‘ไม่ได้เจอกันนานเลย เป็นยังไงบ้าง’
นี่อาจเป็นประโยคทั่วไปของสถานการณ์ที่เราอาจได้พบ เมื่อบังเอิญมีโอกาสได้พบคนรู้จักที่ไม่ได้เจอกันนาน ซึ่งอาจเป็นเพื่อน รุ่นพี่รุ่นน้อง หรือกระทั่งญาติสนิทมิตรสหาย
แต่ถ้าหากหลังประโยคดันมีคำว่า ‘โอเคไหม’ เพิ่มมาด้วย ความหมายอาจเปลี่ยน เพราะมันอาจหมายถึงคนที่พูดประโยคนั้นต้องการรู้ว่าเรา ‘รู้สึกอย่างไร’ กับเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งโดยมากก็มักเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ที่จบไปนานแล้ว
ช่วงที่ผ่านมา ‘เพลง I’m OK // Not OK’ ของบอย ป๊อดได้กลายเป็นไวรัล เพราะมันนำพาตัวละครสมมติสองคน ซึ่งก็คือดากานดาและไข่ย้อย สองตัวละครจากภาพยนตร์ ‘เพื่อนสนิท’ ที่เข้าฉายเมื่อ 20 ปีก่อนให้กลับมาพบกันอีกครั้งในเอมวี
ใครที่เคยดูหนังเรื่องนี้ น่าจะรู้ว่าในตอนจบดากานดาและไข่ย้อยต้องแยกจากกัน แม้จะเคยมีช่วงเวลาแห่งความรู้สึกดีๆ ต่อกันก็ตาม จนทำให้หลายคน (ส่วนใหญ่ที่เห็นก็ 30+) ต้องย้อนรำลึกความหลังครั้งได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ครั้งแรก ได้นึกถึงบรรยากาศในช่วงเวลาเก่าๆ และอินไปกับความสัมพันธ์ของตัวละครทั้งคู่
เพราะในเอมวี การพบกันของดากานดาและไข่ย้อยไม่เพียงเป็นการ ‘เจอหน้า’ กันของเพื่อน(สนิท)เก่า แต่เป็นการ ‘เผชิญหน้า’ กันของความรู้สึกที่อาจยังไม่เคยถูกเติมเต็มตลอดระยะเวลา 20 ปีที่แยกจากของตัวละคร ซึ่งยังคงมีความทรงจำของกันและกันซุกซ่อนอยู่ในซอกหนึ่งของหัวใจตลอดมา
หลายคนมีสถานการณ์เหมือนดากานดาและไข่ย้อย ที่มีใครบางคนที่ยังอยู่ในหัวใจตลอดมา แต่วันเวลาที่ ‘จากกันมานาน’ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ทำให้เรื่องราวจางหายไป จนกระทั่งอาจมีโอกาสได้กลับมาเจอกันอย่างไม่ตัั้งใจ
ไม่ว่าใครบางคนนั้น คือคนที่เราอยากเก็บใส่กล่องปิดผนึกไว้เพราะเคยต้องเสียใจ หรือเป็นใครบางคนที่เพียงอยู่ในความทรงจำ เพราะเคยมีความรู้สึกดีๆ มันคงไม่ใช่เรื่องปกติ หากปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านั้นเข้ามามีอิทธิพลต่อสิ่งต่างๆ ในปัจจุบันที่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับ ‘คนคนนั้น’ อีกต่อไปแล้ว
แต่หากวันหนึ่งต้องพบเจอสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการเผชิญหน้ากัน แล้วเราจะมีวิธีจัดการความรู้สึกยังไงดี?
ยอมรับความจริง แต่อยู่กับปัจจุบัน

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เมื่อวันหนึ่งเราต้องพบกับ ‘คนที่เคยรัก’ หรือคนที่เคยอยู่ในความสัมพันธ์แล้วความทรงจำเก่าๆ อาจหลั่งไหลกลับมาโดยไม่ทันตั้งตัว แม้เราจะลืมเหตุการณ์ไปแล้วก็ตาม ไม่ว่าความทรงจำนั้นจะสุข ทุกข์ ดี ร้าย เป็นความเจ็บปวด หรือความเสียดาย ก็ตามแต่ สิ่งสำคัญ คืออย่าพยายามปิดกั้นและยอมรับว่าความรู้สึกเหล่านั้นเป็น ‘เรื่องจริง’ และเข้าใจได้ แต่มันเป็นเพียง ‘ความรู้สึก’ เท่านั้น สิ่งที่เราต้องทำ คือสังเกตความรู้สึกนั้นอย่างเป็นกลาง เช่น ตอนนี้กำลังรู้สึกเจ็บ หรือหัวใจเต้นเร็ว เมื่อรับรู้ได้แล้วก็อย่าตัดสินว่าตัวเองอ่อนแอ หรือยังไม่ลืม เพราะการรู้สึกอะไรบางอย่างไม่ได้แปลว่าเรายังยึดติดกับอดีต
เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องมีบทสรุป

