PUN การบันทึกช่วงเวลาว้าวุ่นของศิลปินวัย 21 ที่เรียนรู้การบาลานซ์ชีวิตและขอบคุณตัวเองเสมอ

เด็กส่วนใหญ่ในวัย 21 คงกำลังได้ทดลองใช้ชีวิตอย่างอิสระ ดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่เพิ่งบรรลุนิติภาวะไปหมาดๆ แต่สำหรับ ‘ปัน-สรณวรรธ พิชัยรณรงค์สงคราม’ เขากำลังทำเพลงอัลบั้มแรกในชีวิต เพื่อบันทึกมวลความรู้สึกที่เกิดขึ้นขณะนี้

เที่ยวเล่นกับเพื่อนวัยเดียวกัน กลุ้มใจเรื่องคะแนนสอบ — กลายเป็นเรื่องธรรมดา ที่ปันไม่ได้สัมผัส เขาเลือกเดินทางออกจากระบบ เพื่อตามความฝันอย่างการเป็นศิลปินตั้งแต่อายุ 17

“เรามองในกระจกตอนเช้าแล้วไม่เห็นสิ่งอื่น รู้แค่ว่าอยากเป็นคนที่ยืนอยู่บนเวที”

นั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้ปันเริ่มทำดนตรีด้วยตัวเอง เข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิก YarbCrew กลุ่มนักดนตรีวัยรุ่นอันเดอร์กราวนด์ที่หลงใหลในการทำเพลงแร็ป-ฮิปฮอป ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังเป็นหน้าใหม่ ด้วยเพลง คำถามฉบับปรับปรุง และ Kryptonite จนล่าสุดเป็นศิลปินค่าย Universal Music ด้วยเหตุผลที่ว่า อยากไปให้ถึงระดับอินเตอร์ให้ได้

เนื้อร้อง เสียงร้อง และสไตล์เพลง ทำให้ใครหลายคนยอมรับปันอย่างรวดเร็ว ถึงขนาดบอกว่า ‘นี่คือดาวดวงใหม่’

การประสบความสำเร็จของศิลปินอายุน้อยต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง เราชวนปันมาพูดคุยถึงเส้นทางที่ผ่านมาในวัย 21 ความรู้สึกของการทำอัลบั้มแรกที่เป็นเหมือนการปักหมุดสำคัญในอาชีพศิลปินมีความหมายกับเขาแค่ไหน จนถึงพูดคุยเรื่องไลฟ์สไตล์ที่คาดไม่ถึง

อาจเพราะได้เจอโลกความจริงซัดเข้ามาเร็วกว่าปกติ ปันตอบคำถามดูโตกว่าวัย แต่ก็ยังเจือไว้ด้วยความกวนแบบเด็กหนุ่ม พร้อมเปิดเผยความในใจแบบหมดเปลือกว่ากว่าจะมาเป็นเขาทุกวันนี้ไม่ง่ายเลย

แต่ก็ไม่ยากเกินไปเช่นกัน

โชคดีที่ได้ลองอะไรมาหลายอย่าง

ได้ยินว่าเรียนดนตรีตั้งแต่เด็ก เครื่องดนตรีชิ้นแรกคืออะไร

เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ได้ลองเล่น คือกลองชุด

ตั้งแต่เด็กพ่อแม่ส่งไปเรียนเรียนพิเศษ เรียนเลข เรียนวิทย์ เรียนภาษาอังกฤษ วิชาการซะส่วนใหญ่ แต่ดนตรีผมได้เรียนโดยบังเอิญ

ตอนที่อยู่โรงเรียน ผมได้ไปเข้าห้องวงโยฯ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีแต่เด็ก ม.ปลาย แต่ตอนนั้นผมประมาณประถม ก็ไปหยิบไม้กลองมาตีงูๆ ปลาๆ แล้วมาสเตอร์ถามว่าอยากตีกลองเหรอ เดี๋ยวสอนให้ หลังจากนั้นก็ได้เรียนกับมาสเตอร์คนนั้น แล้วก็ไปหาหนังสืออ่าน ไปเรียนกลองเสริมข้างนอกด้วย

