยอย่างมากในการขยายธุรกิจครอบครัวจากร้านแว่นเล็กๆ ไม่กี่ร้าน
จนกระทั่งเป็นบริษัทเลนส์แว่นตาระดับโลก ในสายตาของเรา ท่านเป็นเหมือนซูเปอร์แมน
ทำได้ทุกอย่าง จนบางทีเราก็ลืมไปว่าท่านก็เป็นคนเหมือนกัน

วันหนึ่งท่านเข้าโรงพยาบาลเพราะติดเชื้อ แต่หมอตรวจเจอว่าท่านเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะขั้นที่ 2 คือลงไปที่กล้ามเนื้อแล้ว
เราบอกตรงๆ ว่าช็อกจริงๆ เป็นครั้งแรกที่คิดอะไรไม่ออก หัวมันตื้อไปหมด
แม่ก็เริ่มโชว์ความกังวลลนลาน
เรารู้สึกได้ว่าต้องทำตัวเป็นหลักและเข้มแข็งให้มากที่สุด เพราะเราจะทำให้พ่อกังวลไม่ได้
ต่อหน้าเราจะทำเป็นเข้มแข็งมาก มีสติตลอดเวลา แต่ร้องไห้คนเดียวทุกวันจริงๆ
มันคิดไม่ออกว่าถ้าไม่มีเขาจะอยู่ได้ยังไง

ตอนแรกคุณพ่อไม่ยอมไปรักษาที่ต่างประเทศเนื่องจากค่าใช้จ่ายสูงมาก
แต่ทั้งแม่และเราพยายามเกลี้ยกล่อมว่าเงินที่พ่อหามาก็ใช้ไปเถอะ เงินมากแค่ไหนก็ไม่สามารถทดแทนชีวิตพ่อได้
เสียเท่าไรก็คุ้ม สุดท้ายคุณพ่อตกลงไปรักษาตัวที่อเมริกา 3 เดือน ทำคีโมและฉายรังสีที่ศูนย์เฉพาะทางที่ดีที่สุดในโลกที่นึงเลยก็ว่าได้
ตอนนี้ท่านกลับมารักษาตัวที่เมืองไทย อาการดีขึ้นแต่ก็ยังต้องตรวจเป็นระยะๆ

สำหรับเราผ่านเหตุการณ์นี้มาเหมือนพระเจ้าประทานโอกาสครั้งที่ 2 ให้เราใช้ชีวิตกับพ่ออีกครั้ง
เรามีมุมมองที่ต่างไปจากเดิมจริงๆ เรารู้สึกเลยว่าอยากจะทำวันนี้ให้ดีที่สุด
อยากจะทำให้ท่านมีความสุขมากที่สุด
ไม่รู้ว่าท่านจะอยู่กับเราได้ถึงเมื่อไร แต่ไม่อยากรู้สึกเสียดายที่เรายังไม่ได้ทำอะไรให้ท่านมากพอ

เราเริ่มมานึกทบทวนดู
ไม่เคยสังเกตเห็นเลยว่านอกจากท่านจะเป็นนักธุรกิจที่ดีและพ่อที่ดีแล้ว ท่านยังเป็นสามีที่ดีมากจริงๆ
พ่อจะคอยเอาเงินสดใส่กระเป๋าแม่ทุกวันเพื่อให้แม่มีเงินสดติดตัวตลอดเวลา
พ่อจะอุ่นอาหารเช้าและชงกาแฟให้แม่ก่อนออกจากบ้านทุกวัน เพราะพ่อบอกว่าแม่ใช้เครื่องทำกาแฟไม่เป็น ถึงแม้มันจะเป็นเครื่องอัตโนมัติก็ตาม พ่อจะซื้อกับข้าว พาแม่ไปเยี่ยมคุณตาคุณยายทุกอาทิตย์
พ่อจะเป็นคนวางแผนจัดการทุกอย่างเวลาเดินทางไปไหนเป็นครอบครัว
เราเชื่อว่าแม่เป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลกจริงๆ

เพราะเราชินกับสิ่งที่พ่อทำ
เราเลยแค่มองแต่ไม่ได้เห็นจริงๆ ว่าท่านทำอะไรให้แม่และเราบ้าง
เหมือนเราสายตาสั้นมานาน
เหตุการณ์ที่ผ่านมาครั้งนี้ทำให้เราได้ใส่แว่นและเห็นชัดสิ่งต่างๆ ที่ท่านทำทุกวันมากขึ้น เป็นโอกาสให้เราได้ตอบแทนและทำอะไรให้ท่านมีความสุขบ้าง ตอนนี้เราตัดสินใจเลือกเป็นเจ้าของธุรกิจเอง
เริ่มธุรกิจสตาร์ทอัพอีคอมเมิร์ซแว่นตาแห่งแรกของไทย
การเป็นสตาร์ทอัพย่อมต้องมีอุปสรรคนับไม่ถ้วนที่ต้องเผชิญอยู่ทุกวันๆ
แต่เมื่อเราได้นึกถึงหน้าพ่อที่ยิ้มและภูมิใจทุกครั้งที่ท่านได้เห็นเราเจริญรอยตามท่านก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง
ก็ทำให้เรามีกำลังสู้ต่อไปได้
แค่ทำให้ท่านรู้สึกมีความสุขและยิ้มได้เพิ่มอีกวัน ก็นับว่าเราได้ใช้โอกาสครั้งที่ 2 ให้มีคุณค่าเพิ่มขึ้นอีกวันแล้ว

ใครอยากเล่าเรื่องวันเปลี่ยนชีวิตของตัวเองบ้าง คลิกที่นี่เลย

AUTHOR