‘ไก่ ณฐพล’ ผู้เคยยึดติดกับ ‘ความจริง’ จริงๆ ในวันที่ต้องแต่งเติม ‘สงคราม ส่งด่วน’ ซีรีส์จากชิ้นส่วนชีวิตของคนที่ (แม่ง) โคตรสุด

‘ไก่ ณฐพล’ ผู้เคยยึดติดกับ ‘ความจริง’ จริงๆ ในวันที่ต้องแต่งเติม ‘สงคราม ส่งด่วน’ ซีรีส์จากชิ้นส่วนชีวิตของคนที่ (แม่ง) โคตรสุด

หากพูดชื่อของ ‘ไก่-ณฐพล บุญประกอบ’ หลายคนคงจะนึกถึงเขาในแง่มุมของผู้กำกับสารคดีที่ห้ำหั่นอยู่กับเรื่องจริงที่มีหลายด้านหลายมุม เขาเคยทำให้คนแตกแตนกันจนต้องไปวิ่งแบบพี่ตูน ในสารคดีสุดบ้าที่พาเราก้าวตามติดๆ ไปในเส้นทางวิ่งการกุศลของพี่ตูนในสารคดี ‘2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว (2561)’ เคยหาญกล้ากระโดดเข้าไปท่ามกลางความขัดแย้งเพื่อสำรวจเรื่องราวของวัดธรรมกายอย่างลงลึกและเปิดกว้าง ใน ‘เอหิปัสสิโก (2562)’ 

และเคยทำให้พวกเราต้อง เชกค็อกเทลแล้วร้อง Nobody knows กันทั่วบ้านทั่วเมืองใน ‘One for the Road (2565)’ 

ถึงแม้ใครหลายๆ คนจะเรียกเขาว่าผู้กำกับสารคดี แต่ตัวเขาเองก็ยืนยันว่าไม่ เขาเป็นนักสื่อสารที่ทำงานผ่านหลายมีเดียม โดยมีพื้นฐานเป็นคนขี้เสือก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เคยชิน และยึดติดอยู่กับความจริงตรงหน้าแบบสุดๆ 

แต่ในปีนี้เองที่เขากระโจนเข้ามาอยู่กลางพายุลูกใหญ่เพื่อทำซีรีส์ขนาดยาวเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจขนส่งพัสดุด่วน ซึ่งอุดมไปด้วยโลกที่ต้องสร้างขึ้นมาให้สมจริง ทั้งโกดังขนส่งขนาดมหึมา บ้านกลางเหมืองทราย เพนต์เฮาส์ในเซี่ยงไฮ้ และบทพูดภาษาจีน

‘สงคราม ส่งด่วน’ ซีรีส์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงของคนที่ไก่ ณฐพลบอกว่าทั้งดิบห่าม และเปี่ยมไปด้วยพลัง ชีวิตแม่งพีกสุดๆ

ด้วยเหตุนี้ a day จึงชวน ‘ไก่-ณฐพล บุญประกอบ’ ผู้ที่เคยชินกับความโคตรจริงตรงหน้ามาคุยกันเรื่องซีรีส์ที่ต้องเสริมเติมแต่งจินตนาการเข้าไปในวัตถุดิบจากธุรกิจของคนที่มีชีวิตจริง ต้องดันบาร์ขึ้นไปให้สุด เข้มข้นจนทีมงานอินถึงขั้นต้องลาออกไปตั้งบริษัทเองเลย

‘สงคราม ส่งด่วน’ ชิ้นส่วนชีวิตของคนที่เราไม่คิดว่าเขาจะสุดขนาดนั้น

โปรเจกต์นี้เริ่มมาจากที่พี่เก้ง-จิระ มะลิกุล และ พี่วัน-วรรณฤดี พงษ์สิทธิศักดิ์ (โปรดิวเซอร์ของ GDH) เขาได้ฟังรายการสัมภาษณ์ของบุคคลต้นเรื่องแล้วรู้สึกสนใจก็เลยชวนเราไปสัมภาษณ์ เรารู้สึกว่าคนๆ นี้น่าสนใจดี อายุยังน้อยอยู่ แต่ทำธุรกิจที่ใหญ่โต และท้าทายมากขนาดนี้ ยิ่งพอได้คุยด้วยแล้วก็รู้สึกว่าคาแรกเตอร์ของเขามีความดิบห่าม มุทะลุ และมีเส้นทางชีวิตที่เข้มข้นมากๆ 

