เพียงเลยขอบฟ้าของสวรรค์ไปเล็กน้อย สถานที่หนึ่งซ่อนตัวอยู่ในแสงสีอ่อนโยน ‘สะพานสายรุ้ง’ เป็นนิยามที่แห่งนี้

เมื่อสัตว์ตัวหนึ่งจากโลกนี้ไป ดวงวิญญาณจะเดินทางล่องไปยังทุ่งหญ้าเขียวขจี เนินลูกเล็กลูกใหญ่ผุดขึ้นลงให้ได้วิ่งเล่นเป็นอิสระ อุดมไปด้วยขนม น้ำใสเย็น แดดอุ่นๆ ส่องลงไร้ซึ่งความหนาวเหน็บและเจ็บปวด
เจ้าหางกลมตัวไหนที่เคยล้มป่วยจะกลับมาแข็งแรง นอนซมเพราะชราภาพก็จะฟื้นคืนสู่วัยเยาว์ พวกเขายังเหมือนเดิม เหมือนวันเก่าที่เราเคยเห็น ทั้งกระโดดอย่างเบิกบานใจ ดูจะสุขสราญไปเสียหมด หากแต่ขาดซึ่งบางสิ่ง มีใครบางคนที่เจ้าตัวเล็กเก็บไว้ในความทรงจำ ใครบางคนที่พวกเขาจำใจจากมา
และแล้ววันหนึ่งขณะที่ปากคาบตุ๊กตาเน่าตัวโปรดเช่นทุกวัน จู่ๆ ก็ทิ้งมันลง ขาหยุดนิ่งกับพื้น ทั้งหูตั้งตรง ดวงตาจับจ้องไปยังขอบฟ้า หัวใจเต้นแรงราวจะทะลุออกจากอกน้อยๆ
เจ้าขนฟูออกวิ่งไปข้างหน้า ขาเล็กๆ วิ่งเร็วขึ้น เร็วขึ้น ข้ามผ่านทุ่งหญ้าเขียวขจี
ชื่อของสัตว์ขนาดจ้อยถูกเรียกด้วยเสียงที่คุ้นเคย มืออุ่นๆ ลูบหัวอย่างแผ่วเบา ดวงตาสบจ้องกัน
ร่างหนึ่งปรากฏกลางสะพานสายรุ้ง
รอคอยมาเนิ่นนาน ถึงวันนี้เสียที
‘สะพานสายรุ้ง’ มีต้นกำเนิดจากบทกวีที่เขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1959 โดย ‘Edna Clyne-Rekhy’ ศิลปินชาวสกอตแลนด์ เมื่ออายุย่างเข้า 19 ปี เธอสูญเสียสุนัขลาบราดอร์ตัวโปรดชื่อเมเจอร์ เพราะน้ำตาที่ระบายออกไปเท่าไรก็ไม่เคยหมด ทั้งยังท่วมขังอย่างไม่รู้วิธีจะปล่อยให้ไหลไป
“ลองเขียนจดหมายดูสิ เผื่อว่าเจ้าเมเจอร์จะได้อ่าน” ผู้เป็นแม่บอกกับเอ็ดน่า
และบทกวี ‘The Rainbow Bridge’ ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นในกระดาษที่ประทับด้วยลายมือยึกยือ จนนำไปสู่การตีพิมพ์ลงในคอลัมน์ ‘Dear Abby’ ที่เลื่องสายตาคนอ่านทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา บทกวีฉบับนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง ช่วยปลอบประโลมผู้ที่ประสบเหตุเดียวกันได้ไม่น้อย และสะพานสายรุ้งก็ได้กลายเป็นหนึ่งในความเชื่อทางฟากฝั่งตะวันตก

