แค่เพราะฉันแบกมันได้ดี ไม่ได้หมายความว่ามันไม่หนัก…
เมื่อได้อ่านประโยคนี้จบลงแล้ว อาจทำให้รู้สึกหยุดชะงักไปชั่วขณะกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตของใครหลายคน ไม่ว่าจะในฐานะลูก เพื่อนสนิท เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่คนรัก ทุกความสัมพันธ์เมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้อง ‘อดกลั้นฝืนทน’ ซ้ำๆ ย่อมทำให้รู้สึกเหนื่อยกายหน่ายใจไม่น้อย จนอาจนำไปสู่รอยร้าวทางความสัมพันธ์ในระยะยาว
ถึงจะรู้ทั้งรู้ว่าความรู้สึกของตัวเองเป็นสิ่งที่มีค่าเหนือสิ่งใด แต่การเลือกทำตามความต้องการของตนอย่างใจนึกก็ไม่อาจทำได้เสมอไป เพราะเงื่อนไขทางความสัมพันธ์และความรู้สึกเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้ จึงไม่แปลกนักที่ ‘ตัวเราเอง’ จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ถูกมองเห็น

โดยเฉพาะกับสถานการณ์น่าอึดอัดใจที่หลายครั้งก็มาจาก ‘คนใกล้ตัว’ ที่เรารักแล้วด้วยนั้น จึงยิ่งทวีคูณความปั่นป่วนใจมากขึ้นไปอีก แต่เพื่อที่จะสานต่อความสัมพันธ์อันหอมชื่นต่อไป เราจำต้องปล่อยผ่านไปบ้างราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร จนความรู้สึกคับอกคับใจเหล่านั้นค่อยๆ กัดกินความสัมพันธ์ไปทีละนิด เผลออีกทีความรู้สึกดีที่เคยมีระหว่างกันได้กลับกลายเป็นความบาดหมางลึกๆ ภายในใจโดยที่ตัวเราเองก็ไม่อาจล่วงรู้
แม้ทุกวันนี้คนจะเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับ ‘การรักตัวเอง’ (Self-love) กันมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีการผลิตคอนเทนต์ที่เชื่อมโยงกับการรักตัวเองอยู่ตามหน้าฟีดออนไลน์ไม่เว้นแต่ละวัน อย่างเทรนด์ฮิตในช่วงที่ผ่านมากับประโยคที่ว่า ‘รักตัวเองไม่เจ็บสักวัน’ แล้วพ่วงมาด้วยเงื่อนไข 1 2 3 4 ที่แตกต่างกันไปตามความปรารถนาเฉพาะของแต่ละคน ยังไม่นับรวม How-to การรักตัวเองในแบบฉบับต่างๆ ที่เห็นจนชินตา
แต่ทำไมกันนะ หลักสูตรการรักตัวเองที่ชาวเน็ตพร่ำบอกต่อ รวมถึงตัวเราเองก็มักจะแชร์ซ้ำๆ ในบางครั้งเราก็ไม่อาจทำมันได้ในโลกแห่งความเป็นจริง และทำไมกันนะ ท่ามกลางความรักอันเหลือล้นที่เราพร้อมมอบให้แก่คนอื่นตลอดเวลา ตัวเราเองถึงไม่ได้เป็นเศษเสี้ยวของความรักนั้น?
‘ไม่เป็นไร’ แต่ความจริง ‘เป็น’ มาก
‘ขอโทษนะ วันนี้น่าจะเลท
‘ไม่เป็นไรเลย รอได้’
…
‘เมื่อคืนเผลอหลับไป ลืมเลยว่ามีนัดคุยงาน’
‘ไม่เป็นไร ไว้ค่อยนัดกันใหม่ก็ได้’
เช้ามา เรากล่าวให้กับเพื่อนร่วมทางคนแปลกหน้าที่พุ่งชนเราเข้าอย่างจัง เพื่อไปให้ทันเวลาเข้างานของบริษัทสักแห่งบนโลก สายมา เราพูดคำนี้กับเพื่อนร่วมงานที่ไหว้วานให้เราทำนู่นนี่นั่นให้ เที่ยงมา เราก็ใช้ตอบคุณป้าร้านตามสั่งเจ้าประจำ ที่ทำเมนูออกมาไม่เห็นเป็นไปตามที่สั่งอยู่ร่ำไป บ่ายมา เราเอ่ยตอบไปยังหัวหน้าที่ขอสั่งแก้งานซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จักจบสิ้น เย็นมา เราก็ยังใช้คำนี้อย่างต่อเนื่องให้กับเพื่อนสนิทมิตรสหายที่ไลน์มาแคนเซิลนัดแบบกะทันหันให้กับธุระด่วนจี๋ที่แทรงคิวมาจากไหนไม่รู้ ตกดึกมา เราก็ยังใช้ตอบคนรักที่ทำงานจนแทบจะลืมหน้ากัน
คำพูดสามัญประจำวันก็เห็นจะจริงกับคำว่า ‘ไม่เป็นไร’ ที่แทบจะเกือบทุกช่วงเวลาของวัน เราจะต้องเอ่ยคำนี้ออกมาไม่มากก็น้อย คำพูดซึ่งสวนทางกับความรู้สึกภายในใจโดยสิ้นเชิง แม้ใจจริงเราจะอยากตะโกนก่นด่าด้วยคำสบถต่างๆ นานา แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยคำพูดสั้นๆ ว่า ‘ไม่เป็นไร’ พร้อมกับรอยยิ้มพิมพ์ใจไปอีกหนึ่ง เพื่อพยายามให้ดู ‘ไม่เป็นไรจริงๆ’ แบบที่เอ่ยตอบไป