หลังจากสัมภาษณ์เสร็จก็รีบกลับไปเล่าให้พี่เก้ง พี่วันฟังว่าบุคคลต้นเรื่องเขาทำให้เราประทับใจมากๆ ไม่ได้คาดหวังมาก่อนว่าชีวิตเขาแม่งจะขนาดนั้น สำหรับเรามันมีพลังมากเลย แต่ซีรีส์เรื่องนี้ก็ไม่อาจพูดได้ว่าเป็นซีรีส์ที่สร้างมาจากชีวิตจริง เพราะเราเพียงหยิบบางชิ้นส่วนในชีวิตของเขามาแต่งเติม และเขียนบทขึ้นมาจนกลายเป็นฟิกชันนอล ดังนั้นซีรีส์เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องราวที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากชีวิตของคนๆ หนึ่ง

บาร์ที่ต้องกระโดดขึ้นไปให้ถึงของซีรีส์ที่มีแรงบันดาลใจมาจากชีวิตจริง

จริงๆ เรื่องนี้เราไม่ได้ทำ Biopic (ภาพยนตร์ชีวประวัติ) ที่จำเป็นต้องซื่อตรงกับประวัติศาสตร์ของชีวิตคนคนนั้นมาก เรื่องนี้เป็นเพียงซีรีส์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงๆ เราแค่หยิบบางฉากของเขามาแล้วใส่ตัวละครของเราเข้าไป ดังนั้นมันจึงสามารถใช้จินตนาการได้เต็มที่เลย เพียงแค่หยิบวัตถุดิบมาจากเรื่องจริงของคนบางคนเท่านั้นเอง 

ดังนั้นความท้าทายของมันอาจคือการเลือกองค์ประกอบที่จะทำให้มันกลายเป็นโครงสร้างที่พอดีกับสิ่งที่เราพยายามจะทำ

เริ่มต้นจากเราจะเลือกซีน หรือชิ้นส่วนบางอย่างของชีวิตเขามาประกอบขึ้น และหลังจากนั้นก็เติมจินตนาการของตัวเองเข้าไปทำให้เรื่องราวสนุก และกลมกล่อมขึ้น จนกลายเป็นเรื่องเล่าที่อยู่ในรูปแบบของภาพยนตร์ได้ แต่ความยากอีกอย่าง คือพอชีวิตของคนที่เราหยิบมาเล่า เขามีฉากที่พีกมาก สนุกสุดๆ การที่จะคิดให้ดีเท่าสิ่งเหล่านี้ค่อนข้างมีรายละเอียดที่ต้องใส่ใจเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพื้นเพความเป็นเด็กดอยของสันติ โลกของธุรกิจขนส่ง ล้วนมีบาร์ที่เราจะต้องกระโดดขึ้นไปให้ถึง เราเลยใช้เวลานานมากเหมือนกันในการเขียนบท

ถึงเราจะบอกว่าซีรีส์เราหยิบเพียงชิ้นส่วนของคนต้นเรื่องมาสร้าง แต่พอถูกขึ้นชื่อว่าเป็นซีรีส์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากชีวิตจริง คนดูก็จะเอาไปเชื่อมโยงกับเรื่องของใคร ยี่ห้อไหน อย่างไรอยู่แล้ว มันเป็นสิ่งที่เราห้ามไม่ได้ และเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องห้ามด้วย การที่ซีรีส์มีองค์ประกอบหลายๆ อย่างที่สามารถเทียบเคียงกับสิ่งที่มันอยู่ในสังคมเราได้ก็ถือเป็นความสนุกอย่างหนึ่งของซีรีส์ประเภทนี้ หากถามว่าเราระวังมากแค่ไหนในการทำงาน เราว่าเราไม่ค่อยนะ เพราะสุดท้ายมันคือโลกของจินตนาการที่เราสร้างขึ้นมา เราเลยไม่ได้ไปกังวลตรงนั้นมาก

