ในโลกของศิลปะร่วมสมัยมีความท้าทายมากมายเกิดขึ้นสำหรับศิลปินผู้ทำงานสร้างสรรค์ ผู้ที่ต้องยืนอยู่บนความสุ่มเสี่ยงในด้านของรายได้ และในขณะเดียวกันก็ต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลงเพื่อให้งานยังคงสดใหม่เสมอ เพื่อที่จะห้ำหั่นกับมีเดียมอื่นๆ ที่โลดลิ่วกันไปเร็วเหลือเกินในสายธารของโลกที่เน้นความว่องไว
ขณะที่ศิลปะเองเป็นเรื่องของการดื่มด่ำและซึมซับเอารายละเอียดปลีกย่อยในเชิงประสบการณ์
ช้าแต่ชัวร์ หรือบางทีก็ไม่ชัวร์ด้วย แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงมีศิลปินที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งในเรื่องของการพุ่งไปสู่จุดมุ่งหมายและงานก็ยังขายได้ดีอีกด้วย แต่กว่าจะเดินทางไปสู่วิถีแบบนั้นเขาก็ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อสร้างสรรค์ผลงาน เน้นลูกบ้า ลูกขยัน และขณะเดียวกันก็ต้องมีโอกาสที่ดีเข้ามาด้วย
‘เก้ง-เกียรติอนันต์ เอี่ยมจันทร์’ หรือที่รู้จักกันในวงการในชื่อ ‘Linecensor’ ศิลปินอิสระผู้เคยเข้าไปทุบวงการ NFT และคว้าเงิน 10 ล้านมาอยู่ในมือได้ เขาบ่มเพาะตัวเองตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยศิลปากร รักในภาพวาดจิตรกรรมไทย ในขณะที่ก็สนใจการ์ตูนและเกม สิ่งเหล่านี้เลยหลอมรวมให้เขามีลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ที่ผสมผสานความล้ำยุคเข้ากับความเป็นไทยได้อย่างลงตัว แถมความบ้าคลั่งในรายละเอียดทำให้เขาโดดเด่นจนงานขายหมดตั้งแต่ยังไม่ได้เปิดนิทรรศการ
ในครั้งนี้เขากลับมาทำนิทรรศการสุดบ้าคลั่งในรอบ 9 ปี ‘ARCH OF LINECENSOR PART 1: PERFECT STORM’ ณ อาคาร ChangChui Gallery ภายในโครงการ “ช่างชุ่ย Creative Park” ผลงานที่ถ่ายทอดโลกของ Linecensor ที่เปรียบเหมือนพายุแห่งความสร้างสรรค์อันบรรจุ ความอลหม่านภายในจิตใจ สภาพสังคมที่ถาโถม ที่ปะทุขึ้นอย่างรุนแรงจนก่อให้เกิดงานศิลป์
วันนี้ a day เลยชวนเขามาพูดคุยถึงความคิดและกระบวนการทำงานอันข้นคลั่ก และชีวิตของอาชีพศิลปินที่ยืนอยู่บนความไม่แน่นอน ดังนั้นจุดสำคัญ คือการยืนระยะอยู่ให้ได้

ที่มาของฉายา Linecensor
Linecensor เป็นชื่อเรียกของผมมาตั้งแต่สมัยเรียนศิลปากร ได้มาตั้งแต่ตอนเข้ารับน้อง เป็นชื่อในคณะที่เรียกกันสนุกๆ ซึ่งในสมัยนั้นผมอินกับหนังเรื่องมือปืนโลกพระจันทร์ที่แสดงโดยพี่ เต๋า-สมชายมาก ในเรื่องเขาชื่อ คิด ไซเรนเซอร์ ผมเลยเอามาประยุกต์แล้วได้ชื่อว่า Linecensor หลังจากนั้นก็ถูกเรียกด้วยชื่อนี้ตลอด
