ถ้าย้อนเวลาได้แล้วความรักจะดีขึ้นจริงหรือ? ชวนหาคำตอบกับผู้กำกับ Long Live Love! มุก ปิยะกานต์

Long Live Love! ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของ มุก-ปิยะกานต์ บุตรประเสริฐ หลังจากที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังในวงการภาพยนตร์มานานกว่าสิบปี เธอฝึกฝนฝีมือ ท้าทายความสามารถด้วยผลงานการแสดงและการเขียนบท รวมถึงงานกำกับซิตคอมที่ยังมีแฟนๆ เรียกร้องให้กลับมาสร้างใหม่อีกครั้ง อย่าง ‘เนื้อคู่ประตูถัดไป’ และ ‘เนื้อคู่อยากรู้ว่าใคร’ จนถึงวันที่เธอพร้อมนำบทภาพยนตร์ที่เขียนเก็บไว้กว่าสี่ปีออกมาสร้างให้เราได้ชมกันในโรงภาพยนตร์ 

บทบาทการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ในครั้งนี้จึงเป็นการดึงทักษะและประสบการณ์ที่ได้เก็บเกี่ยวมาตลอดเส้นทางในวงการบันเทิงที่เธอได้งัดออกมาทุ่มให้กับงานชิ้นนี้จนคลอดออกมาเป็นภาพยนตร์ Long Live Love! ให้เราได้รับชม

ต้องบอกก่อนว่าเราติดตามผลงานของ มุก มาตั้งแต่สมัยเป็น พี่อ้อยในโฆษณาสมูทอี ที่ถือเป็นผลงานขึ้นหิ้งที่แหวกขนบการทำโฆษณาในยุคนั้นจนมาถึงปัจจุบัน มุก กับบทบาทนักแสดงในวันนั้นจนมาถึงวันที่มีภาพยนตร์ของตัวเองเรื่องแรก เส้นทางการทำงานแบบย่นย่อ 40 นาทีที่เราได้มีโอกาสพูดคุยกันจึงเสมือนสรุปการเดินทางของเธอเพื่อหลอมรวมออกมาเป็นภาพยนตร์ Long Live Love! ในวันนี้นั่นเอง โดยเป็นการปะทะบทบาทระหว่างตัวแม่ซุปตาร์ ชมพู่ อารยา และ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ ที่เป็นการโคจรมาพบกันเป็นครั้งแรกในบท เมตตา และ สติ

ชวนสำรวจการทำงานแบบ มุก ในวัยที่ตกตะกอนจนได้เป็นแนวคิดที่ท้าทายตัวเองให้เก่งขึ้นในทุกๆ ผลงานที่ผ่านมือเธอ และการเผยที่มาของเบื้องหลังคาแรกเตอร์แต่ละตัวละครที่เธอและทีมคิดแล้วคิดอีก เพื่อเป็นการสื่อสารข้อความที่เธออยากส่งต่อให้กับคนรุ่นต่อไป 

จาก คุณรุจน์ จ่ารุจน์ พี่รุจน์ และป้ารุจี ทำให้เกิด Long Live Love! 

“ถ้าใครถามว่าในซิตคอม เนื้อคู่ฯ คาแรกเตอร์ไหนที่เราชอบที่สุดคำตอบจะไม่ใช่ พระเอก นางเอก แต่เป็นคุณรุจน์ (รับบทโดย นิมิตร ลักษมีพงศ์ หรือ บ๊อบบี้โบเต๋) เสมอ” 

“วันนี้กลับมานั่งนึกก็รู้สึกขอบคุณตัวเองมากๆ ที่ใจกล้ามาก สำหรับเรามันก็เกือบจะมีความมัลติเวิร์ส ที่มีโลกอะไรบางอย่างอยู่ จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจทำให้คาแรกเตอร์นี้ต้องออกมาตลก เราก็คิดออกมาจากบุคลิกภาพแล้วพัฒนาบทออกมาให้สุดโต่ง จริงๆ แล้วคุณรุจน์เขาเป็นคนเพอร์เฟ็กต์ชันนิสต์ ความสุดโต่งของคนเพอร์เฟ็กต์ชันนิสต์คือการทำทุกอย่างด้วยตัวเองก็เลยเป็นที่มาของคาแรกเตอร์แบบนี้ เพราะความเพอร์เฟ็กต์ชันนิสต์ทำให้เป็นศัตรูกับแก็งเพื่อนๆ เนื้อคู่ฯ ที่พร้อมจะสร้างความวุ่นวายในคอนโด เราต้องการคนที่จะมาเป็นฝ่ายตรงข้ามกันเมื่อฝั่งหนึ่งยุ่งเหยิง อีกฝั่งก็ต้องเพอร์เฟ็กต์ชันนิสต์มากๆ เพื่อที่จะคุมและทำให้การ Execute มันสนุกเมื่อมีการปะทะบทบาทกันเรื่อยๆ” 

