‘เราไม่ได้ทำเพลงเพื่อให้คุณรักเรา แต่เราทำเพลงมาเพื่อให้คุณรักตัวเอง แล้วถ้าวันนั้นคุณรักตัวเองมากพอแล้ว อย่าลืมกลับมารัก PURPEECH’
นี่คือคำกล่าวบางช่วงบางตอนที่ถูกโปรยออกมาจาก PURPEECH แม้จะดูเหมือนเป็นประโยคแสนเรียบง่าย แต่เมื่อฟังจบลงกลับทำให้รู้สึกอบอุ่นหัวใจแบบบอกไม่ถูก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแต่ละบทเพลงของ PURPEECH ถึงถูกร้อยเรียงออกมาได้อย่างละเอียดลออ แต่ก็คมบาดลึกในคราเดียวกัน
ผ่านเวลามากว่าครึ่งทศวรรษแล้วที่วงดนตรีนามว่า PURPEECH ได้ปรากฏตัวขึ้นมาทักทายและเข้ามาแต่งเติมช่องว่างในใจของผู้คนที่หลงใหลในเสียงเพลง หากย้อนกลับไปในช่วงจุดเริ่มต้น การรวมตัวของพวกเขาเกิดขึ้นจากหัวเรือใหญ่อย่าง เซ็นต์-สิทธิโชค ตาสา (กีตาร์) ผู้รับบทกัปตันในการรวมลูกเรือแต่ละคน ได้แก่ เรฟ-ศราวุฒิ สุยะเขต (ร้องนำ), ยีนส์-ภูริช สมชื่อ (คีย์บอร์ด), เจมส์-จักรพรรณ ธนาศุภณัฏฐ์ (กลอง) เพื่อนร่วมสาขาที่จับพลัดจับผลูกลายมาเป็นเพื่อนร่วมวง ตามมาด้วยรุ่นน้องอย่าง คอมพ์-ทรรศนะ เพ็ญจันทร์ (เบส) ที่เข้ามาเสริมทัพความกลมกล่อม แล้วค่อยๆ พากันขึ้นเรือลำนี้ท่องโลกไปด้วยกันอย่างบังเอิญ แต่ก็สมบูรณ์แบบไม่เหมือนใคร
จากท่าเรือที่จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนจะผ่านวันผ่านคืนกลายมาเป็น ‘PURPEECH’ ที่ทุกคนรู้จักกันดี พวกเขาต่างเผชิญกับเส้นทางทั้งหวานหอมทั้งขมปลายปะปนกันไป แต่นั่นก็หล่อหลอมให้บทเพลงที่ถูกรังสรรค์ออกมา ไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่คอยเยียวยาจิตใจของผู้คนเท่านั้น แต่ยังเปรียบเสมือนเครื่องมือบันทึกเรื่องราวที่กลั่นกรองจากความรู้สึกในทุกห้วงขณะของชีวิต
จนถึงวันนี้วันที่ PURPEECH ได้เดินทางย่ำก้าวมาสู่อีกหนึ่งจังหวะที่สำคัญของชีวิต ในวาระที่กำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่เป็นของตัวเองครั้งแรก a day จึงอยากชวนพวกเขาย้อนวันวานการเดินทางกว่าจะมาเป็น ‘ลูกพีชที่เพอร์เฟกต์’ ในแบบที่พวกเขาพอใจแล้วในวันนี้

The Beginning of ‘PURPEECH’
ความตั้งใจแรก อยากจะเซตให้วงเป็นคาแรกเตอร์แบบไหน
เรฟ : ตอนแรกผมคิดว่าวงเราก็ดูทรงเท่อยู่นะ (หัวเราะ)
เจมส์ : ตอนนั้นเพลงที่ฟังส่วนใหญ่เป็นอินดี้ลึกๆ ที่เข้าถึงยาก
เซ็นต์ : ใจหนึ่งเราก็อยากไปสไตล์อินดี้เท่ๆ เลย แต่อีกใจเราก็ไม่กล้าคิดที่จะไปอยู่ค่ายอย่างจริงจัง เรียกว่า ทำทรงเป็นอินดี้ไปก่อน
