ในโลกที่ความรักไม่ได้สมบูรณ์แบบเสมอไป บางครั้งความรู้สึกที่จริงที่สุดไม่ได้อยู่ในคำพูดที่ชัดเจน แต่มาในรูปของท่อนฮุกบางท่อนจากเพลงบางเพลง เมโลดีวนซ้ำ หรือประโยคธรรมดาๆ ที่ทำให้เรานิ่งไปครู่หนึ่ง
เรารู้จักศิลปินหนุ่มจากสิงคโปร์ที่ชื่อ ‘Rangga Jones’ บนหน้าฟีด TikTok ผ่านบทเพลงที่เรียบง่าย แต่ตรงไปตรงมาที่สะท้อนความรู้สึกที่ลึกซึ้งจนไปแตะหัวใจใครหลายคน ราวกับกำลังอ่านใจของเราในวันที่เปราะบางที่สุด
เพลงฮิต TikTok ที่ปลดล็อกสู่ Playlist ในดวงใจใครหลายคน
“Oh baby, I swear
Oh, you got me infatuated
just by the way that you move
that you move…”
ท่อนฮุกจากเพลง Infatuated ที่ใครหลายคนอาจจะคุ้นหูจาก TikTok ช่วงปลายปีที่แล้ว ก่อนจะรู้ตัวอีกที เพลงนี้ก็ดันติดอยู่ในหัว และในใจของคนไทยนับแสน
ต้นทางของไวรัลนั้นมาจากบัญชี TikTok ที่ใช้ชื่อว่า Rangga Jones ศิลปินป็อป – อาร์แอนด์บีจากสิงคโปร์ที่โพสต์คลิปเพลงของตัวเอง พร้อมข้อความว่า “เพลงนี้ยังไม่เสร็จดี แต่ถ้า Presave ถึงเป้า จะปล่อยเวอร์ชันเต็ม” คำอธิบายเพียงไม่กี่บรรทัดกลายเป็นคำชวนที่ทำให้แฟนๆ ชาวไทย เริ่มช่วยกันกด Presave เพื่อปลดล็อกให้เพลงเต็มได้ลงบนสตรีมมิงแพลตฟอร์ม
ในโลกของการสตรีมเพลงออนไลน์ Presave เปรียบได้กับการจองไว้ก่อน เพื่อให้เพลงถูกเพิ่มลงในไลบรารีของเราทันทีที่เพลงปล่อยออกมา นอกจากนี้ยังเหมือนบารอมิเตอร์วัดระดับความอยากฟังที่แท้จริงจากผู้ฟังด้วยเช่นกัน ยิ่ง Presave เยอะ เท่ากับยิ่งมีแรงผลักดันให้ปล่อยเร็วขึ้น ในกรณีของ Rangga Jones ไม่ได้แค่ปลดล็อกเพลง แต่เป็นการปลดล็อกโอกาสของเขาในประเทศไทยด้วย
เรามีโอกาสได้เจอ Rangga Jones เป็นครั้งแรกในบรรยากาศช่วงเย็นที่ออฟฟิศ a day อากาศเย็นกำลังสบาย แสงแดดบางๆ รินผ่านกระจกหน้าต่าง เขามาถึงแบบไม่เร่งรีบ พูดจาด้วยรอยยิ้มเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความตั้งใจ เหมือนไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตจะพาเขามายืนจุดที่แฟนเพลงไทยเรียกชื่อเขาได้ขนาดนี้
ไหนๆ เขาก็มาถึงไทยแล้ว เราก็ไม่พลาดที่จะชวนเขามาพูดคุยเกี่ยวกับแรงบันดาลใจ เบื้องหลังการเขียนเพลง และอัลบั้มใหม่จากเรื่องราวความรักของเขาเอง นับเป็นศิลปินหน้าใหม่ที่น่าจับตามองในวงการดนตรีของสิงคโปร์
ก้าวแรกบนเส้นทางดนตรี แค่เริ่มด้วยความชอบ ฝันก็เดินทางไกลเอง
ย้อนกลับไปช่วงที่ Rangga Jones ยังเป็นนักเรียน เขาอาจไม่ได้ฝันไกลขนาดนี้ สิ่งเดียวที่เขามีในตอนนั้นคือความชอบในการร้องเพลง กับกล้องหนึ่งตัว เพื่อทำคลิปคัฟเวอร์เพลงบน YouTube เขาเริ่มเล่าว่า “จริงๆ เพิ่งเริ่มปล่อยเพลงตัวเองตอนปี 2019 ตอนนั้นแค่อยากมีหน้าโปรไฟล์ใน Spotify ก็เลยแต่งเพลงเองเพลงแรกแล้วปล่อยเลย”