การสร้างโลกในภาพยนตร์ของผู้กำกับที่ยึดติดกับ ’ความจริง’ จริงๆ

จริงๆ โดยพื้นฐานของตัวเรา เราว่าเราเป็นคนขี้เสือก ชอบสนใจชีวิตคนนู้นคนนี้อยู่แล้ว เลยชอบที่จะคุยกับคน ไปสัมภาษณ์ และนั่งฟังเขา นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ไม่ว่าจะทำอะไร ทั้งงานโฆษณา มิวสิกวิดีโอ หรือสารคดี เรามักจะเริ่มทำงานจากพื้นฐานตรงนี้ก่อน และพอก่อนหน้านี้เราคลุกคลีกับงานที่มันเรียลิสติกมากๆ อย่างการทำสารคดี มันทำให้เรากลายเป็นคนที่ต้องการเห็นอะไรที่มันมีความจริงๆ อยู่ อย่างถ้าเราออกกองแล้วต้องถ่ายกรีนสกรีน (Green Screen) ไอ้พวกที่ต้องเอาภาพมาซ้อนทีหลัง เราจะกลัวมาก เพราะเรานึกภาพไม่ออกว่าพอเสร็จแล้วภาพจะออกมาสมจริงไหม เราจึงต้องสะกดจิตตัวเองมากๆ ตอนที่กำกับ หรือคุยกับนักแสดง เพราะฉะนั้นการที่เราได้เห็นโกดังของจริง โลเคชันจริง สายพานการทำงานจริงๆ รวมไปถึงนักแสดงที่ทุ่มเทอยู่กับบทบาทมากๆ อยู่ สิ่งเหล่านี้มันช่วยเรามากๆ ในการกำกับ เพราะเราเป็นคนยึดติดกับสิ่งที่มันจริงมากๆ มันจะช่วยให้เรามีความมั่นใจกับสิ่งที่กำลังจะทำมากยิ่งขึ้น ถ้าต้องไปทำแบบคนอื่นที่มาเลย ถ่ายฉากกรีนสกรีนให้หมด เราคงนอยเลย

ความโคตรจริงในพาร์ตของ Art Direction

ที่เปลี่ยนความคิดของผู้กำกับที่เคยกลัวความไม่สมจริง

โจทย์ที่ยากสำหรับเราอีกอย่างคือพาร์ตของ Art Direction ซีรีส์เรื่องนี้มันมีความหลากหลายของโลเคชันมาก มีโลกหลายใบ เริ่มจากเหมืองทรายที่ลำปาง, ทัวร์จีนในเยาวราช และห้วยขวาง, โลกของเสี่ยจางที่เซี่ยงไฮ้, โลกของรุ่ยเจี๋ยที่จีน, ธุรกิจของคณิน แล้วก็กลับมาทำธุรกิจขนส่งในโรงแรมต่อด้วยโกดังมหึมาของ Thunder

เราโชคดีมากที่ได้พี่แก่-ศราวุธ แก้วน้ำเย็น กับทีมพันธุ์ทางมาช่วยพาซีรีส์เรื่องนี้ให้มาถึงจุดนี้ได้ เราเองก็ไม่เคยกล้าคิดมาก่อนว่าจะสร้างโลกขึ้นมาใหม่ขนาดนี้ แต่ว่าพี่แก่กับทีมพา Art Direction ไปไกลกว่าที่เราคิดไว้มากจริงๆ ทั้งเพนต์เฮาส์ของเสี่ยจางที่ออกมาเซอร์เรียลไปเลย และโกดัง Thunder ที่ใหญ่โต และใช้งานได้จริงๆ

ส่วนเหมืองทรายที่ลำปางเป็นของจริง เพียงแต่เราสร้างบ้านของเถ้าแก่ขึ้นมา ซึ่งอันนี้เป็นอีกอย่างที่เราเรียนรู้มากๆ ปกติเราทำสารคดี เราจะไม่กล้าคิดอะไรแบบนี้เลย เราชอบทำงานกับโจทย์ที่มีข้อจำกัด เราจะยึดติดอยู่กับโลเคชันที่มีอยู่ พอบอกว่าให้สร้างบ้านตรงเหมืองทราย เราก็จะกลัวว่ามันจะไม่น่าเชื่อถือหรือเปล่า แต่พอได้ทำซีรีส์เรื่องนี้เราเลยได้เรียนรู้ว่ามันทำได้ คือทีมเขาพร้อมจะสร้างทุกอย่าง และทุกคนก็มีฝีมือมากพอที่จะทำให้มันเกิดขึ้นจริง และพอสิ่งเหล่านี้มันจริงมากๆ ก็จะกลับมาสร้างความน่าเชื่อถือ และความมั่นใจให้กับนักแสดงรวมถึงตัวเราเองด้วยในฐานะผู้กำกับ

