The Whale เหงา เท่า วาฬ ภาพยนตร์แห่งศรัทธาความเชื่อมั่นและมองเห็นคุณค่าในตัวมนุษย์

อาการเครียดแล้วกินจนส่งผลกระทบกับร่างกายอาจเป็นผลมาจากสภาพจิตใจที่บอบช้ำอย่างหนักหน่วง จนต้องเยียวยาด้วยการกินอาหารซึ่ง ชาร์ลี ที่รับบทโดย เบรนแดน เฟรเซอร์ ในเรื่อง The Whale ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นหนึ่งผู้ที่เผชิญกับสภาวะนั้นอยู่ เพราะนอกจากความเสียใจที่สูญเสียคนรักอย่างกระทันหัน ความรู้สึกผิดที่เป็นพ่อไม่เอาไหน ความอับอายกับรูปร่างตัวเอง หลายปัจจัยที่ทำให้ชายคนนี้เลือกที่จะเก็บตัว เหมือนวาฬในมหาสมุทรที่อยากอยู่อย่างสันโดษ แต่ก็เป็นพี่ใหญ่ที่มีจิตใจงดงาม 

ผู้ชมเองก็ได้รับความรู้สึกมวลความเหงาก้อนใหญ่ในใจของเขาที่เอาใจช่วยให้พบทางสว่างในฉากสุดท้ายของภาพยนตร์

การกลับมารับบทนำอีกครั้งบนจอภาพยนตร์ของ เบรนแดน เฟรเซอร์ (Brendan Fraser) ผู้โด่งดังจากภาพยนตร์ดัดแปลงจากแอนิเมชันเรื่อง George of the Jungle (1997) และภาพยนตร์ไตรภาค The Mummy (1999-2008) ห่างหายไปรับบทรองทางซีรีส์และภาพยนตร์หลายเรื่อง จนโอกาสทองมาถึงเมื่อผู้กำกับภาพยนตร์มือรางวัล ดาร์เรน อโรนอฟสกี (Darren Aronofsky) ใช้เวลากว่า 10 ปีเพื่อควานหาผู้มารับบทนำ ชาร์ลี ในบทภาพยนตร์เรื่อง The Whale จนมาเจอกับ เฟรเซอร์ จากบทพอลในภาพยนตร์เรื่อง Journey to the End of the Night ซึ่งเรียกได้ว่ามาในจังหวะที่ถูกที่ ถูกเวลา

The Whale เหงา เท่า วาฬ ดัดแปลงบทภาพยนตร์มาจากบทละครในชื่อเดียวกันของ ซามูเอล ดี ฮันเตอร์(Samuel D. Hunter) ที่รับหน้าที่เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

ครั้งนี้สปอตไลต์ฉายมาส่องที่ เฟรเซอร์ อีกครั้ง ด้วยการรับบทเป็น ชาร์ลี ศาสตราจารย์ด้านภาษาอังกฤษที่ใช้เวลาช่วงสุดท้ายของชีวิตเพื่อไถ่บาปที่ทอดทิ้งลูกสาว เอลลี ไปนานถึงแปดปี รับบทโดย เซดี ซิงก์ (Sadie Sink) นักแสดงจากซีรีส์ยอดนิยม Stranger Things โดย ชาร์ลี ต้องเผชิญกับอาการป่วยจากโรคอ้วนขั้นรุนแรง (obesity) โดยมีน้องสาวของคนรักที่จากไป ลิซ รับบทโดย ฮง เชา (Hong Chau) มาเป็นพยาบาลส่วนตัวที่คอยดูแลประคองอาการให้รอดไปแบบวันต่อวัน 

จากการสูญเสียคนรักอย่างกระทันหันสร้างบาดแผลและผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจจนเป็นเหตุให้เขารับประทานมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อต้องใช้ชีวิตที่เหลือโดยไม่มีคนรักที่เลือกจบชีวิตเพราะความกดดันจากแนวทางศาสนาและสังคมรอบตัวหลังจากที่เปิดตัวว่าเป็นเกย์ ทำให้ชาร์ลีเก็บตัวเองอยู่ในบ้านอันอึมครึมมืดเทาและแทบไม่เปิดเผยตัวตนให้ใครเห็นแม้แต่นักเรียนที่ลงคอร์สทางออนไลน์ ก็ไม่เคยรู้ว่าเสียงที่กำลังชี้แนะแนวทางงานเขียนของพวกเขาอยู่นี้คือใครและมีหน้าตาอย่างไร 

