‘ตาโขน’ บ่ได้มาเฮ็ดให้ฝันร้าย แค่มาเต้นให้เจ้าบ่ลืมคนเฮือนเก่า

ในดินแดนที่แม่น้ำลำน้อยไหลตัดผ่านเทือกเขาหลวง เสียงกลองผางๆ ดังมาจากทุ่ง เหล่าเด็กน้อยเฮ็ดท่าเต้นสราญใจ แต่บ่มีไผกล้าเข้าใกล้คนที่ใส่หน้ากากหน้าตาอัปลักษณ์ ผมรุงรัง ตาโตเหมือนผีป่าสักคน คนเฒ่าคนแก่กระซิบกันข้างหู “มันกลับมาอีกแล้ว…ผีตาโขน”

ณ หมู่บ้านด่านซ้าย จังหวัดเลย มีประเพณีหนึ่งที่คนเป็นยังคงเล่าขานถึง 

ว่ากันว่า ‘ผีตาโขน’ เป็นส่วนหนึ่งของงานบุญหลวง อันเกิดเมื่อพระเวสสันดรกลับเมืองพร้อมด้วยนางมัทรี คราวนั้นเอง ผีป่าผีดิบที่เคยหลบซ่อนในป่าลึกก็ได้กลิ่นพระมหาเมตตา ต่างกรูกันตามพระองค์ เพราะอยากได้ส่วนกุศล กลายเป็นขบวนผีตามคน ผิดเพี้ยนเป็นผีตาขน และผีตาโขนในท้ายที่สุด

ทุกๆ ปีพอย่างเข้าเดือนแปดที่สายหมอกลงบางๆ เหนือทุ่ง เสียงฆ้อง เสียงกลองจะก้องกังวาน ชาวบ้านเฮาเรียกกันว่า ‘งานบุญหลวง’ แต่งานนี้บ่ได้มีแค่พิธีเดียว มันคือการนำวันบุญใหญ่ถึง 4 อย่างที่เคยจัดในแต่ละเดือนมารวมไว้ด้วยกัน

ฮู้บ่ เขาเซื่อกันว่านี่คือประเพณีที่เปิดประตูให้ผีกับคนได้มาพบกันอีกครั้ง

ทั้งบุญเผวสในเดือนสี่ บุญสงกรานต์เดือนห้า บุญบั้งไฟเดือนหก บุญซำฮะเดือนเจ็ด ทั้งหมดบรรจบกันในเดือนแปด 

“ผีดีจะได้กลับมาเยี่ยมเมือง ผีเฮี้ยนจะถูกส่งกลับอย่างนุ่มนวล”

ในค่ำคืนนั้นจะมีการบวงสรวง จุดเทียนที่ไม่ยอมดับลงแม้ฝนพรำ เสียงขอขมา เสียงบูชา เสียงขอพรลอยปนกับเสียงหัวเราะของผีตาโขนที่กำลังเต้นเริงร่า งานบุญหลวงบ่แม่นแค่งานเทศกาล แต่คือการรำลึกถึงดวงวิญญาณของเจ้าเมืองเก่า คอยบอกกับผีทั้งหลายว่าเมืองนี้ยังบ่ลืมเจ้า เมืองนี้ยังให้เกียรติ เมืองนี้ยังมีคนเซื่อ และผู้ที่เซื่อคือบ้านเฮาชาวอีสาน

หน้ากากของผีตาโขนบ่แม่นไว้ใส่เล่น เพราะมันถูกแกะจากไม้ของต้นไม้ผีเฮือน ทั้งไม้ฮ่าง ไม้ขุย ไม้ที่ถูกฟ้าผ่า มีตำนานเล่าว่าช่างที่แกะหน้ากากต้องไม่พูดกับผู้ใดทั้งสิ้นระหว่างทำ ไม่อย่างนั้นผีในไม้จะเข้าตัว บางครั้งหน้ากากที่เสร็จใหม่ๆ จะมีรอยเล็บจิกลากเป็นทางยาว บ้างมีเส้นผมแปลกๆ ติดอยู่ในเนื้อไม้ และบางคนเล่าว่าเมื่อใส่ครั้งแรกจะได้ยินเสียงหัวเราะแหลมจี๊ดขึ้นในหู แม้จะอยู่คนเดียวก็ตาม