เหล่านักแสดงที่ต้องทะลุทะลวงศักยภาพของตัวเอง

เราโชคดีที่ได้นักแสดงที่เข้าขากันมากๆ เราว่าสิ่งหนึ่งที่ไอซ์ซึ – ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์ (รับบท สันติ) กับพลัง โลกศิลป์ (รับบท รุ่ยเจี๋ย) มีร่วมกันคือทั้งคู่เป็นคนที่มีแพสชันมากๆ คนหนึ่งคือนักแสดงที่ทุ่มเทให้กับงานทุกงาน ส่วนอีกคนเป็นคนที่ทุ่มเทให้โอเปรามากๆ คืออาชีพนักโอเปราแม่งฝึกซ้อมกันแบบนักกีฬามืออาชีพเลย ต้องซ้อมวันหนึ่ง 7-8 ชั่วโมง ดังนั้นสองคนนี้เลยรีเลตกับตัวละครได้ไม่ยากเลย 

จริงๆ ตัวละครรุ่ยเจี๋ย เราก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากคนจริงๆ เหมือนกัน เขาเป็นคู่หูของบุคคลต้นเรื่อง เรารู้สึกว่ามันพีกมากเลยนะที่มีคนแบบรุ่ยเจี๋ย อยู่บนโลกนี้ด้วย และการตัดสินใจอะไรต่างๆ ของเขาก็ค่อนข้างสมเหตุสมผล เหมือนคนๆ นี้แหละที่เป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนพาบริษัทเล็กๆ นี้ไปถึงจุดที่ควรจะเป็น คาแรกเตอร์นี้เป็นตัวละครที่เขียนง่ายที่สุดเลยสำหรับเรา เพราะเห็นภาพเขาชัดมาก อาจจะเพราะว่ามันมีความสุดโต่งมั้ง เขาชัดเจนในการกระทำ และคำพูดของตัวเองมาก และเราก็โชคดีที่ได้เจอพลัง ซึ่งเราเจอเขาในรายการหนึ่งของไทย พีกไหม (หัวเราะ) ก็เลยชวนเขามาเแคสติง โชคดีมากที่เขาอยู่เมืองไทยพอดี จริงๆ เขาเป็นนักร้องโอเปราที่มีชื่อเสียงมาก และเป็นนักแสดงคอเมดีที่จีนด้วย ซึ่งตัวละครนี้มันยากเหมือนกันที่จะทำให้คนรัก แต่เราว่าพลังเขาทำได้

ส่วนไอซ์ เราว่าผลงานของเขามันตอบทุกคำถามเลยว่าทำไมต้องเป็นเขา เราเคยร่วมงานกับเขาตอนเป็นผู้ช่วยผู้กำกับในภาพยนตร์ One for the Road (2021) คือไอซ์ทุ่มเททำงานแบบเต็มร้อย เกินร้อยไปไม่รู้เท่าไหร่ ตัวละครของสันติ คือคนที่ต้องแบกความทะเยอทะยาน แล้วมีแพสชันในดวงตามากๆ ในขณะที่ต้องเป็นนักแสดงที่เอาซีรีส์ทั้งเรื่องอยู่ด้วย อีกอย่างที่สำคัญ คือต้องพูดภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว เพราะจุดแข็งของสันตินอกจากเรื่องไหวพริบแล้ว คือการพูดภาษาจีนได้ เรานึกไม่ออกว่าจะเป็นใครได้เลย แต่พอลบเรื่องการพูดภาษาจีนได้ออกไป หันซ้ายหันขวาก็นึกถึงแต่ไอซ์ คนที่เด่นเข้ามาในหัวเลย คือเขา จริงๆ ตอนแรกก็กังวลมากว่าไอซ์จะเล่นได้ไหม เพราะเรื่องที่ผ่านมาการเตรียมตัวของเขามันเป็นเรื่องทางกายภาพทั้งนั้นเลย ฟิตซ้อม อดอาหาร เล่นโยคะ โกนหงโกนหัว แต่เรื่องนี้มันยากเหมือนกันนะ เพราะไอซ์พูดภาษาจีนไม่ได้เลย เราต้องมาลุ้นว่ามันจะท่องจำได้ไหม แต่เรื่องนี้ไอซ์ใช้วิธีแบบจำเสียงเอาทั้งหมด เราจะมีโค้ชภาษาจีนซึ่งเขาจะถอดไดอาล็อกที่เป็นภาษาจีนทั้งหมดออกมาเป็นวิดีโอว่าแต่ละคำพูดอย่างไร ความหมายคืออะไร และส่งไปให้ไอซ์จำ