ทำไมตอนนั้นถึงเลือกเล่นกลอง

เครื่องดนตรีที่ในห้องอยู่มันก็ส่วนใหญ่มันก็จะมีเพอคัสชั่นครับ

พอไปลองตีแล้วมาสเตอร์เห็น เขาก็แนะนำว่าเวลาเล่นดนตรีควรเริ่มจากกลองก่อน เพราะมันต้องแยกประสาทสัมผัสในการเล่น พอเราแยกได้ปุ๊บ ดนตรีอื่นก็จะสบายแล้ว เราก็ไม่ยังไม่เก็ตจนกระทั่งเริ่มโตมา ขอบคุณตัวเองที่เผลอไปเรียนกลองก่อน เพราะว่าพอ rythm มันได้อย่างอื่นก็ตามมาเอง

รู้ตัวเองได้ยังไงว่าเราชอบดนตรีมาก เพราะเพื่อนที่โตมาด้วยกัน ถึงจุดนึงเขาอาจจะตัดสินใจไปทำอย่างอื่น

ลองทดสอบเรียนมาหลายอันแล้วครับ ซึ่งเรื่องวิชาการไม่ได้ชอบขนาดนั้น ก็จะมีภาษาอังกฤษที่โอเคหน่อย แต่เราก็ไปเรียนมาแทบทุกอย่าง ฟุตบอล บาส ว่ายน้ำ คือสุดท้ายแล้วมันก็เหลือดนตรี ที่เรียนแล้วไม่อยากเลิก อยากเรียนต่อไป

เห็นว่าตอนเลือกเป็นนักร้องที่บ้านก็ไม่ได้เห็นด้วยเท่าไหร่ จริงๆ แล้วเขาเข้มงวดมากไหม

เขาก็เปิด แล้วก็เข้มงวดด้วย (หัวเราะ) ในเรื่องที่เขาจริงจัง เช่น เรื่องอนาคตของลูก แต่เรื่องของการเรียนพิเศษ การเสริมทักษะ เขาไม่เคยห้าม อยากทำอะไรก็ทำ

แต่ช่วงที่ผมไปขอเงินไปทำเพลง เขาก็สงสัยอยู่บ้างว่าเอาไปทำอะไร ผมก็บอกว่าเอาไปทำเพลง แล้วช่วงนั้นพอดีเป็นช่วงให้ผมติดเกม เขาบอกกลายเป็นว่าช่วงนี้ไม่ได้ขอเงินไปเติมเกมแล้ว ขอเงินมาทำเพลงแทน เขาก็บอกว่าแปลกดี

จนกระทั่งขอออกจากโรงเรียน เขาก็เริ่มมีคิดทบทวนแล้ว แต่ผมรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องคิดเรื่องนี้ ผมก็เลยไปสอบเทียบมาก่อน เพื่อที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้เขาสบายใจ

จุดไหนที่เขาโอเคกับการเป็นนักร้องของเรา

น่าจะเป็นจุดที่ให้เงินนะครับ (หัวเราะ)

เราต้องกดเป็นเงินสดเลยเพื่อมาให้เขาที่บ้าน แล้วผมก็สักลูกตาแม่ด้วย เป็นดวงตาที่ครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้เห็นเงินแล้วเหมือนเขาจะร้องไห้ หลังจากวันนั้นมาเขาก็ไม่เคยสงสัย หรือมีคำถามอะไรกับผมถามอีกเลย คือเหมือนปล่อยเลย ใช้ชีวิตของตัวเอง

เรียนมาตั้งหลายอย่าง มองย้อนกลับไปรู้สึกยังไงบ้าง

จริงๆ เป็นเรื่องที่ดีมากๆนะครับ ผมรู้สึกว่าถ้าผมมีลูก ผมก็คงจะให้ลูกเรียนไปให้หมดเลย อยากเรียนอะไรเรียนทุกอย่างแบบเหมือนไม่ได้เปิดโลกของเด็กคนนึงว่า เฮ้ย ให้เขารู้ว่าเขาชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไรผมดีหน่อยที่ผมได้ดันมาเจอกับสิ่งที่ผมชอบ มันก็เลยทำให้ผมตัดสินใจได้เลยว่าอยากเป็นทำสิ่งนี้ครับ