พอเข้าวงการ NFT เลยใช้ชื่อนี้เป็นแอ็กเคานต์สำหรับโปรโมทและขายผลงาน หลังจากนั้น Lincensor ก็กลายเป็นฉายาของผมไปโดยปริยาย
ความฝันในวัยเยาว์ของ Linecenso
ผมชอบวาดการ์ตูนมาตั้งแต่เด็ก อาจจะเพราะเห็นพี่เป็นแรงบันดาลใจ พวกเราโตมาในยุคสมัยที่การ์ตูนมันเฟื่องฟูมากๆ หลังจากนั้นเลยคลุกคลีอยู่กับการวาดรูปมาเรื่อยๆ พ่อแม่ก็ให้การสนับสนุนในการเดินสายประกวดวาดภาพตั้งแต่สมัยเรียน ครอบครัวมองว่าการเรียนวาดรูปจะทำให้เรามีสมาธิอยู่กับอะไรสักอย่าง ผมเลยได้เรียนศิลปะมาโดยตลอด
จริงๆ ผมก็ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรหรอก ไม่ได้รู้จักมหาวิทยาลัยศิลปากรด้วย ก็เลยไม่เคยคิดว่าการวาดรูปจะสามารถเป็นอาชีพได้ด้วย
แต่พอถึงวันที่ต้องเลือกสายการเรียนเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยก็รู้สึกว่าเราควรไปเรียนในด้านศิลปะนี่แหละ เลยมีโอกาสได้ไปติวที่กรุงเทพ ตอนนั้นแหละที่เห็นภาพว่ามันมีคนอื่นๆ เขากำลังทุ่มเททำสิ่งเหล่านี้เพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ มีวิชาที่ต้องเรียน อย่างองค์ประกอบศิลป์ ดรอว์อิ้ง และฝึกทำข้อสอบเพื่อสอบเข้า
พอสอบติดที่ศิลปากรเลยภูมิใจมากๆ แต่ถึงอย่างนั้นพอเข้ามาเรียนผมก็ยังติดเกมอยู่มาก จนกระทั่งขึ้นปีสามถึงเลิกเล่นแล้วหันมาทุ่มเทให้กับการประกวด ผมรู้สึกว่าตัวเองวาดรูปไม่เก่งเมื่อเทียบกับเพื่อนในรุ่นเดียวกัน ตอนที่ประกวดแล้วได้รางวัลก็เพราะว่าเราขยันทำ เน้นเขียนเส้น วาดเติมไปเรื่อยๆ จนกรรมการเขาคงเห็นความตั้งใจ ผมชอบจิตรกรรมไทย ชอบในความละเมียดละไมของมันจึงวาดในรูปแบบที่ใช้พลังและความอดทนมาโดยตลอด
แต่ศิลปะในทุกวันนี้ค่อนข้างจะเซอร์เรียล ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว เปิดกว้างมากขึ้นเลยยิ่งตอบโจทย์เรามากขึ้นไปอีก

ความไม่แน่นอนของอาชีพศิลปิน
อาชีพศิลปินมีความไม่แน่นอนในหลายอย่าง ผมยึดอาชีพนี้เป็นหลักแหละ แต่บางทีก็มีท้อเหมือนกัน ในเรื่องของรายได้ด้วยที่ไม่ได้มั่นคงนัก แต่ก็คงทำได้เพียงวาดไปเรื่อยๆ และมีรางวัลเป็นแรงขับให้ยังทำงานต่อไป แต่ในขณะเดียวกันผมก็มองหาอาชีพอื่นร่วมด้วย แต่ก็พยายามทำให้มันเชื่อมโยงกับการทำศิลปะ เช่นผมเคยไปขายของที่ต่างประเทศก็เก็บเอาประสบการณ์จากการไปที่นั่นมาวาดรูป
และพอเราวาดรูปมาอย่างสม่ำเสมอ จัดนิทรรศการเรื่อยๆ ก็เริ่มมีคนเข้ามาตามงานและซื้อไปสะสม เลยมีความหวังขึ้นมาว่ายังมีคนชอบงานแบบเราซึ่งวาดโลกส่วนตัวอยู่ด้วย พอขายได้เยอะขึ้นก็ยิ่งเป็นแรงผลักดันให้งานมันก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ ผมเองก็ต้องทำให้คนที่เขาสนับสนุนเราภูมิใจในตัวเราด้วย