ตอนเราไปออกกองที่ต่างจังหวัดกัน มีอยู่เช้าวันหนึ่งซึ่งไม่มีถ่ายทำด้วย เราตื่นขึ้นมา 6 โมงได้ยินเสียงไอซ์ท่องไดอาล็อกจากห้องข้างๆ คือไอซ์มันฟังจนจำได้แล้วว่าคำไหน พยางค์ไหนต้องเน้น แต่ถ้ามีคนจีนไปคุยด้วยมันพูดไม่ได้นะ 

ตลอดระยะเวลาที่เราออกกองกันตั้งแต่ต้นจนจบ เราไม่เคยต้องคัต เพราะว่าไอซ์พูดผิดเลย แล้วเราไม่ได้ใช้วิธีถ่ายหนึ่งประโยคแล้วหยุดเพื่อไปท่องแล้วมาถ่ายใหม่นะ พอเรารันกล้องถ่ายทั้งซีน ไอซ์จะพูดยาวไปทีเดียวเลย ขนาดบางซีนเป็นโมโนล็อกที่ยาวมากๆ เราก็ถ่ายทั้งเทคโดยไม่ได้คัตเลย คือมันต้องทำงานหนักขนาดไหนถึงทำได้ขนาดนั้น เราเลยมองว่าเรื่องนี้ไอซ์ปลดล็อกตัวเองไปอีกขั้นหนึ่ง คือมันไม่ใช่เพียงเรื่องกายภาพแล้ว มันสุดยอดมากๆ เลย

ในฝั่ง Thunder เราก็คิดหนักมากว่าจะเอาใครมาเล่นดี ถ้าตัวละครสันติจะต้องสู้กับใครสักคน มันไม่ควรเป็นคนแบบเดียวกัน ตัวละครสันติจะมีลูกบ้า แบบโกรธ พุ่ง ชก แต่ตัวละครอีกฝั่งมันคงต้องกวนตีน และมีความรีแลกซ์อะไรบางอย่าง หากเป็นมนุษย์คนละประเภทคงจะสนุกกว่าคนหัวแข็งมาชนกัน เราเลยเลือก ‘พีช- พชร จิราธิวัฒน์’ (รับบท เคน) เพราะเห็นการเติบโตของเขาจากเส้นทางการแสดงเรื่องอื่นๆ และอาจจะเพราะว่าพีชมีพื้นเพด้านธุรกิจ ทำให้เขามีความเข้าใจในเรื่องนี้มากกว่านักแสดงคนอื่นด้วย ไม่ใช่เพราะว่าเขาเคยเล่นหนังเรื่องวัยรุ่นพันล้านมาก่อนนะ (หัวเราะ)

Netflix สร้างมาตรฐานใหม่ในวงการโปรดักชันไทย

เราคิดว่า Netflix เอามาตรฐานใหม่เข้ามาสู่วงการโปรดักชันไทยเลยแหละ มองเห็นจากการที่เราเป็นคนทำหนังไทย ที่ผ่านมาด้วยงบประมาณที่จำกัด การถูกเร่งรัดเรื่องเวลา หรือไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้ชาวโปรดักชันทำงานหนักกันจริงๆ ต้องการเวลาชีวิตที่มากกว่าปกติ

แต่ Netflix ก็พยายามที่จะปรับใช้ระบบแบบโกลบัล (Global) ในเรื่องของมาตรฐานความปลอดภัย เรื่องเวลาทำงาน หากทำงานเกิน 12 ชั่วโมงก็จะมีโอทีให้ ถ้าถ่ายติดกันต้องมีเวลาพักที่เหมาะสม คุณภาพชาวกองจึงดีขึ้นนิดหนึ่ง แต่ก็จะแลกมาด้วยความซับซ้อนในฝั่งงานจัดการ (Management) เรื่องเอกสารอะไรต่างๆ ก็จะมีขั้นตอนที่มากขึ้น 