จนเมื่ออาการเริ่มทรุดตัวลงจนเข้าขั้นวิกฤต ชาร์ลีก็ไม่ยอมให้ใครช่วยเหลือหรือพาไปโรงพยาบาล ไม่รับการรักษาใดๆจากผู้เชี่ยวชาญ แต่เขาเลือกที่จะยกหูโทรศัพท์หาลูกสาวคนเดียวที่เกิดจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง เป็นการพยายามครั้งสุดท้ายที่จะเชื่อมต่อกับเธอ โดยเหตุการณ์ของเรื่องเป็นช่วงเวลา 5 วันที่เหลืออยู่ของชาร์ลี ที่โน้มน้าวให้ เอลลี่ เห็นคุณค่าและความพิเศษที่เป็นคุณสมบัติที่เธอมีอยู่แล้วในตัว รวมถึงการเอาชนะโรคอ้วนที่กัดกินจิตใจและร่างกายเพื่อยืนด้วยขาของตัวเองอีกครั้ง 

ถึงแม้จะมีซีนหนักหน่วงและตึงเครียดตลอดทั้งเรื่อง แต่เชื่อว่าถ้าผู้ชมติดตามดูจนถึงซีนสุดท้ายคุณจะได้คำตอบบางอย่างให้กับชีวิตหรือสถานการณ์ที่กำลังเข้ามาท้าทายอยู่ เพราะทุกตัวละครเมื่อมาถึงฉากจบต่างได้รับทางสว่างและปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการที่ถูกครอบไว้ทั้งจากที่ตัวเองสร้างขึ้นหรือมาจากเหตุการณ์ที่คาดเดาและควบคุมไม่ได้ทำให้ชีวิตต้องมาอยู่ในจุดที่ยากลำบาก

แต่เมื่อวันนั้นมาถึงและความเชื่อมั่นในตัวมนุษย์ที่ยังไม่สลายไป จะนำทางสว่างมาส่องแสงให้กับช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุดแก่เรา เพียงลุกขึ้นรับช่วงเวลานั้นโดยมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มหัวใจ ว่ามนุษย์นั้นน่าทึ่งและไม่สิ้นความห่วงใยให้แก่กัน ที่สุดท้ายแล้วผู้ที่จะปลดปล่อยให้หัวใจได้เป็นเสรีอีกครั้งจากการถูกจองจำก็คือมนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆ นั้นเอง 

ทั้งประสบการณ์ชีวิตส่วนตัวของ เฟรเซอร์ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาต้องรับมือการสูญเสีย หย่าร้าง รวมถึงการออกมาเปิดเผยเรื่องราวส่วนตัวในเรื่องการถูกคุกคามทางเพศ  เป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสม ส่งให้การแสดงของเขาสามารถสื่อชีวิตที่ตกต่ำ หดหู่ ได้อย่างสมจริงและกินใจ ภาพปรารถนาความสุขสุดท้ายที่ประทับอยู่ในใจปรากฏขึ้นอีกครั้งหลังจากได้ฟังประโยคที่ไขกุญแจที่ล็อกอยู่ให้กับเขาจบลง

ด้วยภาษาการเล่าเรื่องของผู้กำกับ การันตีได้จากภาพยนตร์เรื่อง Mother! (2017) Black Swan (2010) The Wrestler (2008) และ Pi (1998) ที่ร้อยเรื่องราวได้อย่างลื่นไหล แม้ฉากเกือบทั้งหมดจะเกิดขึ้นในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ ขนาดสองห้องนอน แต่ด้วยไดอะล็อกและการแสดงสามารถตรึงให้คุณอยู่กับเรื่องราว ประกอบการการเลือกใช้ดนตรีประกอบที่เสริมอารมณ์ให้ยิ่งเข้มข้นชวนติดตาม จึงไม่แปลกใจเลยที่เรื่องนี้จะมีชื่อเข้าชิงในเทศกาลภาพยนตร์ต่างๆ ทั่วโลก   