จริงๆ วิธีการที่ผมใช้ คือการเข้าไปหานักสะสมที่ผมรู้จัก คอยอัพเดตงานกับเขาว่าผมยังคงวาดรูปอยู่นะ ยังคงผลิตผลงานอย่างต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้ต่อยอดให้เราได้ทำงานต่อไป
ในขณะที่ผมพัฒนาตัวเองอยู่นั้น รายได้ก็มากขึ้นควบคู่กันไปด้วย ผมเชื่อว่าตัวเองคงไม่ได้เก่งกว่าคนอื่นหรอก เพียงแต่ว่ามีโอกาสเข้ามาเสมอๆ เลยทำให้ไปต่อได้

ศิลปินผู้เคยทำงานรับเหมาก่อสร้าง
คนที่ไม่ได้ไปต่อในวงการนี้ คือคนที่เขาไม่ได้รับการตอบรับ ไม่มีรายได้จากการทำงาน ถึงงานดีให้ตายอย่างไร ถ้าดำรงชีพไม่ได้เขาก็คงต้องย้ายไปทำอย่างอื่น คือไอ้งานศิลปะมันไม่ใช่ของจำเป็นครับ มันเป็นของฟุ่มเฟือย ใครจะมาซื้องานเราตลอด คืออย่างศิลปินบางคนไม่ใช่ว่าเขาไม่เก่งนะ แต่ว่าเขาไม่มีคนมาซัพพอร์ตต่างหาก ผมคิดเรื่องนี้อยู่เสมอ
ผมเองเคยไปทำอาชีพอื่น แต่ว่าอาจจะไม่ได้หยุดไปนาน มีไปทำรับเหมาก่อสร้างซึ่งเป็นกิจการของที่บ้านอยู่ 2 ปี ในช่วงเวลาที่ครอบครัวรู้สึกว่าอยากหยุดทำแล้ว แต่ผมเห็นว่ามันลุยต่อได้นะ เลยไปทำตรงนั้นแทน ซึ่งก็เกือบตายเหมือนกัน เพราะว่าผมไม่มีความรู้ พวกงานก่อสร้างเราต้องมีทีมงานอยู่ในมือ ตอนที่รุ่นพ่อผมทำเขามีบารมีที่จะหาคนมาทำงาน แต่ผมคือเหมือนต้องไปเริ่มใหม่เลย สุดท้ายก็ทุ่มเททำจนมันไปได้ ผมคิดว่าถ้ายังทำงานตรงนั้นอยู่ก็คงไปได้ดีเหมือนกัน
ถ้าเราอยู่กับอะไรนานๆ ก็จะรู้จักมันจนสามารถทำได้ดี แต่สุดท้ายผมก็กลับมาวาดรูป เพราะมันเป็นสิ่งที่อยู่กับเรามาตลอดไม่เคยหายไปไหน
สุดท้ายแล้ว จนถึงตอนนี้ผมเองไม่เคยคิดว่าอาชีพศิลปินมันมั่นคงเลย เพียงแต่ต้องทำมันต่อไปเพราะผมชอบมันจริงๆ

ศิลปินผู้ประจันหน้ากับกระดาษว่างเปล่า
ผมทำงานศิลปะมาโดยตลอด การผลิตชิ้นงานขึ้นมาใหม่เลยเป็นความเคยชินไปแล้ว วิธีการประจันหน้ากับความว่างเปล่าของผม คือเริ่มจากการออกแบบโครงสร้างใหญ่ก่อน สเกตช์งานออกมาดูว่าภาพอารมณ์ประมาณไหน บรรยากาศเป็นอย่างไร และหามุมมองที่มีต่อบริบทบางอย่างของศิลปิน
ผมพยายามจัดการกับความคิดที่กระจัดกระจายในรายละเอียด หาความเชื่อมโยงของสิ่งต่างๆ คือเรื่องราวในสังคมที่เราคิดว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย จริงๆ แล้วมันสัมพันธ์กันหมดเลย อาจจะเพราะสังคมเรายืนอยู่บนรากฐานเดียวกันมั้ง