ใช่ว่าเราจะไม่อยากพูดความต้องการที่แท้จริงออกไป แต่หลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้น มันช่างยากเย็นเกินกว่าที่จะเอ่ยความต้องการภายในจิตใจ อีกทั้งความเหนื่อยใจโดยส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวพันกับเรื่องมารยาททางสังคมที่ทุกคนพึงตระหนักรู้ได้ด้วยตนเอง
เพราะถ้าหากพูดเตือนออกไปอาจทำลายความสัมพันธ์และทำให้ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีต่อกันแปรเปลี่ยนไปในทิศทางลบ และไม่ใช่ว่าทุกคนจะยอมรับได้กับคำตอบแสนจริงใจจากปากของคนใกล้ตัว ทำให้ภาระหน้าที่ตกมาอยู่ที่ตัวเราในการใช้ความอดทนซ้ำๆ เพื่อประคับประคองความสัมพันธ์ต่อไปในภายภาคหน้า
และสิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ในบางครั้งก็เป็นตัวเราซะเองที่ทำให้คนอื่นต้องเอ่ยคำนี้ออกมาเช่นกัน
ยิ่งสนิท ยิ่ง(ไม่)เกรงใจ
‘เพราะแบบนี้ไง ถึงไม่มีแฟน’
‘แค่แซวเล่นขำๆ จะคิดมากทำไม’
‘ไม่ได้เจอกันแปปเดียว อ้วนขึ้นปะ’
และประโยคอีกมากมายที่กลั่นออกมาจากคนที่เราเรียกว่า ‘คนสนิท’ ซึ่งหลายครั้งก็ทำให้เรารู้สึกอยากเลิกสนิทกับคนคนนั้นไปเลย แต่ก็ทำได้เพียงแค่คิดอยู่ในใจและพยายามเก็บสีหน้าให้เป็นปกติสุข รวมถึงอีกหนึ่งวิธีหลบหลีกที่เราเลือกใช้เพื่อสงบความร้อนระอุในจิตใจ คงหนีไม่พ้นการชวนเปลี่ยนเรื่องคุยและมองข้ามคำพูดไม่คิดจากปากคนสนิทไปให้ไวที่สุด

แน่นอนว่าคำพูดและการกระทำที่แสนจริงใจเกินเหตุเหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้นกับคนที่เพิ่งรู้จักกัน เนื่องจากในระยะแรกของความสัมพันธ์ เรามักสงวนท่าทีและพยายามแสดงออกแต่ด้านที่เป็นมิตรให้ผู้อื่นได้เห็น แต่เมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกสนิทใจกับใครสักคนแล้ว อาจทำให้เราสบายใจที่จะเป็นตัวเองแบบเต็มที่ สบายใจที่จะแสดงความรู้สึกข้างในออกไป สบายใจที่จะพูดทุกเรื่องที่ต้องการ โดยไม่สนว่าคนฟังจะต้องการได้ยินหรือไม่
จนท้ายที่สุด ‘ความสบายใจ’ ที่มีมากเริ่มเข้าไปทำให้ ‘ความเกรงใจ’ ที่เคยมีเมื่อครั้นอดีตเลือนหายไป เหมือนกับว่าจะทำอะไรก็ได้เพราะคำว่า ‘สนิท’ ทั้งที่จริงแล้ว ยิ่งสนิทกันมากเท่าไร ยิ่งต้องมีความเกรงใจมากขึ้นเท่านั้นหรือเปล่า เพื่อจะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีนั้นต่อไปและเพื่อให้เขาคนนั้นยังคงเป็นพื้นที่แห่งความสบายใจที่หันไปเมื่อไรก็เจอเสมอ
เพราะ ‘รัก’ ฉันจึงอดทน
…บางความสัมพันธ์ก็ทำให้เราตระหนักได้ว่า การที่เราทุ่มเทอะไรให้ใครไป ก็ไม่อาจหวังว่าจะได้รับสิ่งนั้นตอบแทนกลับมาเสมอไป…
ทุกสิ่งบนโลก ถ้าหากมีมากไปหรือน้อยไปก็ย่อมทำให้สูญเสียสมดุลได้ กับในแง่ของความรู้สึกก็เช่นเดียวกัน บ่อยครั้งที่เรารู้สึกเสียเปรียบในแง่ความสัมพันธ์ ความผิดหวังที่รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้จริงใจมอบความรู้สึกดีๆ เฉกเช่นที่เรามอบให้ไป ทั้งๆ ที่รู้ความเป็นจริงดียิ่งกว่าใคร แต่ทำไมเราถึงยอม ‘อดทน’ และแกล้งทำเป็นไม่เสียใจ เพียงเพื่อจะเหนี่ยวรั้งคนคนนั้นเอาไว้ในชีวิต แม้ใจของเขาจะเดินจากเราไปไกลแสนไกลแล้วก็ตาม