เป็นคนที่เราอยากเป็นสักครั้งในชีวิต

ตอนสมัยเรียนเป็นเด็กแบบไหน

ผมรู้สึกว่าผมเป็นเด็กกิจกรรมพอสมควรเลยแหละ ไม่ได้เนิร์ดในวิชาการขนาดนั้น แต่ถ้าถามว่าวิชาการเราก็เรียนได้ไหม เราเป็นเด็กที่ไม่ได้เรียนแย่ เกรดไม่เคยต่ำกว่า 3 เลย

เรียนได้ แต่ก็ทำกิจกรรมด้วย ชอบที่จะทำอะไรที่มันแปลกๆ ไม่เหมือนคนอื่น เช่นตอนช่วงทำวง คือวงมันจะมีเยอะมากในโรงเรียน ก็เลยรู้สึกว่าอยากมีเพลงของวงตัวเอง

เราอยากทำอะไรที่แตกต่างมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

ตอนที่ตัดสินใจออกจากโรงเรียนตอนนั้นคิดอะไรอยู่

ผมเรียนอยู่ที่สวนกุหลาบ ซึ่งโรงเรียนที่ดีมากๆ แต่ผมเรียนอยู่สายวิทย์-คณิต แล้วเราเหนื่อยมากกับการที่เราไม่เห็นภาพตัวเองในอนาคต ภาพที่เราเห็นคืออาชีพศิลปิน

แต่ว่าสิ่งที่เราเรียนอยู่มันคือด้านตรรกะและเหตุผลแล้วทฤษฎีมากมาย มันไม่น่าเหมาะกับเรา แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อสอบเข้ามาได้แล้ว เราก็ไม่อยากทิ้งมันไปนะ

แต่เผอิญว่าเห็นภาพชัดค่อนข้างชัดแล้ว เรามองในกระจกตอนเช้า เราไม่เห็นสิ่งอื่นที่อยากเป็น รู้แค่ว่าอยากเป็นคนที่ยืนอยู่บนเวที ได้แชร์ความคิดหรือว่าเพลงที่เราสรรสร้างขึ้นมา พอเห็นภาพนั้นแล้วเราก็แค่ทำให้สุด

ตอนนั้นน่าจะมีคนบอกว่าอย่าลาออก เรียนก่อนแล้วค่อยเป็นนักร้องก็ได้

แต่ไหนแต่ไรผมมีความดื้อด้วยครับ มันเป็นมันน่าจะเป็นลักษณะเฉพาะตัวของผมด้วยที่ค่อนข้างชอบการแข่งขัน รู้สึกว่า ‘เฮ้ย มาดิ เดี๋ยวจะทำให้ดู’

ก่อนที่จะมาทำตรงนี้ก็มีเพื่อนรอบตัวบอกว่าเรียนไปก่อน มันยังไม่มั่นใจ แต่ด้วยความเป็นผม ก็บอกว่าไม่จริง ผมจะพิสูจน์ให้เขาเห็นว่ามันไม่จริง ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองเจ๋งสัด เราเชื่อมั่นในตัวเองมากๆ ไม่ได้มีอีโก้นะ คนอื่นไม่เห็นไม่เป็นไร เดี๋ยวเราจะทำให้เขาดู มันเป็นแรงผลักดันที่เกิดขึ้นมาในจิตใจ แล้วทำให้รู้ว่าเราต้องถีบตัวเองไปให้ได้

ถ้าไม่ใช่ตัวเองในวัยนั้นจะยังตัดสินใจแบบเดิมอยู่ไหม

น่าจะเป็นว่าเรียนแล้วใกล้จบแล้ว ไม่ออกดีกว่า แล้วก็ไม่ไปทำเพลงอย่างบ้าคลั่งด้วย เพราะว่าไม่กล้า มันจะเวิร์กไหม ทำให้เราอาจจะไม่ได้หลงไหลไปกับสิ่งที่เราต้องหลงไหลเท่าที่ควร อาจจะพลาดไทม์มิ่งนั้นไป

ช่วงนั้นไม่เคยสงสัยตัวเองเลย แต่พอมาเริ่มช่วงนี้อาจจะเป็น เพราะเราอายุเยอะขึ้น อายุเป็นส่วนสำคัญในการที่ทำให้คนเลือกตัดสินใจจริงๆ พอโตขึ้นมันทำให้เราคิดเยอะกว่าสิ่งที่มันควรจะเป็น