เขาเล่าด้วยน้ำเสียงขำๆ ปนเขินๆ แต่ก็เต็มไปด้วยประกายบางอย่างในสายตา จากจุดเริ่มต้นแบบลองผิดลองถูก Rangga เริ่มเขียนเพลงใหม่ออกมาเรื่อยๆ แต่ละเพลงค่อยๆ พาเขาเข้าใกล้วงการเพลงมากขึ้นจนในปี 2020 เขาได้เข้าร่วมโครงการ Noise Music Mentorship ซึ่งเป็นเวทีบ่มเพาะศิลปินรุ่นใหม่ในสิงคโปร์ และเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เขาก้าวมาเป็นศิลปินอย่างเต็มตัว
จากนั้นเขาได้ขึ้นแสดงในสถานที่ระดับประเทศอย่าง Esplanade Concert Hall และ The Sands Theatre และในปีถัดมา เขาได้เป็นหนึ่งในศิลปินที่ได้รับเลือกจาก Spotify RADAR 2021 พร้อมปล่อยผลงานแรก A Little Bit Patient ที่มียอดสตรีมทะลุกว่า 43 ล้านครั้ง ก่อนที่เพลงฮิตอย่าง Call Me จะตามมาติดๆ ด้วยยอดสตรีมอีกกว่า 30 ล้านครั้ง และในปี 2024 เสียงของเขาก็เดินทางไกลข้ามทะเลจน Infatuated กลายเป็นเพลงที่คนไทยเปิดวนไม่รู้จบ
ย้อนกลับไปจุดเริ่มต้น สิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจทำให้เขาเริ่มเส้นทางดนตรี คือ Justin Bieber กับ Ed Sheeran “ผมจำได้ว่าเคยดูสารคดีของ Justin Bieber แล้วรู้สึกอินมากๆ ทำให้อยากลองตามฝันดูบ้าง ส่วน Ed Sheeran ผมชื่นชมในทักษะการแต่งเพลงของเขา และเรื่องราวชีวิตที่ลุกขึ้นมาสู้จนยืนตรงจุดนี้ได้น่าทึ่งมาก”
บางทีการได้เห็นใครบางคนกล้าก็ทำให้เรากล้า แม้จะเริ่มต้นด้วยเพลงที่ไม่มีใครฟังเลยก็ตาม และบางเพลงก็ไม่จำเป็นต้องมีความฝันใหญ่ตั้งแต่แรก ขอแค่เริ่มด้วยความตั้งใจ

เมื่อความอินเล็กๆ กลายเป็นไวรัล Infatuated ของ Rangga Jones และความคิดถึง HYBS ที่ตามมา
เบื้องหลังของเพลง Infatuated มีจุดเริ่มต้นที่อบอุ่นกว่าที่เราคิดไว้ Rangga เล่าว่า “ในช่วงหนึ่งผมฟังเพลงของ HYBS วนไปมาอยู่ทุกวัน แล้วรู้สึกอินจนเกิดแรงบันดาลใจอยากทำเพลงที่มีกลิ่นอายคล้ายกัน ความนุ่มนวลแบบ Lo-Fi อารมณ์เย็นๆ ค่อยๆ ปล่อยใจล่องลอย เพลงนี้แต่งออกมาจากจินตนาการล้วนๆ ไม่มีเรื่องจริงประกอบ”
เขาปล่อยให้เมโลดี้กับเนื้อร้องพาไปเอง แต่กลับกลายเป็นหนึ่งในเพลงที่ฟังดูจริงที่สุดในสายตาแฟนเพลงพีกกว่านั้น คือเขาเลือกใช้ภาพของวง HYBS ประกอบโพสต์ TikTok เพลงนี้ แล้วมันก็ดันไวรัล “ตกใจเหมือนกันที่มันไปได้ไกลขนาดนั้น ดีใจมากที่ Wim กับ James Alyn เองก็สนับสนุนเช่นกัน ต้องขอบคุณพวกเขา เพราะทั้งเสียงและสไตล์ของ HYBS มีอิทธิพลกับผมมากจริงๆ”