ยีนส์ : อีกอย่างวงอินดี้รุ่นพี่ในเชียงใหม่เยอะมาก เราก็เห็นเป็นไอดอล อยากทำให้ได้แบบนั้น แต่เหมือนธรรมชาติของวงเราไม่ใช่สายนิ่งๆ เท่ๆ ด้วยครับ ก็เลยไม่ได้ไปแนวอินดี้จ๋า แต่ปรับให้เข้ากับความเป็นตัวตนเรามากขึ้น
ความท้าทายที่เจอในช่วงแรก
เรฟ : ผมเคยเป็นคนที่ขี้เกียจพูดกับคนครับ
ยีนส์ : ตอนมีโชว์แรกๆ พวกผมต้องช่วยกันเขียนสคริปต์ให้เขาพูดบนเวที
เรฟ : จึงเกิดคำถามขึ้นกับตัวเองว่า ‘อย่างเรานี่เป็นนักร้องได้จริงๆ เหรอ?’ เพราะตอนนั้นดูไม่มีความเป็นไปได้เลย เราชอบร้องเพลงก็จริง แต่เราไม่ชอบการแสดงออก

…แต่พอถึงจุดหนึ่งคิดว่า เหมือนมีอะไรเลือกให้เรามายืนอยู่ตรงนี้ เราสามารถสื่อสารกับคนดูได้เลย ขณะที่เพื่อนๆ ต้องใช้ดนตรีสื่อสาร ทำไมเราไม่ใช้มันให้เป็นประโยชน์กับคนดูล่ะ เลยอยากลองทำให้ดีที่สุดและพยายามก้าวข้ามกำแพงนี้ไปให้ได้…
เรฟ : แฟนคลับเคยถามว่า ‘ทำไมพี่เรฟไม่เล่นกีตาร์แล้ว’ ผมแค่รู้สึกว่าอยากยกกำแพงที่มีในใจออกไป แล้วอยากทำให้ทุกคนเห็นเราในมุมนี้ อยากสนิทกับคนฟังมากขึ้น ตั้งแต่วันนั้นก็กลายเป็นคนที่กล้าทำทุกอย่างมากขึ้นครับ
ทำไมถึงตัดสินใจเข้าค่าย จากตอนแรกที่ทำกันเอง
เรฟ : จริงๆ พวกผมไม่เคยคิดจะเป็นศิลปินอิสระตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถ้ากลับไปย้อนดูโพสต์เก่าๆ จะมีอยู่โพสต์หนึ่งเขียนว่า ‘เมื่อไหร่ค่ายเป็ดจะติดต่อมานะ’ เราก็ทำกันเองไปเรื่อยๆ จนหลังจากเพลงที่ 4 ภาพถ่ายวันวาน (1920) ค่ายก็ติดต่อมา เลยไม่มีความลังเลเลยครับ
ต้องปรับตัวเยอะไหม
เจมส์ : สำหรับค่ายที่เราอยู่ค่อนข้างให้อิสระทางความคิดกับเรา ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมาก แต่การทำงานจะมีแบบแผน มี schedule ที่เราต้องปรับตัวให้ทัน
คอมพ์ : ค่ายเหมือนเข้ามาช่วยเสริมในจุดที่เรายังไม่เก่ง พอเข้าค่ายมาก็ได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น หรือเวลาที่เราถึงทางตันค่ายก็จะมีคำแนะนำให้ได้

ข้อดีจากการเป็น ‘เพื่อน’ สู่ ‘เพื่อนร่วมงาน’
เรฟ : ผมคิดว่าการเป็นเพื่อนกันมาก่อน แล้วมาเริ่มทำวง ทำให้ในพาร์ตการทำงานเราสามารถคุยกันได้มากกว่าคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ปรับจูนกันง่าย เวลามีปัญหาก็ทำให้เปิดใจคุยกันง่ายกว่า
แล้วความยากของการทำงานกับคนที่สนิทกันล่ะ
เซ็นต์ : เราว่าความยากคือความกดดันจากงานที่ทำร่วมกัน โดยปกติแล้วถ้าเป็นเพื่อนกันก็จะไม่มีเรื่องของ ‘ความกดดัน’ เข้ามาเกี่ยวข้อง
คอมพ์ : ด้วยความที่เราอยู่บ้านด้วยกัน 5 คน มันทำให้เราเห็นนิสัยของกันและกัน และรู้ว่าสเปซที่ควรมีให้กันเป็นยังไง