เราคิดว่า Netflix ทำให้คุณภาพงานมันมีทิศทางที่ดีขึ้นกว่าโปรดักชันไทยก่อนหน้านี้

การนั่งอยู่ในห้องตัดต่อเหมือนเรากำลังเอาตัวรอดจากการจมน้ำ

การทำหนังมันแปลกมาก เพราะเราจะไม่รู้สึกอะไรเลยตอนดูงานในดราฟต์สุดท้าย (หัวเราะ) อาจจะเพราะก่อนจะมาถึงขั้นตอนนี้เราดูไปไม่รู้กี่รอบแล้ว จะไปรู้สึกอีกทีตอนที่ได้เห็นว่าคนดูรู้สึกยังไงในสิ่งที่เราเล่า แต่การทำงานดราฟต์แรกจะเหี้ยเสมอ มันเป็นสิ่งที่คนทำงานต้องยอมรับ และกล้ำกลืน ที่จะดูงานตัวเองในดราฟต์แรกแล้วรู้สึกว่ากูทำอะไรลงไปวะ ทำไมมันดูอุบาทว์แบบนี้ (หัวเราะ) แล้วหลังจากนั้นเราก็จะขลุกอยู่ในห้องตัดแล้วจัดการมัน พยายามจะแก้ไขให้มันดีขึ้น

Woody Allen (ผู้กำกับหนัง) เคยบอกว่าการอยู่ในห้องตัดต่อมันเหมือนเรากำลังเอาตัวรอดจากการจมน้ำ ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ เราต้องหน้าตั้งอยู่กับการแก้ไข ลองสลับไปมา ดูวนซ้ำ ทำเสียง ใส่สี อยู่อย่างนั้น พอมาถึงไฟนอลมันจึงไม่ใช่ความรู้สึกว่าโคตรดีเลย แต่เป็นความรู้สึกแบบ เสร็จสักที (หัวเราะ)

ตัวละครสันติและซีรีส์มาเพื่อบอกว่า ทำเถอะ ทำไปก่อน อย่าไปกลัวว่าจะล้มหน้าฟาด

สิ่งที่ทำให้สันติประสบความสำเร็จ คือความกล้าได้กล้าเสียของมันนะ ตอนที่เราได้ไปสัมภาษณ์คนต้นเรื่อง เราถึงเข้าใจว่าเพราะเขาคิดแบบนี้ เขาถึงทำได้ คือเขาไม่มีความประนีประนอมกับอะไรเลย กล้าชนกับทุกอย่าง คือเขาไม่กลัวล้มเลย มันจะมีคำพูดที่ว่าการโตขึ้นแบบคนเท้าเปล่า วิ่งไปบนพื้นแบบไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวเลอะ สันติมันเป็นแบบนั้น และพาตัวเองไปสู่จุดนั้นได้จากสิ่งที่มันเป็น

จริงๆ ตัวละครสันติ และซีรีส์เรื่องนี้มาเพื่อบอกกับทุกคนว่า ‘ไม่ต้องกลัวอะไรเลย’ มันมีคนที่ใจกล้าหน้าด้าน มุทะลุ วิ่งหัวชนกำแพงจนทะลุแล้วเดินขึ้นที่สูง คือเราไม่ได้จะบอกให้ใครทำตาม แต่อย่างน้อยหากใครมีความต้องการที่จะทำอะไรบางอย่างไม่ว่าจะเล็ก หรือใหญ่ในชีวิต ซีรีส์เรื่องนี้คงพอที่จะส่งพลังให้คนเหล่านั้นได้ว่าทำเถอะ ทำไปก่อน อย่าไปกลัวว่าจะล้มหน้าฟาด