สำหรับคุณรุจน์เป็นการต่อยอดคาแรกเตอร์แบบ Double Character ที่มากกว่าแค่บทตลก เลยทำให้เธอดำเนินภาพยนตร์เรื่อง Long Live Love! โดยมีตัวละครนำที่ใช้ Double Character เป็นประเด็นที่ชูขึ้นมาพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์และความรักซึ่งเป็นสิ่งที่ตัวเองสนใจ

“ถ้าวันหนึ่งที่เราไม่มีตัวตนแล้วเดินกลับไปมองตัวเอง เราจะยังทำหรือตัดสินใจอะไรบางอย่างเหมือนเดิมหรือไม่ จากไอเดียนี้จึงค่อยๆ ประกอบร่างมาเป็นพล็อตที่ให้ สติ มีสองคาแรคเตอร์ ในวันที่เมีย เมตตา กำลังจะมาบอกลา แต่ตัวเองประสบอุบัติเหตุความจำเสื่อมแต่สามารถย้อนเวลาได้ผ่านการถ่ายรูป เพื่อเข้าไปเห็นตัวเองกับเหตุการณ์ในรูปต่างๆ ก็เลยเป็นที่มาว่าเขาจะตัดสินใจเหมือนเดิมหรือไม่ แล้วสามารถตกหลุมรักเมียคนเดิมได้หรือเปล่า การทำภาพยนตร์ของเราจึงเป็นการประกอบร่างขึ้นมาจากเรื่องที่สนใจ” 

ชมพู่-เมตตา ตัวแทนความเสียสละของผู้หญิงเอเชีย

“คนไทยจะได้เห็นชมพู่ในเวอร์ชันที่พังที่สุดนะ” 

เป็นประโยคที่ มุก พูดกับ ชมพู่ ในวันที่เจอกันหลังส่งบทภาพยนตร์ไปให้อ่าน การดึงตัว ชมพู่ อารยา ตัวแม่ ตัวมัมของวงการบันเทิง มาร่วมงานได้ทำให้เราสนใจว่า มุก ใช้มุกไหนจีบให้ซุปตาร์ฯ ของไทยคนนี้รับปากตกลง 

“นักแสดงที่จะมาเป็น เมตตา ในหัวเรามี ชมพู่ ตั้งแต่แรกไม่ได้มองใครเป็นชอยส์ไว้เลย เราส่งบทไปให้อ่านพร้อมกับแนบจดหมายเขียนด้วยลายมือ ตอนที่เขียนไปจำได้ว่ามีให้เหตุผลที่เลือกชมพู่ประกอบไว้ด้วยเพราะเรามองว่าเธอเป็น Role Model บางอย่างของผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบ ผู้หญิงคนไหนมองมาก็รู้สึกอยากมีชีวิตแบบนี้ มีลูกน่ารัก มีสามีน่ารัก แต่เรารู้สึกว่าถ้าได้ชมพู่มาเพื่อท้าทายและได้เปลี่ยนภาพจำเดิมๆ นี้ไป มันจะตอบเรื่องที่ว่าถ้าวันหนึ่งผู้หญิงมีความรัก เราไม่มีทางรู้เลยว่าถ้าเขาไปเจอความรักที่ไม่ใช่มันจะพาไปที่ไหน ก็เลยใช้ชมพู่เป็นภาพแทน ถ้าเธอไม่ได้แต่งงานกับน็อต วิศรุต แต่เป็นซันนี่ล่ะ” 

เมื่อทั้งคู่ได้เจอกัน มุกก็จับความกระตือรือร้นมากๆ ของ ชมพูในวันนั้น และรีบพูดประโยคฮุกที่สำคัญออกไป  

“คนไทยจะได้เห็นชมพู่ในเวอร์ชันที่พังที่สุดนะ พอพูดจบประโยค ชมพู่ก็อึ้งไปเลย เราจำได้เลยว่าเป็นภาพที่นิ่งไปสามวินาที แล้วกระพริบตา แล้วก็ตอบกลับมาว่า ‘ไม่ติด’ เราก็เลยโอเค คิดว่าเขาเก็ตกับบทที่เราเสนอไป”