ในฐานะศิลปินที่ทำนิทรรศการ หน้าที่ของผม คือทำยังไงให้ความหลากหลายเหล่านั้นเป็นไปในทิศทางเดียวกันและไม่ซ้ำ เป็นเรื่องราวที่ผู้คนเข้าถึงได้ และในขณะเดียวกันก็เป็นความสนใจของผมเอง
เมื่อยืนระยะทำงานมาเรื่อยๆ อะไรพวกนี้ก็จะชินมือมากขึ้น พอเจอเรื่องราวอะไรมาก็สามารถหยิบจับมาทำงานศิลปะได้ โดยที่สเกตช์โครงสร้างไว้ก่อน แล้วค่อยมาดูว่าอะไรควรจะไปอยู่ตรงไหน
ภาพวาดอันบรรจุบันทึกส่วนตัว
และจินตนาการฟุ้งฝันของศิลปิน
เรื่องราวในภาพวาดของผมถูกแบ่งออกเป็นครึ่งๆ ระหว่างบันทึกส่วนตัวและก็มีบางส่วนที่เป็นจินตนาการอันเพ้อฝันของผมเอง
และจริงๆ มันคือการด้นทำไปเรื่อยๆ ด้วย ผมวาดเพื่อให้เกิดเนื้องานก่อน และค่อยๆ ผสมปนเปหลายอย่างที่ผ่านเข้ามาในการรับรู้เข้าไป ดังนั้นจึงต้องทำงานอย่างสม่ำเสมอและใช้ความอดทนมากๆ ในการจะอยู่กับงาน
จริงๆ ผมเองก็ชอบการด้นสด อาจารย์อิทธิพล ตั้งโฉลก (ศิลปินแห่งชาติ) เคยบอกว่าเสน่ห์ของ Linecensor คือความสดใหม่ตลอด เลยทำให้งานไม่น่าเบื่อ ขนาดตัวศิลปินเองยังไม่รู้เลยว่าวาดเสร็จแล้วจะออกมาเป็นอย่างไร แม้ว่าจะถูกสเกตช์ไว้ก่อน (หัวเราะ)

คาแรกเตอร์เด็กจากงานเพนต์ติงสู่ประติมากรรม
คาแรกเตอร์ในงานส่วนใหญ่ของผมจะเป็นเด็กผู้หญิงกับเด็กผู้ชาย โดยที่เด็กผู้ชายจะมาจากตัวของผมเอง แต่ว่าหลังๆ มาก็อาจจะไม่ใช่แล้ว สิ่งที่ผมให้ความสำคัญมากๆ ในการสร้างคาแรกเตอร์ คือสัดส่วนของตัวละคร อยากให้มันออกมาดูน่ารัก มีหูที่ยาวซึ่งจะไปรีเลตกับหูของพระพุทธเจ้า
ผมทำเพนต์มาเยอะมาก พยายามจะถอดคาแรกเตอร์เหล่านั้นออกมาเป็นประติมากรรม ในขณะที่ยังเป็นลายเส้นของผมอยู่ โจทย์นี้ค่อนข้างยากเหมือนกัน เพราะเสน่ห์ของงานผม คือรายละเอียดที่จัดเต็ม พอมาทำเป็นประติมากรรม การลงรายละเอียดขนาดนั้นมันเป็นไปได้ยาก ต้องลดทอนรายละเอียด ดึงเอาจุดเด่นหลักๆ อย่างหูที่ยาว ดอกไม้ต่างๆ ใส่เข้าไปในชิ้นงาน
ผมรู้สึกสนุกในการทำสิ่งเหล่านี้มาก หลังๆ ครีเอตคาแรกเตอร์ใหม่สำหรับสร้างเป็นประติมากรรมเลยก็มี
มีงานอยู่เซ็ตหนึ่ง ผมได้ไอเดียมาจากกระแสของอาร์ตทอยที่ผ่านมาในช่วงก่อนหน้านี้ ผมรู้สึกว่ากระแสนี้สร้างผลกระทบต่อคนทั่วไปและก็ตัวเราเองด้วย มันป๊อปมากเลย ผมเลยนึกไอเดียว่าอยากทำอาร์ตทอยของตัวเองออกมาแต่ยังคงอยู่ในมีเดียมของไฟน์อาร์ต เป็นประติมากรรมที่ได้แรงบันดาลใจมาจากอาร์ตทอย ซึ่งสองสิ่งนี้มีความแตกต่างกันอยู่
ปรัชญา พุทธศาสนา ในรูปแบบที่ล้ำยุคล้ำสมัย
