บางครั้งกาแฟอาจเป็นแค่ข้ออ้างเล็กๆ ให้เราได้แวะไปที่ไหนสักแห่ง แต่สิ่งที่ทำให้เราอยากกลับไปอีกครั้ง อาจไม่ใช่แค่รสชาติกาแฟหอมกรุ่นที่เป็นเอกลักษณ์เท่านั้น แต่เป็นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และบทสนทนาเล็กๆ ที่อบอุ่นใจในระหว่างรอ
ใกล้ปลายคลองหลอด เลียบวัดราชบพิธในย่านเก่าของกรุงเทพฯ มีร้านกาแฟเล็กๆ ที่ไม่มีป้ายชื่อ ดูเผินๆ เหมือนเป็นร้านน้ำชง Oldschool มุงด้วยหลังคาสังกะสีใต้ร่มเงาตึก เก้าอี้สนามจำนวนหนึ่งที่วางเรียงราย และชายวัยกลางคนที่ชื่อว่า ‘ลุงต่าย’ เจ้าของร้านกาแฟที่ใช้หม้อต้ม Moka pot เป็นอาวุธประจำกาย
คอลัมน์ ‘ที่ชอบ’ ไม่ได้ตั้งใจมารีวิวกาแฟ หากอยากชวนคุณฟังบทสนทนาเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในร้านลุงต่าย บทสนทนาที่ทำให้ใครหลายคนตั้งใจวนกลับมาที่นี่อีกครั้ง ไม่ใช่เพราะความต้องการกาเฟอีนซะทีเดียว แต่เพราะอยากเติมใจให้เต็มด้วยความอบอุ่นแบบเดิมอีกสักหน่อย
กาแฟที่ดีก็เหมือนบทสนทนา ต้องค่อยๆ ทำความเข้าใจ
เรามาถึงร้านลุงต่ายตอนประมาณสิบเอ็ดโมง แดดเริ่มแรง แต่มีร่มเงาเล็กๆ จากต้นไม้ริมคลองช่วยบังไว้บ้าง ลุงต่ายเพิ่งเปิดร้าน กำลังวุ่นๆ กับการจัดของ เราเดินเข้าไปแนะนำตัว ลุงต่ายหันมายิ้มด้วยท่าทางเหมือนคนที่คุ้นเคยกับการมีใครสักคนแวะเข้ามาแบบนี้ ยังไม่ทันได้นั่งดี ลุงก็เริ่มถาม
“ชอบกินกาแฟแบบไหน ใส่นม หรือกาแฟดำ คั่วอ่อน กลาง หรือเข้ม?”
“ลูกค้าหน้าใหม่ ลุงมักถามเยอะหน่อย ไม่ใช่เพราะอยากรู้อะไรเยอะแยะ แต่อยากชงให้ถูกใจที่สุด เพราะผมไม่ใช่คนกิน ลูกค้าเป็นคนกิน ผมต้องทำตามใจลูกค้าในสไตล์ของผม” คำพูดของลุงฟังดูง่ายๆ แต่ชัดเจน เหมือนกาแฟที่ลุงกำลังจะชงให้เราแก้วนั้น กาแฟดำ คั่วอ่อน กลิ่นดอกไม้ลอยบางๆ มากับโทนเบอร์รี เปรี้ยวแบบเบาๆ แต่พอให้ตื่นตัวขึ้นหลังเดินลุยแดด