ซันนี่ก็เป็นซันนี่

ก่อนที่ มุกจะเคาะมาเลือก ซันนี่ เป็นคาแรกเตอร์ สติ แม้จะเป็นเพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมงานกันมาก่อนก็มีการลังเลใจเกิดขึ้นไม่น้อยทีเดียว 

“ในหัวตอนเขียนจะมีสองคนที่เด้งไปเด้งมาสองชอยส์ จริงๆ ก็ต้องยอมรับว่าพอบทนี้ต้องมีความเป็นพ่อก็เลยเริ่มไม่แน่ใจ แต่พอเขียนบทนี้ไปเรื่อยๆ ซันนี่ก็เป็นซันนี่ที่เรารู้สึกปลอดภัยอยากจะร่วมงานกัน เพราะรู้สึกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องแรกของเราด้วย ถ้าเรามีซันนี่สักคนก็ทำให้เราคลายกังวลเป็นเพราะมาจากความไว้ใจ เราคิดไว้ว่าถ้าบทนี้ออกไปแล้วเป็นคนอื่นเล่น มันต้องงอนแน่ๆ ซันนี่ก็คือซันนี่ ต่อให้เป็น จอห์นนี่ เดปป์ นางก็จะรู้สึกว่าทำไมมันไม่ได้เล่น” 

“จริงๆ แล้วในคาแรกเตอร์นี้ต้องการให้สะท้อนถึงผู้หญิงเอเชียรวมทั้งไทยที่ต้องเสียสละและอุทิศตัวเอง พอหันไปดูแม่เรา หันไปดูเพื่อนเราที่เคยเป็นดาวคณะต้องมาอยู่ในสิ่งแวดล้อมไทยที่ Insecure มากๆ แบบนี้ กลับกันในขณะที่ผู้ชายพอยิ่งแก่ยิ่งดึงดูด ยิ่งแก่ยิ่งอร่อย มีความแดดดี้ๆ ก็เลยอยากพูดถึงในมุมนี้ ซึ่งจริงๆ ก็มีความเฟมินิสม์อยู่ ถ้าเรื่องนี้เดินเรื่องด้วยผู้หญิงมันก็จะง่ายกว่านี้มากที่จะพัฒนาบทให้เข้าถึงปัญหาที่เจอ แต่ว่าเราตัดสินใจเปลี่ยนเป็นมุมมองผู้ชายที่ต้องความจำเสื่อมแล้วเข้าไปเจอเหตุการณ์ต่างๆ พอเราเปลี่ยนให้เป็นมือผู้ชายเป็นคนพาไป ก็รู้แหละว่ามันยากนะ แต่หวังว่าจะให้ผลลัพธ์มากกว่าเมื่อดูหนังเรื่องนี้จบ เพราะเรารู้สึกว่าถ้าเรื่องนี้ทำงานกับผู้ชายมันจะดีมากๆ เพื่อให้เป็นประโยชน์ก็เลยเลือกเล่าผ่านมุมผู้ชายให้ไปเผชิญปัญหาของครอบครัว”

ภาษารัก-ความเกลียด-ความแก่

ในเมื่อภาพยนตร์ Long Live Love! ย้ำถึงความรัก ความเกลียด เราจึงอยากชวนคุยถึงไอเดียที่มาของเรื่องนี้

“ภาษารักจริงๆ ก็ใส่ไว้ในหนัง (ผู้เขียนแนะนำให้ลองถอดภาษารักของเธอกันในโรงหนัง) ภาษารักของเราคือเวลาที่เราทำอะไรงี่เง่าแล้วมีคนเข้าใจความน่าเกลียดของเรา ช่วยกันขัดเกลาแต่ไม่ปล่อยมือ พอแก่แล้วภาษารักของเราจะง่ายมากเลย ตรงไปตรงมา เช่น ถึงบ้านแล้วนะ ตรวจสุขภาพกัน จองร้านนวดให้สองชั่วโมง มันจะเป็นความยั่งยืนแบบนั้น มันจะไม่หวือหวา ไม่ใช่การเซอร์ไพรส์ให้ของขวัญอีกแล้วสำหรับในวัยนี้”