ยีนส์ : พวกเราใช้ชีวิตเหมือนเป็นแฟนกัน อยู่ด้วยกัน 24 ชั่วโมง
เจมส์ : แต่เราเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนกันครับ (ทุกคนหัวเราะ)
เรฟ : ผมว่าความง่ายคือการเป็นเพื่อนกัน แต่ก็เป็นความยากในเวลาเดียวกัน เราต่างต้องใส่ใจความคิดเห็นของทุกคน วงเราไม่เคยโหวตกัน 3:2 หรือ 4:1 แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะต้องมาจากความเห็นชอบของสมาชิกทั้ง 5 คน เราจึงพยายามหาจุดกึ่งกลางที่ทุกคนโอเคให้ได้
…ผมแคร์ความรู้สึกและบรรยากาศตอนนั้นมากกว่า การได้เพลงที่สุดยอดมากๆ…
How ‘PURPEECH’ You Are
ถ้าให้นิยามแนวเพลงของ PURPEECH คือสไตล์ไหน
คอมพ์ : ผมมองว่า PURPEECH เป็นเหมือนเด็กชายคนหนึ่งที่กำลังเดินทางค้นหาความเป็นตัวเองอยู่
เรฟ : คิดว่า PURPEECH ยังตามหาแนวเพลงที่ใช่ไปเรื่อยๆ สมมติถ้าวันหนึ่งเราเจอเพลงที่ชอบจริงๆ วันนั้นอาจจะไม่ได้ท้าทายเท่าตอนนี้ที่กำลังตามหาอยู่ก็ได้
ยีนส์ : บางทีคนภายนอกที่มองเข้ามาอาจจะตอบได้ดีกว่าตัวเราด้วยซ้ำ
เรฟ : เรากล้าทำยันเพลงลูกทุ่ง เพลงร็อกเลยนะ เราค่อนข้างยืดหยุ่นมากๆ อย่างเมื่อก่อนไม่คิดว่าตัวเองจะเต้นได้ แต่ทุกวันนี้ก็มีเพลงที่เต้นได้แล้ว

…เรียกว่าสไตล์เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามความชอบและการเติบโตของเรา…
ไอเดียตั้งต้นของการทำเพลง
เซ็นต์ : ส่วนใหญ่เพลงที่ทำออกมา ผมจะจำแนกออกเป็น 2 แบบ คือ เพลงที่มาจากความรู้สึกจริงของเรา กับ เพลงที่เราให้โจทย์ตัวเองว่าต้องการสื่อสารเรื่องอะไร หลังจากนั้นเราก็จะเจาะลึกลงไปว่า จะใช้ภาษาแบบไหน ยกตัวอย่างเพลง ตกกะใจทำได้ลง (Oops.) ก็อยากให้ภาษามีความทะเล้น ขี้เล่น หรือเพลง ตอนนั้นในวันนี้ ก็เลือกใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย น่าจะบวกกับอารมณ์ความรู้สึกตอนนั้นด้วยครับ
เรฟ : ผมเป็นคนที่ชอบเขียนใส่โน้ตเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวอะไร หรือตะกอนเล็กๆ ที่ผุดขึ้นในหัว แล้วผมค่อนข้างเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง อะไรที่ ‘แวบๆ’ เข้ามาในหัวนั่นคือมาจากจิตใต้สำนึก ผมจะเขียนทุกอย่างเอาไว้แล้วเอามาเรียบเรียงใหม่อีกที ดังนั้นเพลงส่วนใหญ่ของ PURPEECH จึงเป็นเพลงที่มาจากความรู้สึกภายในมากกว่า
เคยมีเพลงที่มาจากประสบการณ์จริงไหม