บางร้านเกิดจากฝัน ร้านนี้เกิดจากการเริ่มต้นใหม่
บ่ายแก่ๆ ที่แสงอาทิตย์ส่องเฉียงลอดมุมตึกเข้ามา บรรยากาศร้านดูเงียบแดด และอบอ้าวพอสมควร ไม่ได้มีอะไรชวนให้อยากนั่งนานนัก แต่ผู้คนกลับทยอยเข้ามาเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อน เหมือนรู้จักร้านนี้กันมานาน เราเริ่มสงสัยว่าอะไรกันที่ทำให้ร้านกาแฟเล็กๆ ริมคลองแห่งนี้มีแรงดึงดูดเฉพาะตัวแบบนั้น
‘ลุงต่าย’ เล่าว่าร้านนี้ไม่ได้เกิดจากความฝัน แต่เกิดจากการพังทลายของบางเรื่องในชีวิต บทสนทนาที่ขมขึ้นเล็กน้อย มันเป็นบทสนทนาที่ฟังแล้วตื่น คล้ายๆ กับรสกาแฟในแก้วที่เราถืออยู่ ครั้งหนึ่งลุงเคยปฏิญาณกับตัวเองว่าจะไม่จับกาแฟอีกเลย หลังจากเลิกรากับแฟน และต้องอยู่ร่วมกับอาการซึมเศร้าที่เกาะติดไม่ห่าง
“สองเดือนแรกหลังเลิกรากับแฟน ไม่ทำอะไรเลย ก็รู้สึกดีนะ แต่พออยู่นานๆ รู้สึกเหงา จากที่เคยทำงานทุกวัน เจอลูกค้าทุกวัน อยู่ดีๆ ก็ไม่มีอะไรเลย วันหนึ่งก็ทนความว่างเปล่าไม่ไหว เลยกลับมาชงกาแฟอีก”
สาเหตุที่ร้านมาอยู่ตรงริมคลองแถววัดราชบพิธ ไม่ใช่เพราะทำเล หรือกลยุทธ์การตลาดใดๆ ลุงต่ายบอกว่าแค่เดินผ่านแล้วชอบ บรรยากาศเงียบดี มีวิววัด มีต้นไม้ มีปลาว่ายผ่าน มีกระรอกเล่นโยคะบนต้นไม้ ผู้คนละแวกนี้ก็ใช้ชีวิตกันเรียบง่าย น่ารักแบบไม่พยายามจะเป็นอะไรเลย อีกอย่างไม่อยากให้เดินทางมาง่ายเกินไป อยากให้คนที่มาคือตั้งใจมาจริงๆ กาแฟทุกแก้วที่นี่เบลนด์กันสดๆ ตามใจคนดื่ม ไม่มีสูตรตายตัว บางคนชอบขม บางคนชอบกลิ่น บางคนแค่อยากได้อะไรอุ่นๆ สักอย่างในมือ ลุงต่ายบอกว่าถ้าเราตั้งใจมาดื่ม ผมก็ตั้งใจชงให้

Moka Pot กับการไม่ประนีประนอมเรื่องมาตรฐาน
“รอได้นะครับ ผมจะชงให้เต็มที่”
เสียงลุงต่ายพูดพร้อมรอยยิ้มเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปดูเตาไฟที่มี Moka Pot ตั้งอยู่ กลิ่นกาแฟเริ่มลอยอุ่นขึ้นในอากาศ ครั้งหนึ่งลุงเคยขายกาแฟอยู่ท้ายรถกระบะ Moka Pot จึงเป็นเครื่องมือที่เหมาะสมที่สุด แต่วันนี้แม้จะมีตัวเลือกมากขึ้น ลุงก็ยังเลือกใช้เครื่องชงแบบอิตาเลียนตัวเดิม เพราะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำ
Moka Pot คือเครื่องมือบ้านๆ ที่ให้รสที่หลากหลาย กลิ่นหอมเฉพาะตัว และต้องการเวลา ไม่ใช่แค่เวลาบนเตา แต่คือเวลาที่คนชงจะต้องอยู่กับมันจริงๆ ทุกขั้นตอนล้วนเป็นงานแมนวล ตั้งแต่เบลนด์กาแฟตามสั่ง ชงสดแก้วต่อแก้ว คุมไฟด้วยมือ จนถึงจังหวะที่ยกหม้อกาแฟลงจากเตาแล้วค่อยๆ เทลงแก้ว กลิ่นหอมที่ฟุ้งขึ้น ผสมเสียงซ่าบางเบาในร้านเล็กๆ มันเหมือนการแสดงสดประจำวัน

หลายคนบอกว่าลุงต่ายไม่ต่างจากศิลปินคนหนึ่ง กาแฟของเขาเหมือนงานคราฟต์ หรือ ศิลปะขนาดย่อมที่จัดวางอยู่ริมถนน และสิ่งที่ทำให้มันมีพลัง คือความตั้งใจ
ลูกค้าบางคนกล่าวว่า “ผมมาหาลุงเพราะ Moka Pot ถ้าอยากแค่กินกาแฟ ผมกินที่ไหนก็ได้”
แต่การมากินที่นี่ คือการมารอดู Performance ที่ไม่เหมือนใคร เป็นการมาดื่มบทสนทนา กลิ่นควัน และความละเอียดอ่อนในวิธีของลุง ลุงต่ายชิมกาแฟทุกแก้วก่อนเสิร์ฟ ถ้าไม่ได้ก็ทำใหม่ทันที เพราะเขารู้ว่าการรอคอยมาพร้อมความคาดหวัง โดยเฉพาะกับลูกค้าใหม่ที่มีคนบอกต่อมา การเจอกันครั้งแรกจึงสำคัญ ถ้าแก้วแรกประทับใจ ต่อให้ไกลแค่ไหน เขาก็จะกลับมาอีก