มีทีมงานที่อินจนถึงขั้นลาออกไปทำบริษัทเอง เป็นคนเขียนบทที่เป็นพนักงานประจำ เขาเขียนบทกับเราในเรื่องนี้ แล้วมันจะมีประโยคหนึ่งที่เอามาพูดคือ ‘กูจะถอนขนไก่เว้ย’ ซึ่งมาจากในเรื่องนั่นแหละ เปรียบเทียบว่าการถอนขนไก่กับถอนขนนกกระจอกใช้เวลาเท่ากัน แต่ถอนขนไก่ได้เนื้อเยอะกว่ามาก หมายถึงว่าคุณต้องเลือกเป้าหมายให้ดีว่าในระยะเวลาที่เท่ากันจะทำอะไรเพื่อได้ผลที่มากกว่า หลังจากจบโปรเจกต์นี้เขาเลยลาออกแล้วไปทำบริษัทของตัวเอง 

การทำซีรีส์เรื่องนี้เหมือนยืนอยู่ตรงจุดศูนย์กลางพายุขนาดใหญ่

แต่เมื่อพายุผ่านพ้นไปเราได้เรียนรู้อย่างมหาศาลจริงๆ 

เรารู้สึกเหมือนได้มาเรียนมหาวิทยาลัยอีกรอบหนึ่งเลยแหละ เราใช้เวลาทำซีรีส์เรื่องนี้เกือบ 4 ปี พอมันเสร็จก็รู้สึกเหมือนได้ใบปริญญาตรีอีกใบหนึ่งเลย มันมีสิ่งที่ต้องตัดสินใจเยอะมากๆ ในระหว่างทาง แล้วเราก็ทำพลาดทุกวัน ก่นด่าตัวเองอยู่ทุกวัน จนคนรอบตัวบอกมึงเลิกด่าตัวเองได้แล้ว มึงไม่ได้ทำพลาดขนาดนั้น ทีมงานก็พยายามที่จะซัพพอร์ตเราอย่างเต็มที่ 

เรารู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งเรียนรู้การว่ายน้ำฟรีสไตล์จากในบทเรียน แล้วถูกโยนลงในทะเลอันดามันเลย เราเรียนรู้จากการทำงานครั้งนี้อย่างมหาศาลมาก แม้เราจะเคยทำงานโปรดักชันมาก่อน แต่กับงานนี้มันมีสเกลที่ใหญ่กว่า ทั้งการทำงานกับต่างประเทศ ตัวละครพูดภาษาจีน และยังอยู่ในรูปแบบซีรีส์อีก ทุกอย่างเป็นเรื่องใหม่สำหรับเราและทีมงานไปหมดเลย พวกเราเลยเหมือนได้กระโจนมาทำเรื่องนี้ และเติบโตไปพร้อมๆ กัน ตลอดเส้นทางก็มีอุปสรรคหลายอย่าง มีความบีบคั้น ความกดดันมหาศาล รู้สึกได้เลยว่าตัวเองโตขึ้นมากๆ หลังจากทำซีรีส์เรื่องนี้

หากถามว่าเราได้เรียนรู้อะไรบ้าง คงจะตอบไม่หมดเพราะมันเยอะมากจริงๆ เรารู้สึกเหมือนตัวเองมาอยู่ตรงจุดศูนย์กลางพายุขนาดใหญ่แบบงงๆ แต่สิ่งหนึ่งที่เราดีใจ คือทีมงานที่ร่วมทางกันมาเขามีความสุขกับงาน และหากซีรีส์ฉายออกไปแล้วพวกเขาพึงพอใจ เท่านี้ก็เป็นความสำเร็จส่วนตัวของเราอีกอย่างหนึ่งแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่พอจะการันตีได้ว่าพวกเขามีความสุขกับการร่วมทีมกัน คือเรื่องใหม่ที่เรากำลังทำอยู่ หลายคนก็ยังเป็นทีมเดิม แปลว่าเราคงไม่ได้ทำแย่กับเขามากมั้ง เขาถึงเลือกที่จะไปต่อด้วยกัน และอีกอย่าง คือคนที่เขาให้โอกาสเราทำงาน เขาไม่ได้ผิดหวังว่าสุ่มไอ้นี่มาทำแล้วงานเละ เพียงเท่านี้เราก็พอใจแล้ว

ส่วนเรื่องที่ว่าคนดูในวงกว้างจะรู้สึกอย่างไรกับสิ่งนี้ เราคงไม่อาจคาดหวังได้ เราทำได้แค่ทำงานให้ดีที่สุดเท่านั้นแหละ

AUTHOR