‘จิตวิทยาป้าข้างบ้าน’ ทำความเข้าใจผู้สังเกตการณ์ที่เงียบเชียบ เพื่อค้นหาว่าทำไมป้าข้างบ้านถึงได้รู้ทุกเรื่อง


บางครั้งการมีคนคอยใส่ใจก็นับเป็นเรื่องดี ลองคิดดูว่าเมื่อมีคนสนใจชีวิตเรา คอยถามไถ่ทุกครั้งที่เห็นหน้า หรือหลายครั้งก็อยากรู้ว่าเราทำอะไร ไปไหน อาจหมายความว่าเราสำคัญ

แต่หากสิ่งนั้นมาจาก ‘เพื่อนบ้าน’ ล่ะ

หลายคนที่อาศัยอยู่บ้าน อาจเคยพบเจอเหตุการณ์ทำนองนี้ ที่มีเพื่อนบ้านที่น่ารักคอยใส่ใจทั้งเรื่องใน ‘บ้านเรา’ และ ‘บ้านคนอื่น’ ราวกับว่าเขาเป็นเจ้าของกล้อง CCTV ที่ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นในหมู่บ้าน หรือซอยก็รู้ไปหมดทุกเรื่อง ที่น่าแปลกก็ คือส่วนใหญ่เพื่อนบ้านที่ว่ามักจะเป็น ‘คุณป้า’ มากกว่า ‘คุณลุง’

หากใครชอบอ่านมังงะ อาจคุ้นๆ ตัวละครประมาณนี้ อย่างเช่น ‘ป้าทานากะ’ ป้าข้างบ้านชินจัง ที่คนอ่านไม่เคยเห็นสามีแก ไม่เห็นชีวิตประจำวันนอกจากกวาดบ้าน แต่โผล่มาทีไรป้าก็ใส่ใจทุกเรื่องในหมู่บ้าน รวมถึงบ้านโนะฮารา ที่มักตกเป็นเป้าซุบซิบประจำ (แต่ให้ความเป็นธรรมกับป้าทานากะ หลายครั้งที่เพื่อนบ้านรู้เรื่องก็เพราะชินจังนั่นแหละ)

เลเวลนี้จาก ‘ใส่ใจ’ อาจกลายเป็น ‘สอดส่อง’

เอาเป็นว่าเพื่อนบ้านที่น่ารักมีเยอะไป เพื่อนบ้านที่ชอบใส่ใจก็คงมี แต่ในเมื่อ ‘ความเป็นส่วนตัว’ คือสิ่งที่ทุกคนพึงมี และบ้านคือพื้นที่ที่ควรปลอดภัย แม้เขาจะไม่ได้ทำอะไร แต่บางครั้งคำพูด หรือสิ่งที่แสดงออกว่าเขา ‘รู้’ หรือ ‘อยากรู้’ บางอย่างในบ้าน มันก็อาจมองว่าเป็นการ ‘คุกคาม’ ความเป็นส่วนตัวได้เช่นกัน

เป็นแบบนี้แล้วจะทำความเข้าใจจิตวิทยาเบื้องหลังคนเหล่านี้อย่างไรดี? 

ผู้สังเกตการณ์ที่เงียบเชียบ

แม้ป้าข้างบ้านจะไม่ได้เป็นญาติอะไรกับบ้านเรา แต่พวกเขามักถูกมองว่าเป็น ‘บุคคลสำคัญในชุมชนระดับย่อย’ ที่มีบทบาทคล้ายกับผู้ดูแล ให้คำแนะนำ บางครั้งก็ที่ปรึกษา กระทั่งเป็นคนที่สร้างความรู้สึกปลอดภัยในละแวกบ้าน เปรียบเสมือน ‘ผู้สังเกตการณ์ที่เงียบเชียบ’ ซึ่งในแง่นี้ ป้าข้างบ้านมักถูกมองว่าเป็นผู้ที่คอย ‘สอดส่อง’ พูดถึง หรือวิจารณ์พฤติกรรมของคนอื่นในชุมชนด้วย ขณะเดียวกัน ก็เป็นดั่งตัวแทน ‘สายตาของสังคม’ ที่ทำให้คนในบางชุมชนรู้สึกว่าต้องทำตัวให้อยู่ในกรอบ เพื่อเลี่ยงการตกเป็นเป้าของป้าข้างบ้านที่จะนำไปสู่การนินทาในที่สุด