“การเข้าใจความน่าเกลียดของกันและกัน อย่างเช่น คนที่เราคบอยู่เด็กกว่าเรามากๆ พอมีปัญหากันเราบอกออกไปว่า เธอยังเด็กเราแยกย้ายกันไปโตขึ้นดีกว่าไหม ฉันก็ไม่เป็นไร สิ่งที่เขาตอบกลับมาคือ เธอแก่แล้วนะ เธอยังต้องโตอีกเหรอ มันจี๊ดมาก เราชอบมากเพราะรู้สึกว่าแม้ความน่าเกลียดคือความแก่ แต่คำพูดเขาทำให้เรารู้สึกปลอดภัยมาก พอได้คำตอบนี่กลับมาก็รักเลย ทั้งที่เขาด่าเราอยู่นะ” (หัวเราะเอิ้กอ้าก)

“สำหรับเรื่องการเกลียดคนอื่นเราลืมไปนานมากแล้ว เราจะหาเหตุผลให้เขาเพื่อที่เราจะไม่ต้องเกลียดเขา แต่เราจะไม่ยุ่งด้วย เราคิดว่าเขาคงมีปมก็หาปมเขาให้เจอเพราะปมแบบนี้แน่เลยทำให้แสดงออกมาอย่างนี้ เรามักจะหาเหตุผลให้เขา มันไม่ใช่การเป็นคนดีแต่มันเป็นการทำให้เราสุขภาพจิตดี เราก็เลยไม่เกลียดใคร ถ้าไม่ร่วมกันก็คือไม่ร่วมงานกัน แต่จะไม่เอาความเกลียดมาติดใจไว้ เพราะเรากังวลกับการหน้าเหี่ยวมาก ถ้าเราจะเกลียดใครมันก็จะส่งผลกับหน้าเรา”

สวมวิญญาณนักแข่งรถในกองถ่ายภาพยนตร์

ในเมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าถึงการตัดสินใจ เราจึงนึกเล่นๆ ถามออกไปว่าถ้าไม่ได้มีอาชีพกำกับภาพยนตร์ คิดว่าตัวคุณจะทำอาชีพอะไรอยู่ คำตอบที่กึ่งเล่นกึ่งจริงของเธอกลับแสดงให้ถึงวิธีคิดและการทำงานในแบบ มุก ปิยะกานต์ 

“คิดว่าคงเป็นนักแข่งรถ เป็นสิ่งตัวเองทำได้ดีมาก เมื่อก่อนขับรถเร็วมาก ซันนี่เคยเรียก นานา ไรบีน่า เพราะขับเร็วมาก (เน้นเสียงหนักแน่น) เคยลองไปขับรถแข่งต่างๆ ในสนาม แล้วก็ทำได้ดีมาก เราชอบความเร็ว ความเป๊ะ ถ้าใครเคยทำงานกับเราจะรู้เลยว่าเป็นคนเร็วสุดๆ”  

การที่เธอฝึกฝนตัวเองด้วยการทำโฆษณามาก่อน ทำให้งานทุกชิ้นที่เธอเลือกรับจะเป็นงานที่ได้ท้าทายตัวเองเพื่อทำให้เก่ง เน้นสกิลในงานโปรดักชัน ทดลองรูปแบบต่างๆ ทั้งแนวแฟนตาซี มหัศจรรย์ อวกาศ ลองใช้สีสันที่หลากหลายเพื่อมาใช้กับภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอ  

“พอมาทำหนังเรารู้แล้วว่าในวันที่พร้อมคือวันที่เรารู้สึกว่า เรามั่นใจในความแม่นยำของเรา เพราะเราเคยผ่านกองถ่ายที่ทำงานกัน 30 ช็อตต่อวัน เคยได้ยินมาว่าในการถ่ายหนัง 40-50 ช็อตต่อวัน เพราะฉะนั้นการตัดสินใจต้องคมและชัดเจนมากก็เลยฝึกมาตั้งแต่ตอนนั้น ผู้ช่วยที่มาทำงานด้วยกันกับเราก็คือคนที่ไวระดับประเทศ ซึ่งก็ต้องชื่นชม ไบสัน-ทรงพล จันทรสม เขาเป็นผู้ช่วยผู้กำกับของพี่บาส (นัฐวุฒิ พูนพิริยะ) เขาเป็นคนที่เราเลือกให้มาทำงานด้วยกันในวันที่เราทำหนังของตัวเอง เพราะเป็นคนที่ไวและเข้าใจ อย่างเช่น เราดูมอนิเตอร์อยู่แล้วเรียกเบาๆ ไบสัน พอเงยหน้าขึ้นมา ไบสัน ก็วิ่งไปสั่งงานแล้ว” 