เซ็นต์ : ชีวิตจริงผมสงบสุขเรียบง่ายดี ไม่ค่อยมีประสบการณ์อะไรที่เหมือนในเพลง ส่วนใหญ่ผมจะมโนเก่งครับ ถ้าไปเจอเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันก็สามารถหยิบมาเล่าเรื่องได้
ยีนส์ : เขาเคยเล่าว่าไปเจอผักลดราคาในซูเปอร์มาร์เกตมา แล้วก็เอามาแต่งเป็นเพลงรัก
เซ็นต์ : ใช่ครับ ส่วนใหญ่จะมาจากความบังเอิญแบบนี้ อย่างเพลง ตกกะใจทําได้ลง (Oops.) ก็เกิดจากความคิดว่าอยากให้วงมีเพลงเร็ว แต่มีเนื้อหาเศร้า พอได้โจทย์มาก็ค่อยๆ หาทางไปต่อได้เอง
ที่มาของความสละสลวยที่ปรากฏในเนื้อเพลง PURPEECH
เรฟ : พื้นฐานเดิมเป็นคนชอบฟังเพลงเก่า ยังรักในเนื้อเพลงรูปแบบเมื่อก่อน ทุกวันนี้ยังไม่กล้าเขียนคำว่า ‘แฟน’ ลงไปในเนื้อเพลง รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ชอบเพลงสมัยใหม่ขนาดนั้น คิดว่าบรรยากาศเพลงเก่าๆ มันมีความจริงใจ เราเลยเลือกใช้คำประมาณนี้มาถ่ายทอดอยู่ในบทเพลง
ทำไมถึงมองว่าเพลงเก่ามีเสน่ห์
เรฟ : แม่ผมเปิดร้านขายข้าวซอยก็จะชอบมีเทปของ พี่ตู่ (นันทิดา แก้วบัวสาย) พี่เบิร์ด (ธงไชย แมคอินไตย์) เปิดวนๆ ให้ลูกค้าฟัง เราอยู่กับมันมาตั้งแต่เด็ก อาจจะชอบมันโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ อีกอย่างคือผมชอบเรียนวิชาภาษาไทย ตอนเข้ามหา’ลัย เลยยื่นครูภาษาไทยเป็นอันดับ 1 แต่ติดครูดนตรี (หัวเราะ) สุดท้ายภาษาไทยก็ได้เอามาใช้ในการทำเพลง ส่วนเรื่องการเป็นครูดนตรีที่เราเรียนมาก็ได้เอามาใช้เวลาอยู่บนเวที

…ขึ้นเวทีทุกครั้งมันให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังอยู่ในชั้นเรียน มีคนฟังเป็นนักเรียนที่เราต้องพาไปให้จบคลาส…
The Turning Point
เพลงไหนคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้คนรู้จัก PURPEECH
PURPEECH : คิดว่าเพลงที่ 2
เรฟ : แต่ถ้ามองอีกทีมันมีหลายเฟส เริ่มจากเฟสแรกที่ทำให้คนรู้จักเราก็เป็นเพลง หากจะเพียงขอ (Sincare) เรียกว่าเป็นเหมือน one night miracle เพราะเพียงชั่วข้ามคืนยอดวิวก็ทะลุหลักแสน หลักล้าน เผลออีกทีก็เริ่มมีแฟนคลับ เราก็เอ๊ะ! เร็วแท้ เฟสที่ 2 กาลครั้งหนึ่งบนโลก (Parsec) คือเฟสเข้าใจวง เพราะช่วงนั้นเกิดปัญหาขึ้นในวง หรือเพลง รักรออยู่ไม่ไกล (wind) ก็เป็นเฟสตอนที่เราจากบ้านมาอยู่กรุงเทพฯ ก็จะให้ฟีลคิดถึงบ้าน
ยีนส์ : เพลงของ PURPEECH จะบันทึกเรื่องราวความทรงจำช่วงเวลานั้นๆ เอาไว้ ทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นจะถูกเล่าออกมาผ่านบทเพลงทั้งหมดเลย

…เหมือนแต่ละเพลงก็เป็นจุดเปลี่ยน (Turning Point) ด้วยตัวของมันเอง…