แม้ไม่อาจแน่ใจว่าเหล่าสัตว์เลี้ยงเดินทางไปที่สะพานสายรุ้งจริงหรือเปล่า แต่เราก็ยังหวังให้ทุกที่ที่อุ้งเท้าของเขาเหยียบลงได้มีพื้นนุ่มสบายเหมือนเบาะนอนที่เราตั้งใจเลือกให้ ได้กินอิ่มหลับทั้งพุงป่อง มีใครสักคนที่ใจดีรับไปเลี้ยงแทน
เช่นเดียวกับความเชื่อของมนุษย์เราว่าตายตกแล้วคงไปสวรรค์ หรือไม่ก็นรก แต่โดยมากเรามักอยากให้คนที่รักได้ล่องลอยอยู่บนฟ้า โดยไม่จำเป็นต้องรับโทษและถูกตัดสินอะไรอีก เพราะก่อนหน้าที่ต้องใช้ชีวิตก็คงเหนื่อยยากพอแล้ว แค่คอยมองดูเราจากที่ไกลๆ ที่ไหนสักแห่งหนึ่งเป็นพอ และที่แห่งนั้นอาจงดงามเหมือนอย่างสะพานสายรุ้ง
มีคำเล่าขานจากแดนตะวันออกใต้เงาภูเขาไฟเก่าแก่ และดอกซากุระที่ผลิบานไม่เคยขาดฤดู ที่นั่นมนุษย์และสัตว์อยู่เคียงกัน ไม่มีใครตัวเล็กเกินไปสำหรับคำว่า ‘จิตวิญญาณ’ ในทุกลมหายใจของแมวเหมียวที่ขดตัวหลับ ในทุกเสียงเห่าเบาๆ ของสุนัขหน้ายิ้มเมื่อเห็นเรากลับบ้าน สัตว์เลี้ยงไม่ใช่แค่เพื่อนเล่นยามเหงา แต่คือผู้เชื่อมโยงระหว่างโลกมนุษย์กับธรรมชาติที่รู้ว่าเราเหนื่อย คอยนั่งฟังในความเงียบงัน และรอเรากลับบ้านเสมอ
ชนชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าในสัตว์ทุกตัวมีวิญญาณน้อยอาศัยอยู่ไม่ต่างจากมนุษย์เรา พวกเขาเชื่อว่าเมื่อน้องๆ จากไปย่อมต้องสะพายกระเป๋าที่เต็มไปด้วยขนม พร้อมออกเดินทางบนถนนที่ประกายฟ้าส่องระยิบระยับ พิธีเล็กๆ ยามเจ้าตัวจ้อยหลับใหลทั้งลมหายใจเงียบงันมักมีเบาะนอนนุ่มๆ ดอกไม้ขาว ผสมกลิ่นธูปบางเบามอบให้

ราวว่าไม่มีการจากลาไหนถาวร แค่เป็นการเว้นวรรคบทหนึ่งของชีวิต ก่อนที่เราจะได้พบกันใหม่อีกครั้ง บางทีอาจมาในรูปแบบของเสียงกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งริมหน้าต่าง หรือหางที่โผล่มาให้เห็นแวบเดียวในความฝันว่าคนทางนี้ก็คิดถึงเหมือนกัน
ความเชื่อเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อปลอบใจผู้สูญเสียเพียงอย่างเดียว หากแต่มันกลับเป็นพลังน่าเหลือเชื่อที่ทำให้เราพยายามเดินไปข้างหน้าให้ได้ทุกวัน ใช้ชีวิตที่เหลือแทนพวกเขา บางครั้งก็สานฝันในสิ่งที่เขาอยากทำ แต่ไม่ทันได้มีโอกาส พร้อมกลับมายืนอวดยิ้มหน้ากรอบรูปสีจาง
“เห็นไหม ทำได้แล้วนะ ภูมิใจหรือเปล่า หลังจากนี้ก็เดินทางไกลได้เลย ไม่ต้องเป็นห่วงแล้วล่ะ จะเติบโตต่อไปอย่างดีเลย”

ต่อให้ความหวัง หรือความเชื่อที่มีจะดูเล็กกระจ้อยแค่ไหน หากมันทำให้ยังอยากมีชีวิตต่อไปได้ เราว่ามันก็ยิ่งใหญ่เสมอนะ และคงมีขนาดใหญ่พอๆ กับสะพานสายรุ้งที่มีใครคิดถึงเราอยู่เต็มไปหมด ว่าไหม