แม้จะเป็นงานกำกับเหมือนกันแต่บุคลิกของเธอตอนเป็นผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณาต่างกันกับภาพยนตร์คนละขั้วจนเธอเองก็จับสังเกตได้เช่นกัน 

“ในกองโฆษณาเราจะเป็นสายชิลมาก เปิดเพลง ฮิปฮอป มิลค์เชก สร้างบรรยากาศเพราะเป็นบริษัทของตัวเองก็เลยอยากสร้างคัลเจอร์ของเราเอง แต่พอทำหนังถ้าย้อนเวลากลับไปได้อยากขี้เล่นกว่านี้ ไม่ได้เป็นคนดุนะ แต่เอเนอร์จี้ตอนนั้นมันคุยเล่นน้อยไปนิด หนังเรื่องนี้โหดมากพอครึ่งวันถ่ายไปแล้วห้าคิวหกคิว เราต้องคอยพูดกับตัวเองว่า เธอไม่ใช่ไม่เก่งเธอแค่จน (หัวเราะแห้ง) เพราะมันจะเริ่มเก็บความผิดพลาดมาปะติดปะต่อกัน พอถึงเวลาพักกินข้าวก็ไม่อยากออกไปกินข้าวที่เต็นท์กับใคร อยากนั่งกินหลังมอนิเตอร์แทน เพราะว่ามันจะต้องเก็บแรงไว้พูดอีกครึ่งบ่าย เราต้องการการอยู่คนเดียว จริงๆ ตัวเองมีความอินโทรเวิร์ตนิดๆ ต้องการอยู่ในห้องเงียบๆ คนเดียวเพื่อรีชาร์จพลังออกไปใช้คุมกองต่อตอนบ่ายเลยคิดว่าถ้าทำได้อยากได้เวลาขี้เล่นกว่านี้อีกนิดหนึ่ง”

เมื่อสานฝันจนได้ออกมาเป็นภาพยนตร์เรื่องแรก เรามองต่อถึงความท้าทายและเป้าหมายต่อไปที่อยากชวนเธอมามองไปยังอนาคตหลังจากนี้ 

“เราเป็นคนที่ถือคติว่าถ้าเงินไม่มากพอก็ต้องทำให้เก่งขึ้น นี่เป็นสองสิ่งที่เราใช้เวลารับงาน พูดถึงในพาร์ตการทำโฆษณาถ้าเงินไม่มากพอหรือบอร์ดนี้มองแล้วไม่เห็นจุดที่จะทำให้เก่งขึ้นหรือได้ทดลองอะไรใหม่เพิ่มเติม งั้นเราจะไม่รับนะ ต้องหาสองเงื่อนไขนี้ให้เจอก่อน”

ทิ้งท้ายสำหรับคำถามจากในคลิปที่เราให้เธอเลือกระหว่างการมี พลังพิเศษ กับ คนพิเศษ มุกตอบเราด้วยคำตอบแบบสวยๆ สไตล์สาวเฟียสๆ ในแบบเธอ

@adaymagazine

ทำความรู้จัก ‘มุก-ปิยะกานต์ บุตรประเสริฐ’ ผู้กำกับและคนเขียนบทซิตคอมในใจของใครต่อใครอย่าง เนื้อคู่ประตูถัดไป และ เนื้อคู่อยากรู้ว่าใคร หรือหลายคนอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตาเธอในบทบาท ‘พี่อ้อย สมูทอี’ จากโฆษณายาทาสิวที่โด่งดังเมื่อสิบกว่าปีก่อน และตอนนี้เธอก็มีผลงานใหม่ในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Long Live Love! หนังรักที่จะพาคุณกลับไปสำรวจความทรงจำเพื่อพบกับจุดเริ่มต้นของความรัก หรือ เลิกรัก . #LongLiveLove #ลองลีฟเลิฟว์

♬ original sound – a day – a day

“ก็ต้องเลือกพลังวิเศษอยู่แล้วเพราะถ้ามีพลังวิเศษก็จะหาคนพิเศษมาได้อยู่แล้ว เพราะถ้าฉันมีพลังวิเศษก็จะเลือกคนพิเศษคนไหนมารักก็ได้” 

ตัวอย่างภาพยนตร์

รับชม Long Live Love! ได้ที่โรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ


ภาพ: สันติพงษ์ จูเจริญ

AUTHOR