ตอนที่ผมเด็กกว่านี้ รู้สึกว่าเราไม่ได้คิดหน้าคิดหลังขนาดนั้น รู้สึกแค่ว่าเราต้องไปแล้วนะ ถ้าเราไม่คว้าตรงนี้เราจะเสียเสียสิ่งที่เรามีความสามารถจริงๆ ไม่ได้เกิดประโยชน์กับการเกิดมาในชีวิตครั้งนึงเลยอ่ะ พลาดแล้วเสียดาย ก็เลยไปดีกว่า

มองย้อนกลับไปรู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจถูกไหม

รู้สึกตัดสินใจถูกมาก เพราะช่วงนั้นมันโควิดด้วย เราก็ไม่มีคลาสเรียนในโรงเรียน ซึ่งสิ่งสำคัญของการมาโรงเรียนสำหรับผมคือได้มาเจอเพื่อน ผมก็คิดหนักเหมือนกันว่าถ้าวันหนึ่งผมไม่มีสังคมในโรงเรียน แล้วผมจะต้องรู้สึกยังไง เพราะว่ามันก็ค่อนข้างโดดเดี่ยวอยู่พอสมควร

แต่พอโควิด เท่ากับว่าทุกคนก็เรียนออนไลน์ กลายเป็นว่าทุกคนก็ไม่ได้เจอกันอยู่ดี กิจกรรมที่ควรจัดในโรงเรียนก็ยกเลิก ผมก็เอาเวลามาสร้างสรรค์เพลงที่ผมควรจะทำ เราก็รู้สึกว่าคิดถูกที่ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าในช่วงนั้นนะครับ

ดึงสติกลับมาอยู่โลกความจริงด้วยปรัชญา

มิวอ้อน วง ATLAS เคยมารายการบันทึกการอ่านของ a day พูดถึงปันว่าชอบอ่านหนังสือด้วย ปกติแล้วชอบอ่านแบบไหน

ผมอ่านอยู่ 2 แนว เป็นแนวปรัชญาชีวิตกับแนวอาร์ต ที่เกี่ยวกับเรื่องของความรู้สึก

ปรัชญาชีวิตมันทำให้ผมได้ใช้ชีวิตในโลกความเป็นจริง แต่ว่าเรื่องของ Emotional นิยายหรืออะไรก็ตามมันทำให้ผมแต่งเพลงได้ดี

ผมชอบอ่าน 2 อันนี้เพื่อเบลนด์ให้ผมได้มีโลกในทั้งสองใบนี้ ถ้าผมหลุดไปในโลกแห่งความเป็นจริงมาก ผมอาจจะไม่ได้เป็นศิลปิน ไม่ได้มีความเพ้อฝันหรือจิตวิญญาณบางอย่างที่ทำให้เขียนเพลงให้มันกินใจ แต่ถ้าผมหลุดไปในโลกของอารมณ์มากเกินไป ผมอาจจะลืมใช้ชีวิต ลืมคิดว่าชีวิตมันมีอะไรบ้าง จนอาจจะดำดิ่งไปกับความรู้สึกจนไม่มีความสุขก็ได้

ปรัชญาชีวิตอันไหนที่คุณเอามาใช้บ่อยที่สุด

ผมจำตัวบริบททั้งเล่มไม่ได้มาก มันเกี่ยวกับลัทธิเต๋า พูดถึงว่า ‘การมีสิ่งหนึ่งเกิดจากการไม่มีสิ่งหนึ่ง’ เหมือนกับการที่มีสูงก็ต่อเมื่อมันมีต่ำ มันมีขั้วตรงข้ามของมันอยู่เสมอ

ผมรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ผมจำมาใช้ในชีวิตได้ดี ทำให้ผมได้อยู่ตรงกลาง ไม่ได้รู้สึกแย่มากไปกว่านี้ หรือไม่ได้สุขไปกว่านี้ พอมีความสุขก็รู้ว่ามันมีความสุขก็เพราะมันเกิดความทุกข์ มันมีความทุกข์ได้ก็เพราะมันมีความสุขไง