Purfectpeech : อัลบัมแรกในชีวิต
คอมพ์ : เป็นการรวบรวม turning point ของวง การเดินทางตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาถูกเล่าออกมาในแต่ละบทเพลงของอัลบัมนี้
เรฟ : ส่วนนิยามของชื่อ ‘Purfectpeech’ ที่มาที่ไปย้อนกลับไปตอนที่เราคุยกันว่าเป็น PURPEECH ที่ perfect แล้วในตัวของมันเอง เราพอใจกับอัลบัมนี้มากๆ จึงกลายเป็นชื่อนี้
…เป็นลูกพีชที่เพอร์เฟกต์สำหรับเราแล้ว…
แล้วสำหรับเส้นทางการเป็น PURPEECH มีตอนไหนที่รู้สึกว่าเป็น Perfect Moment อยากแชร์ให้ฟังไหม
คอมพ์ : PURPEECH เท่ากับ ‘พลังบวก’ และ ‘การปลอบ’ ชอบโมเมนต์ที่เรามีปัญหา แล้วทุกคนจะรวมตัวกันส่งมอบกำลังใจให้แก่กัน
เรฟ : ผมคิดว่า perfect moment จะเกิดขึ้นทุกครั้งที่เราทำเพลงเสร็จ แล้วเตรียมจะปล่อยผลงานออกไป จำได้ว่าวันที่จะปล่อยเพลงแรก เรานัดมารวมตัวกัน แล้วกดปุ่ม enter พร้อมกัน นี่แหละคือ perfect moment สำหรับผมมากๆ เหมือนเราทำเต็มที่ที่สุดแล้ว มาส่งมันได้ถึงเท่านี้นะ
ยีนส์ : ของผมคือวันที่มีคอนเสิร์ตอัลบัมแรก วันนั้นอาจจะเป็นวันที่เรามีข้อผิดพลาดเยอะ ตั้งแต่เราโชว์มารู้สึกว่าครั้งนั้นเล่นได้ไม่ดีเลย แต่มันเป็นโมเมนต์ที่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ เราทำเต็มที่ที่สุดแล้วจริงๆ
คอมพ์ : อย่างน้อยความผิดพลาดตรงนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเติบโต

เจมส์ : สำหรับผมคือช่วงที่เราได้มาฟังเพลงที่อัดมาด้วยกัน มันเป็นความรู้สึกแบบ ‘จะเสร็จงานแล้วนะ’ เราได้มานั่งปรับแก้อะไรร่วมกันครั้งสุดท้ายก่อนที่จะปล่อยออกไปให้ทุกคนได้ฟัง
เซ็นต์ : ผมว่ามันคือหลายๆ โมเมนต์รวมกันที่เราได้มีประสบการณ์ร่วมกันทั้งดีและไม่ดี พอเป็นโมเมนต์ที่ดี เราก็ได้ซึมซับความสุขพร้อมกัน แต่พอเป็นเรื่องไม่ดีอย่างน้อยเราก็ได้ผ่านมันไปด้วยกัน
Road to the Peech Man Show
คิดว่าวงเราประสบความสำเร็จเร็วไหม จากจุดเริ่มต้นมาถึงวันนี้ที่กำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่
เซ็นต์ : มากๆ ครับ มันเร็วสุดๆ
คอมพ์ : อาจจะเร็ว แต่ผมยังไม่คิดว่าเราประสบความสำเร็จ มันยังมีเป้าหมายต่อไปเรื่อยๆ แต่จุดนี้ก็เรียกได้ว่า ‘ประสบความสำเร็จไปอีกขั้น’
เรฟ : ผมก็รู้สึกว่าเร็วมากครับ เรากำลังจะมีคอนเสิร์ต แต่ความรู้สึกเหมือนว่าเมื่อวานเราเพิ่งทำวงกันอยู่เลย ความรู้สึกบางอย่างในช่วงเริ่มต้นยังไม่ทันได้จางหายไป
คอมพ์ : ช่วงทำวง 1 – 2 ปีแรก ผมยังคิดว่าตัวเองอยู่ในฝันอยู่เลย