บางครั้งเมื่อต้องจากลากับใครสักคนโดยที่ ‘เรื่องราว’ ในอดีตยังไม่ถูกปิดจบ อาจทำให้ต้องรู้สึก ‘คาใจ’ กับสิ่งเหล่านั้น และคาดหวังว่าการพบกันอีกครั้งจะต้องเป็นโอกาสในการ ‘ปิดฉาก’ หรือ ‘เริ่มต้นใหม่’ หรือแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าเราเปลี่ยนไปมากน้อยขนาดไหน แต่ในความเป็นจริง คือเราไม่จำเป็นต้องทำให้ ‘ช่วงเวลา’ นั้นมีความหมายพิเศษใดๆ เลย แต่อาจเป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งที่บังเอิญผ่านเข้ามาเท่านั้น ซึ่งการไม่มีอะไรเกิดขึ้นจากการเผชิญหน้านั้นก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เราไม่จำเป็นต้องแสดงให้เห็นว่าเราดีขึ้นแล้ว หรือลืมอีกฝ่ายไปแล้ว แต่แค่ต้อง ‘อยู่’ กับสถานการณ์ตรงนั้นด้วยความจริงใจต่อตัวเองเท่านั้น
อย่าเปิดช่องให้ความรู้สึกพาไปไกล

หากการบังเอิญพบกันนำไปสู่การทักทาย หรือบทสนทนาก็พยายามใช้ความสุภาพ แต่ไม่เปิดช่องให้การสนทนานั้นความรู้สึกพาไปไกล เช่น หันไปมองท้องฟ้า ทำหน้าเหงาๆ ถอนหายใจ แล้วพูดขึ้นมาว่า ‘คิดถึงตอนนั้นจังเลยนะ…’ คือพูดคุยอย่างเป็นมิตรได้ แต่อย่าลืมว่าเรามีสิทธิ์เต็มที่ที่จะ ‘ถอย’ ออกมา โดยไม่จำเป็นต้องฝืนคุยต่อเพื่อให้ดูเข้มแข็ง หรือรักษาน้ำใจอีกฝ่าย เพราะ ‘จิตใจ’ ของเราต่างหากที่สำคัญที่สุด
อย่าเติมอดีตให้สวยงามเกินจริง

บางครั้งเมื่อไม่ได้พบกันมานาน พอได้พบโดยบังเอิญ มันอาจมีความทรงจำด้านดีบางอย่าง หรือบุคลิกนิสัยที่ดีบางอย่าง ของอีกฝ่ายผุดขึ้นมา แต่ แต่ แต่ นั่นอาจเป็นภาพที่เรา ‘เลือก’ จำเท่านั้นอย่าลืม ‘เหตุผล’ ที่ทำให้ความสัมพันธ์จบลง ไม่ว่าจะเป็นความไม่เข้าใจ ความเจ็บปวด หรือความไม่เข้ากันก็ตาม อย่าแต่งแต้มอดีตให้สวยงามเกินจริง การได้พบกันอีกครั้ง อาจทำให้รู้ว่าเราและอีกฝ่ายเติบโตมาคนละทางแล้ว
อิสระแท้จริงไม่ใช่การลืม

บางคนอาจรู้สึกผิดที่ยังมีความรู้สึกอยู่ และบางคนอาจโกรธตัวเองที่เคยอยู่ในความรัก หรือเจ็บปวดจากการไม่ใช่คนที่ถูกเลือกในวันวาน แต่อย่าลืมว่า ‘การให้อภัย’ คือคีย์สำคัญของการปลดปล่อยและการเป็นอิสระ ไม่ใช่การลืม แม้มันจะไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องใช้เวลาก็ตาม การให้อภัยคนที่เคยทำให้เราเจ็บปวด หรือเสียใจไม่ได้หมายความว่าเราทำเพื่อเขา แต่เพื่อให้เราได้ไปต่อโดยไม่ต้องแบกความขมขื่นไว้กับตัวเองต่างหาก
ความบังเอิญที่ต้องพบสถานการณ์การเผชิญหน้ากับ ‘คนที่เคยรู้สึก’ อาจไม่ใช่สิ่งที่หลายคนปรารถนาก็จริง แต่มันอาจเป็นบทเรียนที่ทำให้เราได้ย้อนมองตัวเองอย่างจริงใจว่าในวันนี้เราเติบโตจากวันนั้นอย่างไร และรู้สึกต่างจากวันนั้นอย่างไร เราเข้าใจตัวเองและความรักลึกซึ้งขึ้นไหม
แต่ไม่ว่าคำตอบคือเรารู้สึกอย่างไร สิ่งสำคัญคือ ‘ยอมรับ’ ความรู้สึกนั้นด้วยความจริงใจ หากยังมีความเจ็บปวดหลงเหลืออยู่ ก็เป็นข้อมูลที่บอกว่าเรายังมีบางอย่างให้ต้องเยียวยาอยู่ แต่หากเราไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไปแล้วก็ยินดีด้วยที่เป็นอิสระและสามารถก้าวต่อไปได้แล้ว