วง HYBS หรือ (Have You Been Shrimp?) วงดนตรีดูโอ้จากไทยที่หลายคนรัก เพิ่งประกาศยุติบทบาทไปเมื่อช่วงต้นปีที่แล้ว ยิ่งทำให้การฟัง Infatuated ในช่วงเวลาปลายปีของปีเดียวกัน กลายเป็นการระลึกถึงกลิ่นอายแบบ HYBS อย่างไม่ตั้งใจ เขากล่าวทิ้งท้ายว่า Infatuated เปลี่ยนชีวิตเขาเลย เขามีแฟนเพลงชาวไทยเยอะขึ้นมาก ซึ่งเป็นการสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยได้รับ ประทับใจมากที่แฟนๆ ไม่ได้แค่ฟัง Infatuated แต่ยังย้อนกลับไปฟังเพลงอื่นด้วย

เบื้องหลังอัลบั้มที่พูดแทนหัวใจ Everything I’ve Wanted To Say
หลังจากปล่อยเพลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2019 และสะสมยอดสตรีมหลักสิบล้าน Rangga กลับมาพร้อมอัลบั้มที่บันทึกหัวใจที่เคยเจ็บของคนที่กลับมารักได้อีกครั้ง
“บางความรู้สึกเราเก็บไว้นานจนลืมไปว่ามันยังอยู่ จนวันที่เราเขียนมันออกมาเป็นเพลง”
ประโยคเรียบง่ายนี้ของ Rangga Jones อาจเป็นคีย์เวิร์ดที่นิยามอัลบั้ม Everything I’ve Wanted To Say ได้ครบถ้วนในบรรทัดเดียว โปรเจกต์เต็มชุดแรกของเขา
“จุดเริ่มต้นของอัลบั้มเกิดขึ้นหลังจากผมปล่อยเพลง Pushing Me Away ไปได้ไม่นานเลยครับ พอปล่อยเพลงนั้นแล้ว ผมรู้เลยว่าอยากทำโปรเจกต์ที่พูดถึงสิ่งที่เคยผ่านมา และเล่าให้ฟังว่าตอนนี้ผมเป็นยังไง”
เขาเล่าด้วยสีหน้านิ่งขึ้นเล็กน้อย ความทรงจำบางอย่างเหมือนยังอุ่นๆ อยู่ พลางขยายความต่อ “แรงบันดาลใจของอัลบั้มนี้ มาจากประสบการณ์ส่วนตัวของผม ช่วงสองปีก่อนที่เจอกับความรักที่เจ็บปวดที่สุด ผมอยากเขียนเพลงเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ และปลดปล่อยความรู้สึกที่เก็บไว้ทั้งหมดในหัว ตอนนี้หายดีแล้ว และได้ตกหลุมรักอีกครั้ง”
10 เพลงในอัลบั้มนี้เปรียบเสมือนการเยียวยาตัวเอง และการเชื่อมต่อกับคนฟัง ปล่อยความรู้สึกทีละท่อน จนรวมกันกลายเป็นอัลบั้มที่ชื่อว่า Everything I’ve Wanted To Say เราจะได้ฟังเพลงที่เล่าพัฒนาการของความรู้สึกตั้งแต่แผลสดๆ ของคนที่กำลังถูกผลักออกจากความสัมพันธ์ จนถึงช่วงเริ่มเยียวยา และสุดท้าย คือความรู้สึกอบอุ่นเมื่อพบว่าตัวเองกลับมารักใครสักคนได้อีกครั้ง
สำหรับเราฟังแล้วเหมือนนั่งคุยกับใครสักคนที่กำลังเล่าเรื่องหัวใจอย่างจริงใจที่สุด บางท่อนอาจทำให้คุณสะอึก บางเพลงอาจทำให้คุณเงียบไปนานหลายวินาที อยากให้ทุกคนฟังตั้งแต่แทร็กแรกไปจนจบ เพราะทุกเพลงมันเป็นตัวแทนของเรื่องราวจริงในชีวิตผมทั้งหมด
เขายอมรับตรงไปตรงมาว่าความรักครั้งเก่าให้บทเรียนสำคัญที่สุดในชีวิต “ผมได้เรียนรู้ว่าการสื่อสาร คือทุกอย่าง เราควรพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาตรงๆ เสมอ” เหมือนเป็นสิ่งที่เขาเองก็เพิ่งเข้าใจ หลังจากต้องเสียมันไปเพราะความเงียบ และนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมอัลบั้มนี้จึงพูดทุกอย่างแบบไม่อ้อมค้อม