ครั้นเริ่มพิธีจะมีเสียงกลองนำทาง เพื่อให้เหล่าผีที่ตามพระเวสสันดรมาจากอดีตได้รู้ว่า ‘ถึงเวลาเล่นแล้ว’ แต่อย่าเพิ่งขนลุกขนพองเด้อสู นั่งห่มผ้าให้อุ่นๆ แล้วฟังตาโขนจักหน่อย ตัวข้อยบ่ได้มาเพื่อหลอก แต่มาเพื่อบอกว่าข้อยยังอยู่เด้อ ข้อยยังคอยคุ้มครองเมืองนี้อย่างที่เจ้าศรัทธา บุญหลวงบ่แม่นแค่เรื่องของศาสนา แต่คือการต่อสายสัมพันธ์ระหว่างโลกของคนเป็นและคนที่ไม่อยู่แล้ว คือพิธีบูชาเจ้าเมืองเก่า ผู้เคยปกป้องด่านซ้ายที่ยังวนเวียนคุ้มครองท้องนา ป่าลึก ลำห้วย และใจคน

ตาโขนพาเด็กๆ ออกจากหน้าจอให้กลับไปเล่นกับผู้มีรอยตีนกา หน้ากากไม้ที่ใส่ขำๆ หลายชิ้นเกิดจากมือของพ่อที่นั่งแกะไป หัวเราะไปกับลูก เป็นของเล่นชิ้นใหญ่ที่ทั้งครอบครัวทำร่วมกันได้โดยไม่ต้องเสียเงินแพง ชุดที่ผีตาโขนใส่บ่แม่นของซื้อใหม่ มันคือเศษผ้าสีฉูดฉาดจากเสื้อผ้าเก่า บางผืนเคยเป็นเสื้อของแม่ บางผืนเป็นผ้าถุงของยาย พอถูกเย็บรวมกันมันก็กลายเป็น ‘ผ้าผีน้อย’ ที่โบกสะบัดตามลม 

ทุกปีที่งานเริ่ม คนเฒ่าหลายคนจะนั่งริมถนนยิ้มให้ขบวน เพราะในใจลึกๆ เขาเซื่อว่าปีนี้ผีปู่ก็คงมาแน่ๆ หรือย่าที่เสียไปคงเต้นอยู่ในเงาคนใส่หน้ากากสักคน บ้านเมืองต่างเปิดไฟ ทุกบ้านมีข้าว มีน้ำให้กิน ไม่มีใครโดดเดี่ยว และไม่มีผีตาโขนตนไหนที่ไม่ได้รอยยิ้มตอบกลับ เด็กๆ จะรู้ว่าคนที่ใส่หน้ากากเต้นตลกอยู่คือพ่อ เสียงหัวเราะจะดังคิกคักไปทั่วทั้งงาน 

และเมื่อเสียงกลองจังหวะสุดท้ายหยุดลง หน้ากากผีตาโขนจะถูกวาง เมืองกลับมาเงียบงันอีกครั้ง ดวงวิญญาณลับหายไปในหมอกเช้า เหลือแต่รอยเท้าในดินเปียกที่บอกเราว่างานบุญหลวงยังไม่จบสิ้น แม้ต้องรอจนถึงเดือนแปดครั้งหน้า แต่ตาโขนบ่เคยจางไปไส ยังวนเวียนคอยคุ้มครองเสียงหัวเราะ และคนอีสานบ้านเฮาเสมอ 

“อย่าตกใจเด้อ ข้อยบ่ได้มาเอาไผไปดอก ข้อยมาเต้น มาเล่น มาเฮ็ดให้เจ้าหัว ข้อยใส่หน้ากากน่าเกลียดๆ เพราะอยากให้เจ้ายิ้มใส่ความกลัว ข้อยบ่ใช่ผีที่มาเฮี้ยน ข้อยคือผีที่มาเยี่ยม ข้อยมาเตือนว่าโลกนี้มีอะไรมากกว่าโทรศัพท์กับเสียงแจ้งเตือน มาเตือนว่าอย่าลืมคนเฒ่าคนแก่ที่เคยนั่งเล่านิทานให้ฟัง” 

“ข้อยเต้นเพราะอยากให้ความเศร้าหล่นออกจากใจเจ้า เต้นให้เจ้ารู้ว่าแม้จะมืดแต่ยังมีเสียงหัวเราะให้ฟัง ถ้าเจ้ากลัวมาจับมือข้อย ถึงมือไม้จะสากแต่ก็อุ่นใจคือกันเด้อ”

AUTHOR

ILLUSTRATOR

พิแน

นักวาดอิสระที่ชอบออกเดินทาง ฟังเรื่องเล่า และบันทึกผ่านภาพวาดในสมุดเล่มเล็ก