ผมสนใจในเรื่องของปรัชญาและพุทธศาสนา ถนัดในการใส่ใจรายละเอียด ความปราณีต ขณะที่ก็มีความสนใจในเรื่องเกม การ์ตูน ทุกอย่างเลยผสมผสานกันออกมาอยู่ในงาน ความเป็นจิตรกรรมไทยมาปรากฏได้ถูกจังหวะบนงานวาดแบบป๊อปอาร์ต คนเลยพอจะดูออกว่าศิลปินมีรากเหง้าของจิตรกรรมไทยแฝงอยู่ด้วย

ARCH OF LINECENSOR PART 1: PERFECT STORM
ผมทำนิทรรศการครั้งนี้ขึ้นมา เพราะว่าได้ผลิตผลงานมาอย่างต่อเนื่องจึงอยากจะขมวดรวมความคิดออกมาและให้คนเข้ามาเห็นโลกของศิลปิน และที่บอกว่าเป็นการกลับมาในรอบ 9 ปี หมายถึงว่าผมไม่ได้ทำนิทรรศการเดี่ยวที่ไทยเลยในรอบ 9 ปี แต่ก็ยังคงวาดรูปมาอย่างต่อเนื่องและงานขายหมดตลอด
ในยุคสมัยนี้คนไม่ค่อยมีสมาธิพอที่จะดูอะไรนานๆ สิ่งเร้ามันเยอะ ผมเลยพยายามจะหาว่าอะไรที่มีพลังเพียงพอจะจุดไฟสร้างบรรยากาศให้คนเข้ามาในโลกของผมได้
ผมคิดว่างานวาดถ้าอยู่ชิ้นเดียวโดดๆ คนดูเขาอาจจะเฉยๆ กับมัน แต่ถ้ามีนิทรรศการที่สร้างโลกของศิลปินขึ้นมาน่าจะสร้างความอิมแพกต์ได้
การทำนิทรรศการมีหลายขั้นตอนมากๆ ต้องวางแผนหลายอย่าง สร้างไฮไลต์ที่แสดงตัวตนของศิลปินให้ได้มากที่สุด ผมได้ไอเดียมาจากการไปดูตามวัดที่มักจะมีจิตรกรรมขนาดใหญ่ เอามาปรับใช้ในการวางภาพเพนต์ให้เต็มผนังไปเลย
ดังนั้นผมจึงเริ่มต้นทำงานจากการดูพื้นที่ก่อนว่าจะจัดการอะไรได้มากน้อยแค่ไหน ต้องไล่ลำดับไปเป็นขั้น เป็นตอน พอมีงานเพนต์ที่เป็นแลนด์มาร์กแล้วก็เริ่มหาที่ทางเพื่อวางองค์ประกอบเสริมลงไป ต้องคิดว่างานที่เรามีอยู่ทั้งประติมากรรมและเพนต์ติงจะเข้ามาเสริมตรงไหนได้บ้าง ตรงนี้คือส่วนที่ยากในการจัดการ เพราะงานที่เห็นในนิทรรศการนี้เป็นเพียง 45 เปอร์เซ็นต์ของงานทั้งหมดที่มี ผมต้องคัดเลือกผลงานที่เหมาะสมกับนิทรรศการครั้งนี้มาจัดวางเพื่อให้งานส่งเสริมและสร้างมิติให้กันเอง
สิ่งสำคัญ คือเมื่อคนดูเข้ามาในห้องจะต้องรู้สึกว่างานมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขา ผมเลยให้ความสำคัญเรื่องลำดับของงาน คนดูเดินเข้ามาแล้วเขาจะเห็นอะไรก่อน – หลัง ผมอยากเล่นกับความรู้สึกของคนดู จะต้องมีงานที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเพื่อสร้างความรู้สึกแปลกใหม่ ดังนั้นเราจึงต้องปิดบังงานบางชิ้น ไม่โพสต์ให้คนเห็นก่อน เพื่อที่จะสร้างความประทับใจในวันที่เขามาดู ผมสนุกที่ได้ออกแบบสิ่งเหล่านี้
ผมสนุกถึงขั้นที่ชอบไปเดินดูห้างสรรพสินค้าใหม่ๆ เพื่อไปศึกษาการวางดิสเพลย์ของเขาและเอามาปรับให้เข้ากับงานของเรา เวลาผมไปห้างจะรู้สึกได้ถึงความศิวิไลซ์