เมื่อเราถามว่าเวลาเขียนเพลงเกี่ยวกับความรักที่เจ็บปวด เขาทำเพื่อเยียวยาตัวเอง หรือเพื่อเชื่อมต่อกับผู้ฟังมากกว่ากัน เขาหัวเราะนิดหนึ่ง ก่อนตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ทั้งสองอย่างเลยครับ”
Rangga เลือก Love Again เป็นซิงเกิลหลัก เพลงที่เต็มไปด้วยแสงอ่อนๆ ของการเริ่มใหม่ เขาเขียนเพลงนี้ในวันที่หัวใจเริ่มกลับมาเต้นอย่างเป็นธรรมชาติอีกครั้ง
พร้อมให้เหตุผลว่า “มันเป็นตัวแทนของช่วงเวลาปัจจุบันของชีวิต และไม่อยากให้เพลงที่เน้นในอัลบั้มเป็นอะไรที่สะท้อนแค่ความรู้สึกเมื่อสองปีก่อน” เพลงนี้จึงเป็นเหมือนกล่องของขวัญใบสุดท้ายในอัลบั้มที่เปิดออกมาแล้วอุ่นจนมือเปียก
เพลงของ Rangga ไม่ได้เล่าเรื่องความรักในอุดมคติ แต่เล่าถึงความรักในชีวิตจริงที่บางวันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม บางวันเต็มไปด้วยความกลัว ความคาดหวัง ความเจ็บปวด และการเยียวยา มันคือวงจรที่เราทุกคนล้วนต้องผ่านไม่ช้าก็เร็ว และบางทีความรักก็ไม่ได้หายไปไหน แค่มันพาเราผ่านช่วงเวลาที่พัง จนกว่าเราจะพร้อมกลับมารักอีกครั้ง

Rangga Jones กับการสวมหลายบทบาทในโลกดนตรี
ในวงการดนตรีสมัยนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ศิลปินจะสวมหมวกหลายใบ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะรับมือกับมันไหว Rangga Jones คือหนึ่งในคนที่พยายามอยู่กับมันอย่างซื่อสัตย์
“มันเหนื่อยนะ โดยเฉพาะเวลาที่คิดอะไรไม่ออก มันเครียดมากจริงๆ” เขาพูดพลางหัวเราะเบาๆ ราวกับคนที่รู้ดีว่าความเครียดบางทีไม่ได้เลวร้ายเสมอไป พร้อมพูดต่อว่า “แต่ก็ชอบที่สามารถทำเองได้ทุกอย่าง มันสนุกมาก เวลาที่ไอเดียมันไหลออกมาโดยไม่ต้องอธิบายให้ใครฟัง”
แม้จะถนัดทำเพลงคนเดียวเป็นหลัก แต่ในอัลบั้มล่าสุดอย่าง Everything I’ve Wanted To Say สองเพลงในอัลบั้ม ‘If You Don’t’ กับ ‘Love Again’ เขาทำร่วมกับมือกีตาร์ Rangga เล่าด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร เหมือนกำลังพูดถึงเพื่อนที่รู้ใจกันดี
เมื่อถามต่อว่าเคยวางแผนไหมว่าอยากเป็นศิลปินแบบไหน “ตอนนั้นผมเข้าวงการมาในฐานะศิลปินเลย จุดเริ่มต้นจริงๆ คือโครงการ NOISE Mentorship ปี 2020” ที่เปิดโอกาสให้ได้เจอคนในวงการเพลง และได้ลองปล่อยเพลงอย่างจริงจัง มันเป็นหมุดหมายแรกที่ทำให้รู้ว่าเขาอาจจะไปได้ไกลกว่าที่คิดก็ได้ การเป็นทั้งคนแต่งเพลง และโปรดิวเซอร์ในตัวเอง