เรฟ : ตอนทำเพลงแรกๆ ผมชอบพูดใส่เดโมว่าวันที่นี้ เรากำลังทำเพลงนี้นะ แล้วก็ชอบเขียนว่าใครมีความฝันอะไรบ้าง พอผ่านมาวันนี้เราทำตามความฝันไปได้หลายอย่างแล้วนะ
…PURPEECH อาจจะตั้งมาแค่ 4 ปี แต่เชื่อว่าสมาชิกทุกคนมีความฝันนี้มาไม่ต่ำกว่า 20 ปี กว่าจะเดินทางมาถึงตอนนี้ได้ เชื่อว่าวันนั้นคงเป็นวันที่พวกเรามีความสุขมาก…
คาดหวังยังไงกับคอนเสิร์ตครั้งแรก
คอมพ์ : คาดหวังให้ตัวเองทำ performance ออกมาให้ดีในแบบที่ตัวเองพอใจ
เซ็นต์ : ผมคาดหวังให้ทุกคนมีความสุขหลังจากที่คอนเสิร์ตจบลง แล้วก็ขอให้ทุกคนเดินทางมาดูคอนเสิร์ตอย่างปลอดภัย
เจมส์ : ขอให้ทุกคนไม่ผิดหวังที่เลือกมาดูคอนเสิร์ตเรา
เรฟ : ผมสัญญาว่าถ้าทุกคนได้มาในวันนั้น นั่นคือที่สุดของ PURPEECH แล้ว
แล้วเป้าหมายสูงสุดของ PURPEECH คืออะไร
ยีนส์ : สำหรับผมง่ายมาก แค่อยู่เป็นวงด้วยกันแบบนี้ไปนานๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าทีละสเต็ปขึ้นไปเรื่อยๆ
คอมพ์ : ผมอยากเป็น International Mainstream
เจมส์ : ผมแค่อยากทำผลงานต่อไป แล้วก็ไม่แตกกัน (หัวเราะ) แค่คิดว่าถ้าวันหนึ่งต้องกลายเป็นคนแปลกหน้ากับเพื่อนกลุ่มนี้ คงเศร้าน่าดู
เรฟ : เราเริ่มต้นกันมาจากจุดที่ไม่มีอะไร บางคนขับแกรป ผมทำงานร้านสะดวกซื้อ เป้าหมายสูงสุดเลยผมอยากเห็นทุกคนมีบ้าน มีรถ เป็นของตัวเอง เราใช้ชีวิตวัยรุ่นไปด้วยกันก็อยากเห็นเราแก่ไปด้วยกัน
Last but not Least
กับอาชีพ ‘นักดนตรี’ ที่สายตาคนนอกมองว่า ‘ไม่มั่นคง’ อยากรู้ว่าทางวงมีปัญหาตรงจุดนี้บ้างไหม

เรฟ : ผมว่ามั่นคงหรือไม่มั่นคงมันอยู่ที่ตัวเรา เป้าหมายความมั่นคงของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน บางคนพอใจกับบ้านหลังใหญ่ บางคนแค่หลังเล็กก็มีความสุขแล้ว
เซ็นต์ : ผมว่าที่คนรุ่นเก่าตั้งคำถามว่า ‘จะมั่นคงหรือเปล่า’ แต่เขาลืมคิดไปไหมว่า เราคงไม่ปล่อยให้ตัวเองอดตายหรอก
คอมพ์ : เส้นทางอื่นอาจจะดีกว่านี้ แต่สำหรับผมอยู่ตรงนี้ก็มีความสุขแล้ว วันหนึ่งถ้าไม่สามารถเป็นศิลปินต่อได้ ผมว่าสายงานในแวดวงนี้ก็ยังหาเลี้ยงเราได้อีก
มีช่วงเวลาที่รู้สึกว่าเลือกเดินเส้นทางผิดบ้างไหม
PURPEECH : ไม่ครับ
เรฟ : ใช้คำว่า ‘ไม่รู้’ ล่ะกัน ทุกวันนี้ยังไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ทำถูกหรือผิด ผมเป็นคนเล่นเกมมาตั้งแต่เด็ก มีแพ้มีชนะ ก็เหมือนกันกับการใช้ชีวิตก็มีทั้งเส้นทางที่ผิดถูกปะปนกันไป สุดท้ายแพ้ชนะมันไม่สำคัญ เพราะที่ผ่านมาก็ไม่มีอะไรที่ทำให้รู้สึกเสียใจ