รู้สึกว่าทุกอย่างมันคือบาลานซ์กันหมด มันทำให้ผมใช้ชีวิตอยู่ในร่องในรอย เราไม่ได้เพ้อไปไกล หรือจมดิ่งกับมัน ถือว่าเป็นปรัชญาชีวิตที่ดีมากๆ เลย

เคยคิดไหมว่าคุณดูโตกว่าวัยเดียวกัน และน่าจะได้ใช้ชีวิตปกติ

เคยคิดครับ รู้สึกว่าวัยเราควรจะต้องไปอยู่กับเพื่อนหรือเปล่า จะต้องไปอยู่ที่มหาวิทยาลัยหรือเปล่า มันอาจจะเป็นการคิดที่เกิดจากความรู้สึกเหงาแหละ แต่ว่าลึกๆ แล้วความเหงามันก็ยังไม่ใหญ่พอ ถ้าเทียบกับความฝัน มันใหญ่กว่านั้นเยอะ

แต่สุดท้ายแล้วเรามันแตกต่างไง ชีวิตมันไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ทุกคนมีทางเลือกของตัวเอง เพียงแค่ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญสำหรับเราที่สุด รู้สึกรู้สึกโดดเดี่ยวได้ แต่มันก็ไม่สามารถทำให้ผมทิ้งความฝันตรงนี้

อายุ 21 สิ่งที่ยากที่สุดของการเป็นนักร้องวัยนี้คืออะไร

น่าจะเป็นการรับมือกับอารมณ์

ร่างกายหรือสมองของเด็กช่วงที่กำลังจะเป็นผู้ใหญ่ มีความฮอร์โมน หรืออะไรก็ตามที่มันทำให้เรารู้สึกว่าเราว้าวุ่นง่าย เราเสียใจได้ง่าย คิดมาก กังวล มันมีการเปลี่ยนแปลงในชีวิตเยอะมาก ทำให้เครียดมากๆ เลยชีวิตนี้มันมืดหม่นไร้ทางออก

สิ่งที่ยากที่สุดเลยสำหรับการเป็นได้เติบโตขึ้นมาในช่วงนี้ คือเรื่องของการจัดการความคิดและอารมณ์ตัวเอง

แล้วทำยังไง

เมื่อก่อนเป็นคนที่การตัดสินใจขึ้นอยู่กับความคิดเห็นหรือว่าต้องการความสนใจจากอีกฝั่งหนึ่งมาก แต่ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนแล้ว พอรู้สึกว่าคิดมากเกินไปแล้ว เราจะต้องกลับมาแคร์ตัวเองมากขึ้น แล้วก็กลับมาทบทวนตัวเองมากขึ้น

ผมให้ความสำคัญกับงานและความฝันของตัวเองครับ จากที่เคยแคร์คนอื่นมากๆ พอเริ่มโตมา เริ่มมีอะไรที่เราต้องต้องจัดการ เลยรู้สึกว่าก่อนที่เราจะไปควบคุมเรื่องอื่นในชีวิต เราต้องควบคุมตัวเราเองให้มันโอเคก่อน

ความรักทำให้เติบโต

เพลงของคุณมักมีความหม่น ถึงแม้จะเป็นเรื่องความรัก มันมาจากอะไร

ผมเป็นคนที่เป็นคนที่ชอบดำดิ่ง

ความรู้สึกหรือมีเหตุการณ์เกิดขึ้นในชีวิต ถึงมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องเศร้าอะไร แต่เราถ้าเราคิดลงไปถึงรากมันจริงๆ มันอาจจะมีความรู้สึกมากมายปนอยู่ในนั้น รวมถึงความเศร้าด้วย

แล้วมันดันประจวบเหมาะที่ผมชอบขยี้ให้ร้องไห้  มันเป็นสิ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึกผมด้วยล่ะมั้ง ตอนเด็กๆ เวลาแม่ไม่ดูแลไม่ให้ความสนใจเรา ไปให้สนใจกับน้อง เราก็มุดตัวในผ้าห่ม ก็จะเป็นคนอะไรแบบนั้น กลายเป็นว่าโตมารู้สึกว่าเออเราขยี้ได้ดีในจุดที่มันแบบควรจะต้องพูดมาในเพลง ก็เลยกลายเป็นเพลงเศร้าได้ได้ดี