การวาดรูปคาแรกเตอร์การ์ตูนที่ออกไปทางป๊อปก็เพื่อเรียกร้องให้คนสนใจ และเราค่อยแฝงเรื่องราว ปรัชญาชีวิต ความทุกข์ ความสุข เข้าไปในตัวชิ้นงาน ผมเองในฐานะคนทำต้องเปิดกว้าง สร้างความสนุกให้คนเอนจอยก่อน เพื่อที่จะหย่อนสาระเข้าไปด้วยได้

การทำสิ่งที่ยากก็ต้องใช้ความมั่นใจในระดับที่มาก
ผมชอบความเสี่ยง และตั้งมั่นว่าจะไม่ทำอะไรซ้ำๆ เพราะกลัวคนที่มาดูเขาจะรู้สึกเฉยๆ เป้าหมายของผม คือทำให้คนรู้สึกอิมแพกต์ ทำให้เกินความคาดหวังของคนดูไป ดังนั้นการที่จะได้ผลลัพธ์แบบนั้นจึงต้องอดทนทำงานหนัก แม้จะไม่รู้ผล แต่ความทุ่มเทในรายละเอียดของผมก็คงทำให้คนที่มาดูเข้าใจ และรับรู้ถึงความตั้งใจของเราไม่มากก็น้อย
ผมเองก็มีความเชื่อเป็นของตัวเอง พี่ที่เป็นเจ้าของที่นี้ (ช่างชุ่ย) เขาบอกว่าคุณมีความมั่นใจในตัวเองมากเลยนะ ไม่กลัวที่จะล้ม
เพราะโลกเปลี่ยนแปลงเสมอ ความคิดศิลปินเลยต้องเคลื่อนตาม
มนุษย์เรามีประสบการณ์ชีวิตที่ไม่เหมือนเดิมในแต่ละช่วงเวลา ศิลปินบางคนอาจเลือกที่จะเปลี่ยนซีรีส์ของงานไปเลย จากเรื่องหนึ่งไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่างานของเราจะมีเส้นทางการเดินทางของมันอยู่ จึงอาจจะเหมือนเดิมในโครงสร้าง แต่ก็จะถูกเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดอยู่ดี และพอมีทักษะในการทำงานมากขึ้น การทำงานก็จะมีลูกเล่นมากขึ้นตาม
นิทรรศการครั้งนี้จึงเหมือนเป็นสรุปสำคัญว่าใน 9 ปีที่ผ่านมาศิลปินคิดและเติบโตอย่างไร
คนดูจะได้เห็นการเดินทางในแนวคิดของผมผ่านนิทรรศการนี้
แอปพลิเคชัน Linecensor
ผมอยากพัฒนานิทรรศการครั้งนี้ให้ได้มากที่สุด นอกเหนือจากเรื่องทัศนศิลป์ก็ตั้งใจที่จะเสริมกิมมิคและลูกเล่นอีกหลายอย่างเข้าไป อย่างเช่นแอปพลิเคชัน
แอปพลิเคชัน Linecensor เป็นแอปสำหรับเล่นเกม AR ประกอบนิทรรศการ วิธีการเล่น คือโหลดแอปและลงทะเบียนเพื่อมาส่องเก็บไอเทมในงาน เป้าหมายของผม คืออยากให้คนมาที่นี่ครบ 5 ครั้ง
ซึ่งในแต่ละสัปดาห์ก็จะมีการปล่อยตัวละครใหม่ 3 ตัว ให้คนมาเก็บไปเป็นแต้มสะสม ถ้าสุดท้ายคุณไม่เอาของมาเคลมเลย คุณจะสามารถมาแลกประติมากรรมบรอนซ์ราคา 5 หมื่นบาทได้ ซึ่งจริงๆ มันก็เป็นกลไกของเกมนั่นแหละ ความตั้งใจ คืออยากให้คนรู้สึกสนุก
ซึ่งการสร้างแอปพลิเคชันนี้ก็อยู่ในความเสี่ยงเหมือนกัน ทั้งการลงทุนอะไรต่างๆ แต่หลังจากที่เปิดงานไปก็ได้รับผลตอบรับที่ดีมาก คนเข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับแอปพลิเคชันและพึงพอใจกับมัน
เป้าหมายในอนาคตผมอยากที่จะสร้างคอมมิวนิตีที่แอปพลิเคชัน Linecensor ยังคงเชื่อมต่อไปได้ จริงๆ ก็ไม่รู้หรอกว่าทำไปแล้วจะดี หรือไม่ดี แต่พอได้เริ่มทำแล้วก็คิดว่าคงต่อยอดอะไรได้บ้าง