สวนหลังบ้านที่มีกลิ่นกาแฟกับเสียงคุยเบาๆ ของคนแปลกหน้า
“ทำไมถึงมาซื้อกาแฟร้านลุงต่ายเหรอคะ”
เราลองโยนคำถามสั้นๆ นี้ออกไป ท่ามกลางช่วงบ่ายที่หน้าร้านเริ่มคึกคัก ผู้คนเดินเข้า เดินออก บางคนยืนรออย่างใจเย็น บางคนยิ้มแล้วขยับให้คนอื่นเข้ามาแทรกในร่มเงาไม้ บางคำตอบที่ได้กลับมา คือเพราะกาแฟ แต่ก็มีอีกหลายคำตอบที่คล้ายจะบอกว่าพวกเขามาเพราะ กาเฟอีนชนิดอื่น อย่างบทสนทนาระหว่างรอกาแฟแก้วโปรด
ด้วยคาแรกเตอร์ของลุงต่ายเป็นคนง่ายๆ ตรงไปตรงมา ไม่ปรุงแต่ง เป็นนักเล่าเรื่องข้างทางที่พร้อมจะเล่าได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่เพลงยุค 90 ทีมฟุตบอลพรีเมียร์ลีก หรือแม้แต่ปัญหาความรักของใครสักคน ลุงมีวิธีพูดที่จริงใจ และนั่นแหละคือเสน่ห์เฉพาะของที่นี่ที่ไม่เหมือนร้านกาแฟทั่วไป
ลูกค้าของลุงก็หลากหลายอย่างเหลือเชื่อ ตั้งแต่เจ้าของร้านกาแฟในละแวกนี้ พระสงฆ์ นักท่องเที่ยวต่างชาติ เชฟร้านอาหารยุโรปย่านสุขุมวิท หรือแม้แต่คอกาแฟตัวจริงที่แวะมาเพื่อพูดคุย แลกเปลี่ยนมุมมอง และแน่นอนเพื่อรอคิวกาแฟสักแก้วที่ถูกใจจนไม่กล้านอกใจ
สำหรับลุงต่าย ร้านนี้ คือสวนหลังบ้านของคนคุ้นเคย คุณจะนั่งก็ได้ ไม่นั่งก็ได้ ไม่สั่งอะไรเลยก็ไม่เป็นไร ผ่านมานั่งพัก นั่งคุย หรือจะนั่งเงียบๆ คนเดียวก็ไม่มีใครว่า ลุงไม่ได้เปิดร้านนี้เพื่อทำกำไรเป็นหลัก แต่อยากให้คนที่แวะมาได้นั่งพัก ได้จิบกาแฟ ได้ฟังเสียงอะไรบางอย่างในใจตัวเองที่เงียบไปนาน และได้กลับออกไปพร้อมความรู้สึกดีๆ เพราะสำหรับลุงต่ายแล้ว กาแฟไม่ใช่แค่เครื่องดื่มอีกต่อไป แต่มันคือเครื่องมือในการเยียวยา เป็นเหตุผลที่เขายังยืนหยัดอยู่ตรงนี้ในทุกๆ วัน

สำหรับในมุมผู้เขียนที่มีโอกาสได้ใช้เวลาทั้งวันขลุกตัวอยู่ในบรรยากาศของร้านกาแฟลุงต่าย ได้นั่งคุยกับลุง ฟังเสียงจอแจของลูกค้าทั้งขาประจำ และคนที่แวะเวียนมา ก่อนกลับเลยถือโอกาสยกเรื่องของตัวเองมาเล่าบ้าง ไม่ใช่เพราะอยากเล่าอะไรเป็นพิเศษ แต่อยากเข้าใจความรู้สึกของลูกค้าขาประจำที่ไม่ได้ตั้งใจมาซื้อกาแฟแก้วหนึ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนมาเที่ยวบ้านเพื่อน นั่งคุยสารทุกข์สุขดิบ
ทำให้พอจับจุดได้ว่ากาแฟ Moka pot อาจไม่ใช่ของหายากอะไร แต่ช่วงเวลาระหว่างตั้งตารอกาแฟ ทำให้เราช้าลง พอจะฟังอะไรบางอย่างจากใครบางคน ช้าพอจะปล่อยให้บางความคิดตกตะกอนในใจ บางทีอาจจะช้าพอที่จะรู้ตัวว่าเรารู้สึกเหนื่อยมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินเสียงนั้นมาก่อนเลย ร้านกาแฟเล็กๆ ที่ไม่ได้มีใครแวะมาแค่หากาแฟเรียกสติในช่วงเร่งรีบ แต่มาเพราะอยากมีพื้นที่ให้พักกาย พักใจ นั่นแหละสิ่งที่เรารู้สึกหลังจากกลับออกมาพร้อมกลิ่นกาแฟที่ยังอุ่นอยู่ในความทรงจำ