เจมส์ : ผิดอย่างน้อยก็จะได้รู้ในสิ่งที่ถูก
ถ้าคนมีฝันผ่านมาเห็น อยากบอกอะไรกับพวกเขา
เรฟ : ผมอยากบอกไปถึงทุกคนว่าที่ผ่านมา PURPEECH ก็เริ่มต้นทำทุกอย่างกันเอง ตั้งแต่แต่งเพลง ถ่าย MV ตัดต่อ อย่างเพลง หากจะเพียงขอ (Sincare) เพลงนั้นเราใช้งบไม่กี่บาท เงินที่เหลืออีกนิดหน่อยเอาไปซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาทำเป็นพร็อป แล้วหลังเลิกกองก็เอามากินต่อ ผมมองว่าแค่นั้นก็มีความสุขแล้ว เดี๋ยวนี้ดนตรีไม่ใช่อาชีพที่มองว่าเต้นกินรำกินอีกแล้ว มันสามารถเลี้ยงชีพได้ แล้วยังหารายได้จากหลายช่องทาง

…สุดท้ายถ้าทำมันด้วยใจ สักวันคุณจะมีคอนเสิร์ตใหญ่เป็นของตัวเองได้…
ถ้าวันหนึ่งเพลงที่ทำได้รับกระแสลดลง จะยังอยากทำเพลงอยู่ต่อไปอีกไหม
PURPEECH : ทำครับ
เซ็นต์ : เราเคยคุยเรื่องนี้กันมาแล้วด้วย กระแสลดลงคือการที่รายได้เราจะลดลงไปด้วย แต่ผมว่าพวกเราจะมีหนทางไปต่อ และก็คิดว่าเราคงจะทำมันต่อไปเรื่อยๆ
เรฟ : คงย้อนกลับไปคำตอบช่วงแรกๆ ที่บอกว่า perfect moment ของผมคือ โมเมนต์ที่เราได้ปล่อยเพลงออกไป เราไม่ได้สนด้วยซ้ำว่าผลลัพธ์ต่อจากนั้นจะเป็นยังไง มันไม่ใช่หน้าที่ของเราแล้ว
คอมพ์ : ใช่ครับ ถึงกระแสจะไปแล้ว แต่เราก็จะยังไม่ไป

‘ตอนนั้นในวันนี้’ เพลงแรกที่เป็นจุดกำเนิดของ PURPEECH แล้วถ้า ‘วันนี้’ ย้อนกลับไปเจอตัวเองใน ‘ตอนนั้น’ ได้ อยากบอกอะไรกับตัวเอง
คอมพ์ : เก็บตังค์หน่อยนะ
เซ็นต์ : สุดยอด เก่งแล้ว
เจมส์ : พยายามดีแล้ว ทำดีที่สุดแล้ว
ยีนส์ : โชคดีที่ได้รู้จักกับเพื่อนกลุ่มนี้
เรฟ : ผมเคยเขียนไว้ว่า ‘ถึงตัวเองเมื่อ 7 ปีก่อน เก่งมาก คำถามหลายๆ อย่างได้เจอคำตอบแล้วนะ…ตอนนี้เรียนจบแล้ว แต่ไม่ได้เป็นครูเหมือนที่เรียนมา แต่ได้เป็นศิลปินแบบที่ฝันไว้ ตั้งใจทำอย่างที่เคยเป็น นั่นแหละถูกต้องแล้ว…’
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
PURPEECH’s Memo
13 มีนาคม 2568 : PURPEECH ได้มาสัมภาษณ์ที่ a day อีก 2 วัน เรากำลังจะขายบัตรคอนเสิร์ตครั้งแรกของพวกเรา ไม่รู้บัตรจะขายหมดไหม แต่เราตั้งใจกับคอนเสิร์ตนี้มากๆ ถึงคนที่ฟังในอนาคต ขอให้ทุกคนมีความสุขมากๆ ในคอนเสิร์ตของเรา เราไม่ได้ทำเพลงมาเพื่อให้คุณรักเรา แต่เราทำเพลงมาเพื่อให้คุณรักตัวเอง แล้วถ้าวันนั้นคุณรักตัวเองมากพอแล้ว อย่าลืมกลับมารัก PURPEECH ที่คอนเสิร์ตใหญ่นี้ด้วยนะครับ…
ขอบคุณสถานที่ : PULSE / Phra Arthit คาเฟ่ขนาดกะทัดรัดที่คุณภาพไม่กระจ้อยร่อยตามขนาดของพื้นที่