ผู้อยู่เบื้องหลังความสัมพันธ์ระหว่างบ้านเรือน

ในเชิงจิตวิทยาสังคม ป้าข้างบ้านอาจทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดข่าวสารในระดับชุมชนได้ เมื่อรู้เยอะจึงกลายเป็นแหล่งข้อมูล เป็นนักเคลื่อนไหวของชุมชนอย่างไม่เป็นทางการ ขณะที่วัฒนธรรมไทยมีลักษณะเป็นสังคมกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมกัน และมีความสัมพันธ์แบบเครือญาติ หรือเพื่อนบ้านใกล้ชิด ป้าข้างบ้านจึงสะท้อนภาพของชุมชนที่เชื่อว่าทุกคนก็มีสิทธิ ‘รู้’ เรื่องของกันและกันได้ ป้าข้างบ้านจึงไม่จำเป็นต้องมีอำนาจทางการเมือง แต่มีอำนาจเชิงสังคมที่สูงมาก โดยทำหน้าที่คอยขับเคลื่อนสังคมไม่ให้เงียบเหงาจนเกินไป

ด้านมืดของความหวังดี

ป้าข้างบ้านในหลายชุมชนมักรู้สึกว่าตัวเองมีหน้าที่ ‘ดูแล’ ความเรียบร้อยของชุมชน (?) พวกเธอจึงเป็นนักสังเกตการณ์ที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าลูกบ้านไหนจะออกไปไหน พ่อแม่บ้านไหนจะทะเลาะกัน มิอาจรอดสายตาป้าข้างบ้านไปได้ ขณะเดียวกันป้าข้างบ้านก็อาจเป็น ‘ตัวอย่าง’ ชัดเจนของการผลักความกลัว ความไม่พอใจในตัวเองไปยังผู้อื่นด้วยการ ‘แอบมองอยู่นะจ๊ะ’ และ ‘พูดลับหลัง’ เพื่อระบายความกดดันในใจ เสมือนเป็นการผลักด้านมืดของตนเองไปให้คนอื่นแทน

ผู้หวังดีที่แสนเจ็บปวด

บางครั้งพฤติกรรมอยากรู้ของป้าข้างบ้าน อาจสะท้อน ‘ความเหงา’ ก็เป็นได้ อย่างที่ยกตัวอย่าง ‘ป้าทานากะ’ ในมังงะชินจังไป ซึ่งเราไม่เคยเห็นครอบครัว แต่เห็นแค่เธออาศัยอยู่ในบ้านคนเดียว และหากลองเปลี่ยนมามองป้าข้างบ้านเราก็อาจให้ความรู้สึกเช่นเดียวกัน ดังนั้นความจุ้นจ้านจึงสามารถบ่งบอกเบื้องลึกในจิตใจของความรู้สึกไร้คุณค่า หรือขาดบทบาททางสังคมของพวกเธอ ซึ่งการได้ ‘รู้เรื่องคนอื่น’ จึงทำให้รู้สึกว่าตนยังมีอำนาจ มีตัวตน หรือมีคุณค่าบางอย่างในโลกของพวกเธออยู่

เอาล่ะ เหรียญมีสองด้านเสมอ แม้ป้าข้างบ้านอาจน่ารำคาญในบางเรื่องบางครั้ง แต่ถ้าไม่ได้มีอะไรเลวร้ายเกินไป บางทีเธอก็เปรียบเสมือน ‘ภาพทรงจำ’ ในวัยเด็ก เป็นความอบอุ่นแบบบ้านๆ และเป็นคนที่เรารู้สึกว่าสามารถพึ่งพาได้โดยไม่ต้องอธิบายอะไรเยอะก็ได้

แต่ในขณะเดียวกัน จิตวิทยาป้าข้างบ้านนั้นก็สามารถสะท้อน ‘ความเป็นไทย’ ได้ในบางมิติ โดยเฉพาะเรื่องของสังคมและความเป็นชุมชน ทั้งยังสะท้อนภาพคนคนหนึ่ง ที่เป็นเสียงสะท้อนของอดีต และพยายามมีตัวตนในวันที่กำลังจะหมดความสำคัญ

AUTHOR