แล้วเพลงสนุกในแบบของปันจะเป็นเรื่องอะไร

ความรู้สึกดีที่ได้อยู่กับใครสักคนหนึ่งครับ ไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นแฟน เป็นเพื่อนหรือใครก็ตาม Comfort จะอยู่ด้วย ความรู้สึกที่ไม่ได้เจอกันใครมานาน แล้วก็มาเจอกันความสุขสนุก

เวลามนุษย์มีสังคมเมื่อนั้นมันจะทำให้เกิดเกิดความสนุก ได้ทำกับข้าวพูดคุยกันบนโต๊ะอาหาร มันเติมเต็มเรา

เป็นคนชอบอยู่คนเดียวหรือชอบออกไปเจอเพื่อนๆ

ถ้าเทียบอยู่คนเดียวกับออกไปเจอคน ผมชอบอยู่คนเดียวครับ

ปกติจะได้อยู่คนเดียวช่วงที่กลับมาอยู่ที่ห้องพักครับ แล้วก็เขียนเพลง แต่ผมกำลังจะปรับเปลี่ยนวิธีการเขียนเพลงอยู่ เพราะว่าเราเขียนเพลงอยู่กับตัวเองมานานพอสมควร แต่ว่าการที่เราจะสนุกมากขึ้น มันก็อาจจะเป็นการเขียนถึงการได้อยู่กับเพื่อนหรืออยู่กับคนใหม่ๆ แต่ที่ชอบอยู่กับตัวเอง เพราะเราได้มีเวลาทบทวนชีวิตดี

อัลบั้มแรกในชีวิตบันทึกเรื่องอะไรไว้บ้าง

รู้สึกว่ากลิ่นอายความเป็นความเยาว์วัยมันช่างเยอะเหลือเกิน

มันเป็นมันเป็นความทรงจำของเด็กที่กำลังจะก้าวไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ มันบอกเล่าได้ดีว่า ช่วงนั้นการได้รับความรักมันเป็นสิ่งที่เขาโหยหากันนะ สำหรับผมเลยรู้สึกว่าวัยรุ่น ความเข้าใจเป็นสิ่งที่มีค่ามหาศาลเลย คือความรัก ความเข้าใจ ความใส่ใจ

บางทีมันเหมือนโลกจะแตก แต่ว่าจริงๆ มันก็ไม่ได้แตกหรอก มันเหมือนเป็นความเจ็บปวดที่งดงาม มันสร้างบาดแผล หล่อหลอมขึ้นมาเป็นเป็นผู้ใหญ่ เราอยากทำเพื่อสะท้อนความรู้สึกนี้กับกลุ่มคนนี้ว่าช่วงเขาเคยมีความรักแบบนี้นะ เคยมีความรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน รู้สึกโดดเดี่ยว เดียวดาย เรารักคนนี้จังเลย แต่ว่ามันก็มันก็เป็นช่วงหนึ่งของชีวิตที่เข้ามา แล้วก็ผ่านไป

ได้ยินว่าจะเอาเพลงที่แต่งช่วงสมัยเรียนมาอยู่ในอัลบั้มแรกเหมือนกัน

ใช่ ตอนที่ออกจากโรงเรียน ได้หลายร้อยเพลงเลยที่สต็อกเก็บไว้

แต่ก็ไม่ได้เอามาปล่อยทั้งหมด มีเพลงที่เขียนใหม่เช่น Day One ด้วย เพลงนี้เป็นเพลงที่เขียนช่วงไม่นานมาก ถ้าเทียบระยะเวลากับเพลงอื่นแต่ก็ออกมาดีเหมือนกัน

มันถึงเวลาที่เราจะเอาคลังพวกนี้เอามาปล่อยให้ทุกคนได้ฟังกัน ที่ผ่านมาตั้งแต่อายุ 17-20 ปี เราไปเจออะไรมาบ้าง มันเป็นกลุ่มก้อนความรู้สึกของคนที่กำลังตามหาความรักที่มันไม่แน่นอน มันมีมันมีอยู่จริง หรือมันไม่มีอยู่จริง เขาก็ไม่รู้ แต่ว่าเขาก็ต้องเดินทางต่อไปกับสิ่งที่เขารักและเสียงเพลง