และทำให้ชื่อของ เบรนแดน เฟรเซอร์ ในวัย 54 ปี กลับมาโลดแล่นให้แฟนๆ ได้หายคิดถึงอีกครั้งได้ไม่ยาก เขาได้กล่าวขอบคุณ อโรนอฟสกี ผู้กำกับของเรื่องที่ให้เลือกให้เขารับบทนี้และดึงเอาความสามารถของเขาออกมาให้ผู้ชมทุกคนได้รับชมบนโลกภาพยนตร์อีกครั้ง

ในครั้งนี้ เฟรเซอร์ รับบทหนักทั้งการต้องเพิ่มน้ำหนักตัวเองและการเทคนิค prosthetics เพื่อให้สมบทบาทชายร่างใหญ่ที่หนักกว่า 600 ปอนด์ โดยก่อนเข้าฉากต้องใช้เวลาเตรียมตัวรวมแล้วเกือบสี่ชั่วโมง ทั้งนี้เขายังทำงานร่วมกับครูสอนด้านการเคลื่อนไหวเป็นเวลาหลายเดือนและรับคำแนะนำจาก Obesity Action Coalition เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนรับบทชาร์ลีและทำให้การแสดงออกมาดีที่สุด แต่ก็ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าเมื่อมีชื่อเข้าชิงออสการ์ในสาขานักแสดงยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรก ด้วยการแสดงที่นักวิจารณ์หลายเสียงยกย่องให้เป็นงานที่ดีที่สุดของเขา

ตั้งแต่วันที่ฉายรอบเวิลด์พรีเมียร์ที่งานเทศกาลภาพยนตร์เมืองเวนิซเมื่อเดือนกันยายน 2022 ก็ได้รับเสียงตอบรับที่น่าตื้นตันใจ เพราะหลังจากฉายจบผู้ชมยืนปรบมือ (standing ovation) ยาวนานกว่า 6 นาทีโดยมี ดเวย์น จอห์นสัน (Dwayne Johnson) หรือ เดอะร็อก (The Rock) ที่เคยร่วมงานในภาพยนตร์ ‘The Mummy Returns’ ทวีตแสดงความยินดี อีกทั้งยังมีหลายๆ โมเมนต์ที่คนบันเทิงฮอลลีวูด ออกมากล่าวชื่นชมกับความสำเร็จของเขาในครั้งนี้ทำให้รู้ว่าผู้ชายที่ชื่อ เบรนแดน เฟรเซอร์ เป็นที่รักทั้งในจอและชีวิตจริง

สำหรับนักแสดงคนอื่นในเรื่องทั้ง เซดี ซิงก์ และ ฮง เชา ก็ยิ่งช่วยทำให้เรื่องราวสมจริงและบีบคั้นอารมณ์ ต้องยกเครดิตให้กับฝ่ายแคสติ้งภาพยนตร์เรื่องนี้ที่จับนักแสดงมาถ่ายทอดได้อย่างสมบทบาท กวาดเสียงชื่นชมและกล่องรางวัลติดมือกลับบ้านในหลายเวที

ทั้งนี้ในงานประกาศรางวัล Critics’ Choice Awards เมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา เฟรเซอร์ได้ขึ้นรับรางวัลในสาขานักแสดงชายยอดเยี่ยม จบสปีชด้วยประโยคที่กินใจซึ่งเป็นหัวใจของภาพยนตร์ The Whale ที่ว่า

“ไม่ว่าใครก็ตามที่ตกอยู่ในสภาวะที่ต้องต่อสู้กับโรคอ้วนแบบ ชาร์ลี ในภาพยนตร์เรื่องนี้ หรือกำลังอยู่ในช่วงที่มืดมิดที่สุดของห้วงมหาสมุทรใดก็ตาม ผมอยากให้คุณรู้ไว้ว่า ถ้าคุณรวบรวมพลังแล้วลุกขึ้นยืนเพื่อมองหาแสงที่ปลายอุโมงค์ส่องชี้ทางสว่าง เชื่อเถอะว่าสิ่งดีๆ กำลังจะเกิดขึ้น” 

รับชมตัวอย่างภาพยนตร์

The Whale ‘เหงา เท่า วาฬ’ ฉายพร้อมกันทั่วประเทศในโรงภาพยนตร์

AUTHOR