“ผมไม่ได้แยกชัดขนาดนั้นนะครับ ผมทำหลายอย่างไปพร้อมกัน ซึ่งไม่ใช่ทุกวันจะมีไอเดียใหม่ๆ ผมเลือกที่จะไม่ฝืนเมื่อเจอทางตันทางความคิด เพราะเรียนรู้แล้วว่าบางทีการหยุดพัก ก็อาจสร้างพื้นที่ให้เสียงเพลงตัวจริงได้กลับมา”
ระหว่างที่เขาพูด ดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะทุกอย่างง่ายขึ้น แต่เพราะเขาเข้าใจแล้วว่ากระบวนการสร้างงาน ไม่ได้ต้องเร่งเสมอไป บางเพลงเกิดจากการรอคอย และบางเพลงอาจต้องใช้ความเงียบก่อนจะได้ยินอะไรบางอย่างชัดเจน

เมื่อวาดความฝันไว้ชัด ทุกก้าวจึงมีเป้าหมาย
จากเด็กหนุ่มที่เติบโตในวงการดนตรีจากจุดเล็กๆ อย่างการคัฟเวอร์เพลงลงยูทูบ สู่ศิลปินที่กำลังเป็นที่จับตามองในวงการเพลงป็อป เขาไม่เคยหยุดลงมือทำ และไม่เคยหยุดฝัน
“เป้าหมายใหญ่ของผมตอนนี้ คือการได้ออกทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลก ผมชอบการแสดงสดและอยากเจอแฟนๆ ของผมทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผมอยากไปแสดงที่ไทย อินโดนีเซีย แล้วก็ฟิลิปปินส์มากๆ ตอนนี้กำลังวางแผนกับทีมอยู่ หวังว่าจะได้เริ่มช่วงปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า” เขาพูดด้วยแววตามุ่งมั่นเหมือนฝันนั้นมันชัดเจนมากพอให้มองเห็นเวทีแล้วจริงๆ
“ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ Rangga อยากมาให้ได้สักครั้ง และที่ผ่านมา ผมเคยร่วมงานกับศิลปินไทยคนหนึ่งมาแล้วอย่าง Patrickananda ในเวอร์ชันรีมิกซ์ของเพลง Infatuated ครับ ตอนนี้กำลังมีโปรเจกต์ร่วมกับศิลปินไทยอีกคนที่อยู่ระหว่างดำเนินการ แต่ขออุบไว้ก่อน รอฟังตอนปล่อยเพลงพร้อมกันครับ”
นอกจากการเดินทางออกทัวร์ และการทำงานร่วมกับศิลปินในภูมิภาค Rangga ก็ยังมีลิสต์ในฝันแบบศิลปินรุ่นใหม่ทุกคน รายชื่อที่ฟังดูอาจไกล แต่เขาก็พูดมันออกมาอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่นิด “ถ้ามีโอกาสผมอยากร่วมงานกับศิลปินในฝันที่ผมชื่นชอบอย่าง Justin Bieber, Ed Sheeran, Lauv และ Keshi”
การได้พูดคุยกับ Rangga Jones ในวันนี้ทำให้เราได้เห็นถึงพลังของความตั้งใจเล็กๆ ที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นจากความรักในเสียงดนตรี เขาเล่าเรื่องราวผ่านบทเพลงด้วยความซื่อสัตย์กับความรู้สึกมากที่สุด และนั่นเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ใครหลายคนรู้สึกเข้าถึงอารมณ์เพลงของเขา ไม่แปลกใจเลยที่ Rangga Jones มีทั้งอัลบั้ม เพลงฮิต และแฟนเพลงจากหลากหลายประเทศ จากจุดเล็กๆ ที่เขาเริ่มต้นในห้องนอน กลายมาเป็นศิลปินที่มีคนรอฟัง แม้ความฝันบนเวทีระดับโลกจะดูยิ่งใหญ่ แต่ด้วยหัวใจที่มุ่งมั่นไม่เปลี่ยนไปเลยจากวันแรก เราเชื่อว่าระยะทางนั้นคงไม่ไกลเกินเอื้อม