ความรักมันช่วยทำให้คุณเรียนรู้อะไรบ้าง

ถ้าเป็นเรื่องของงาน มันช่วยผมได้เยอะเลย เพราะว่าหลายๆ เพลงก็ได้แรงบันดาลใจ มาจากความรักไม่ไม่รักสมบูรณ์แบบ

พาร์ทตัวเองก็รู้สึกว่าได้เข้าใจตัวเองมากขึ้น ความรักมันทำให้มองเห็นตัวเองนะ การรักใครสักคนมันก็เหมือนได้เห็นว่าเรารักตัวเองยังไง มันสะท้อนกลับมาว่าเรามองตัวเองยังไง มันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมได้รู้จักชีวิตมากขึ้น

อย่าลืมกลับมาขอบคุณตัวเอง

คุณดูเป็นคนชัดเจนกับความฝันของตัวเองมาก เคยมีช่วงเวลาที่รู้สึกหลงทางบ้างไหม

ถ้าเป็นเรื่องของศิลปินเราค่อนข้างชัด ต่อให้ไม่เป็นเบื้องหน้าก็เป็นเบื้องหลัง แต่ต้องเพลงทำเพลงอยู่กับเสียงดนตรีก็เท่านั้น

แต่ว่าเรื่องความ Lost ผมก็มี ช่วงที่เริ่มมีคนรู้จักมากขึ้น เริ่มรู้สึกว่าอิสระในชีวิตบางอย่าง เราก็ไม่ได้เหมือนคนทั่วไปแล้ว มันมีความกดดันที่ต้องความแบกรับอะไรหลายๆ อย่าง มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่า มันใช่หรือเปล่า เรารักเพลงและใช่ แต่พอมันมีเรื่องของชื่อเสียงเข้ามา อันนี้เราไม่ มันเลยตีกับตัวเองว่า สรุปแล้วเราชอบอะไรกันแน่

มันเหมือนคนละเรื่องกันคนละเรื่องกัน แต่การเป็นศิลปินมันทำให้ทั้งสองอย่างนี้คือเรื่องเดียวกัน ทำให้รู้สึกว่าเรามาถูกทางหรือเปล่า หรือเราต้องกลับไปอยู่ในระบบทั่วไปตามสิ่งที่เราต้องเป็น เพราะว่าสิ่งที่ผมเป็นน้อยคนที่จะเป็นแบบนี้ ต่อให้เป็นแบบนี้แล้วออกมาทำเองอาจจะไม่สำเร็จก็ได้ แต่ว่าของผมมันดันเวิร์ค อาจจะด้วยผมถีบตัวเองขึ้นมาสุดเพดานได้ แต่มันก็มีอารมณ์ว่าเราทำอะไรอยู่เหมือนกัน

กว่าจะมาเป็นปันวันนี้ยากมากไหม

มันยากมาก (เน้นเสียง)  

คนอาจจะไม่เห็นภาพ มันมีดีเทลมากมายกว่าจะมาถึงขั้นนี้ เราต้องไต่มาอีกประมาณร้อยพันหมื่นแสนล้านขั้นกว่าจะมาอยู่ในจุดหนึ่ง แล้วก็ยังมีอีกล้านข้างที่เราต้องไปขึ้นไป

มันเป็นเรื่องของการไม่ยอมแพ้จริงๆ ยิ่งโตยิ่งยิ่งมีชื่อเสียงมากขึ้นก็ต้องแก้ปัญหามากขึ้น เราต้องดีลกับมันทั้งภายนอกภายใน ภายนอกก็คือกลุ่มคนที่เราต้องทำงานด้วย  

หลายครั้งเราไม่ได้เป็นเจตนาไม่ดี เราอยากให้งานออกมาดี แต่เราก็ไม่รู้จะจัดการ หรือต้องปฏิบัติยังไงให้ถูกต้อง

แล้วก็ภายใน ซึ่งคือจิตใจของเราเอง ส่วนตัวผมรู้สึกว่าภายในเนี่ยเป็นสิ่งที่ยากที่สุด ความเป็นศิลปินมันจะต้องสู้กับภายในอยู่แล้ว เพราะต้องทำงานกับอารมณ์มันก็เลยยาก