โลกของศิลปะร่วมสมัย
ผมเองเรียนรู้จากคนรุ่นใหม่ๆ เยอะ พยายามดูว่าเขาคิดอย่างไร ทำอะไร พวกเขาเก่งในเรื่องโซเชียลมาก คือโลกของศิลปะมันเปลี่ยนไปเยอะแหละ แต่ว่าก็ยังมีเนื้อความที่เป็นสากลอยู่ อย่างเรื่องราวของรัก โลภ โกรธ หลง อะไรพวกนี้ก็ยังอยู่เหนือกาลเวลาเพราะมันคือเรื่องของมนุษย์ งานศิลปะก็ยังพูดเรื่องมนุษย์กันอยู่ เพียงแต่จะมีวิธีการใหม่ๆ ในการนำเสนอ แต่ถามตัวผมเอง ผมยังเดินอยู่ในเส้นทางสายเดิม ยังคงวาดรูป ทำประติมากรรม สิ่งเหล่านี้ยังมีอะไรให้ผมเรียนรู้อีกมาก
โลกของศิลปะตอนนี้มีอะไรสนุกๆ รออยู่อีกเพียบ เพียงแต่ศิลปินอาจจะต้องยืนระยะให้ได้ ต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางให้คนเห็นว่าเรามีเส้นทางในการทำงานอย่างไร
ส่วนมีเดียมอื่นๆ ผมเองก็สนใจนะ ที่ชอบเลย คืองานอนิเมชันกับเกม ผมวางเป้าหมายว่าอยากจะแตกไลน์ไปในทางนี้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าไฟจะถูกจุดติดได้ไหม และผมทำแล้วจะชอบด้วยไหมมากกว่า สุดท้ายทุกงานที่ผมทำมันจะย้อนคืนมาสู่การวาดรูปอยู่ดี
แต่ผมก็สนุกกับอะไรใหม่ๆ นะ อย่างพวกคอนเทนต์ยูทูบ เราก็พยายามดูว่ายุคนี้คนเขาทำอะไรกัน เพื่อจะได้เอาไอเดียกลับมาทำเป็นศิลปะได้ สรุปคือผมชอบทำอะไรใหม่ๆ แต่ก็จะพยายามนำมันกลับมาอยู่ในรูปแบบของเพนต์ติงอยู่ดี คือผมรักมันแหละ
จริงๆ ผมเองชอบการขายนะ สนใจการสร้างมูลค่าให้กับผลงาน เป็นอีกเรื่องที่สนุกเหมือนกัน มันมีช่องทางหลากหลายมากที่จะหารายได้ให้กับตัวเอง งานสร้างสรรค์ศิลปะก็ทำไป แต่ในส่วนของการขายก็ต้องมานั่งคิดวิธีการนำเสนอเหมือนกัน คือมันเป็นงานที่ผมตั้งใจ ทุ่มเททั้งชีวิต มันก็ต้องขายให้ได้แหละ (หัวเราะ)

ความเชื่อมโยงระหว่างงานศิลปะและศิลปิน
สำหรับผมศิลปะ คือชีวิตและเป็นอาชีพด้วย เป็นงานที่ต้องสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองเรื่อยๆ ก็คงเหมือนคนที่เปิดร้านกาแฟ หรือทำบริษัทนั่นแหละ ต้องทำงานอย่างจริงจังกับมัน ผมรู้สึกว่าการทำงานนี้เป็นเส้นทางที่ยากและค่อนข้างสุ่มเสี่ยงในทางรายได้ แต่สุดท้ายมันคุ้มค่า เพราะเราได้ทำงานที่สร้างมาจากชีวิตตัวเองทั้งหมด ประสบการณ์ สังคม ครอบครัว เพื่อน มุมมองต่อชีวิตถูกรวมอยู่ในนี้ทั้งหมด
และพอมีคนที่ซื้องานเราไปไว้ที่บ้านเขา มันก็รู้สึกปลื้มใจ เหมือนเขาซื้อจิตวิญญาณของเราไปอยู่ในบ้านเขา การที่คนเอนจอยกับมันเป็นอะไรที่พิเศษมากสำหรับผม จนทำให้มีกำลังใจที่จะทำงานศิลปะต่อไปเลย