ความรักในรูปแบบที่ต้องแลกมาพร้อมกับความอดทน ไม่ว่าจะเป็น การอดทนรอเพื่อสักวันจะได้รับความรัก การอดทนเพื่อให้ครอบครัวสมบูรณ์แบบ หรือการอดทนเพื่อให้คนรอบตัวมีความสุข แต่คำถามที่เกิดขึ้นคือ มันหาใช่ความรักที่เราพึงปรารถนาจริงหรือ กลับกันยังเป็นการกระทำที่นำไปสู่การลดทอนคุณค่าที่มีต่อตนเอง (Self-esteem) ไปอย่างช้าๆ อีกด้วย
เหตุผลที่คนเรายอมกลายเป็น ‘คนโง่’ ทั้งที่รู้ตัวบ้างหรือไม่รู้ตัวบ้าง มักกล่าวอ้างว่าเป็นเพราะ ‘ความรัก’ แต่ความรักแบบไหนกันนะ ที่รักคนอื่นจนลืมรักตัวเอง ความรักแบบไหนกันนะที่ต้องทุกข์มากกว่าสุข หรือในบางครั้งความรักเองก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อปิดซ่อนความเห็นแก่ตัวที่แฝงเร้นในจิตใจของเราอย่างแนบเนียน แต่เชื่อเถอะว่า ไม่มีใครสามารถอดทนกับความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นมิตรต่อใจ (Toxic Relationship) แบบนี้ไปชั่วชีวิตได้ เพราะสุดท้ายคนที่ทุกข์ใจที่สุดก็คงเป็นตัวเราเอง
รู้สึกผิดทุกครั้ง เมื่อปล่อยให้ตัวเองมีความสุข
ท่ามกลางความทุกข์ของคนรอบตัว โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนในครอบครัว ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดเรามากที่สุด ทำให้ปัญหาเหล่านั้นเสมือนเป็นปัญหาของเราไปโดยปริยาย ไม่ว่าจะเป็นการแบกรับภาระหนี้สิน อาการเจ็บป่วยของคนที่รัก หรือแม้แต่ความขัดแย้งทางความสัมพันธ์ ความทุกข์ระทมนับพันจึงค่อยๆ เข้ามาแทนที่ความสุขทางใจของเราไป
เงื่อนไขภาระผูกพันทางใจบีบอัดให้เราไม่กล้าที่จะมีความสุข เพราะกลัวว่ารอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะอันน้อยนิดของเรา จะทำให้เราหลงลืมความเจ็บปวดที่ต้องแบกรับเอาไว้ ซ้ำร้ายเมื่อใดที่อยากหันมาทำเพื่อตัวเองกลับรู้สึกผิดมหันต์ราวกับว่ากำลังทรยศต่อคนที่รัก จนบางครั้งเราก็อาจหลงลืมความจริงที่ว่า
เราไม่ได้มีหน้าที่กำหนดกฎเกณฑ์ความสุขของผู้อื่นได้

ดังนั้นไม่ว่าคนอื่นจะสร้างบาดแผลทิ้งรอยไว้ให้เรามากเพียงใด แต่อย่าลืมนะ ชีวิตนี้เป็นของเราแต่เพียงผู้เดียว มีแค่ตัวเราเท่านั้นที่จะปกป้องตัวเราเองได้ มีแค่ตัวเราเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และก็มีแค่ตัวเราเท่านั้นที่จะอยู่กับเราไปตลอด เพราะฉะนั้นจงใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในแต่ละวันเพื่อตัวเอง มันอาจจะยากไปบ้างสำหรับใครหลายคนที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาต้องใช้ชีวิตเพื่อคนอื่น แต่ตอนนี้คนในกระจกก็รอคอยที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างดีเหมือนกันนะ
หวังว่าทุกคนจะเริ่มหันมามองเห็นตัวเองบ้างสักวันละนิดก็ยังดี เพราะถ้าหากไม่รักตัวเอง ก็ไม่อาจที่จะได้รับความรักที่ดีจากใครได้…