เราต้องมานั่งทบทวนกับตัวเองตลอดว่าวันนี้เรามาถึงจุดนี้แล้วเหรอ เราขอบคุณตัวเองหรือยัง เพราะผมเป็นคนที่ไม่เคยขอบคุณตัวเองเลย มีแต่จะไต่ขึ้น จากอันเดอร์กราวนด์มา ได้ล้านวิวแล้วต้องได้สิบล้าน ได้สิบล้านแล้วต้องร้อยล้าน แล้วมันก็ได้อย่างที่ต้องการจริงๆ แต่สุดท้ายผมไม่มีความสุข ทำไมได้มาแล้วยังรู้สึกว่างเปล่าอยู่เลย

บางทีจุดที่เราขึ้นไป เรามองไปข้างหน้าอย่างเดียว ไม่ได้มองข้างหลัง เราลืมมองว่าคนที่เราสนิทหรือคนที่เรารักเป็นยังไงบ้าง

ช่วงนั้นกดดันตัวเองจนรู้สึกว่าไม่มีใครอยู่ในชีวิตเลย รู้สึกว่าหายไปไหนหมด แต่จริงๆ มันมี แค่เรามองไม่เห็น เราตัดสินไปหมดว่าชีวิตเราโดดเดี่ยว ออกโรงเรียนก็ออกมาคนเดียว ทำอะไรก็ทำด้วยตัวคนเดียว มาได้ทุกวันนี้ก็มาด้วยตัวเอง แล้วมีใครอยู่กับเราบ้าง แต่จริงๆ แล้วมีเต็มเลย

มันเป็นเรื่องของการจัดการภายใน ซาบซึ้งหรือขอบคุณสิ่งที่เรามีบ้าง

อีกเรื่องคือการทำให้จิตใจข้างในกลับมาอยู่ในสภาพปกติให้ใช้ชีวิตต่อไปได้ อันนี้เป็นสิ่งที่ยากมากๆ เป็นสิ่งที่ผมต้องบาลานซ์ให้ดีๆ เราปีนขึ้นจนเราเสพติดการขึ้น แต่เราจะกลับลงมายังไงให้ยังรู้สึกโอเคกับตัวเองอยู่

สำหรับผมการประสบความสำเร็จมันไม่ได้ง่าย แต่มันก็ไม่ได้ยาก ผมอาจจะมีเป้าหมายมากกว่านี้ที่อยากจะทำ แต่จริงๆ มันยังต้องพยายามพอสมควร

ถ้าให้ขอบคุณ อยากขอบคุณใครมากที่สุด

ขอบคุณพ่อแม่ที่ให้กำเนิดลูกที่อาจจะดื้อไปบ้างแต่ก็มีทุกวันนี้ได้ก็เพราะเขาเหมือนกัน

ขอบคุณตัวเองที่เชื่อในสิ่งนั้นจริงๆ แล้วก็ทำมันออกมา ตั้งใจแล้วก็ฝ่าฟันกับทุกปัญหามาได้

ขอบคุณที่เป็นคนอีโมชันนอลที่ยังไม่หลุดไปจนใช้ชีวิตไม่ได้

ขอบคุณพี่ๆ ทีมงานทุกคนที่รักแล้วก็เอ็นดูเรา ช่วยเหลือเรา

แล้วก็ขอบคุณแฟนคลับที่ซัพพอร์ตเพลงตลอด ผมมีชื่อแฟนคลับว่า ‘Always’ ไม่ได้ใช้คำว่า Forever เพราะผมก็รู้อยู่แล้วแหละว่าโลกใบนี้มันไม่มีคำว่า Forever ยังไงมันก็ต้องเปลี่ยนไป

เพราะงั้นแฟนคลับเราชื่อ Always ดีกว่า

ไม่ต้องเยอะก็ได้ หรือว่าไม่ต้องน้อยมาก แบบไม่ต้องอะไรเลยก็ได้ แค่ชื่นชอบในเพลง แล้วเรามาอยู่ด้วยกันไปแบบเสมอๆ ไม่ต้องรักกันตลอดไป เพราะตลอดไปกราฟมันสูงเกิน

ขอบคุณมากๆ ที่ยังเชื่อมั่นและก็ศรัทธาในตัวผมนะครับ ก็หวังว่าจะดื่มด่ำกับอัลบั้มนี้แน่นอน

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

Cozy Cream

ไม่ใช่โซดา อย่ามาซ่ากับพี่