“ขอแค่คุณรักบ้านเกิดของตัวเองก็พอ” เขต เส็งพานิช กับการดีไซน์บางมูลนากให้กลายเป็นเมืองน่าอยู่

ความฝันอยากย้ายกลับไปใช้ชีวิตสุขสงบที่บ้านเกิดต่างจังหวัดคงเป็นความฝันของใครหลายคน 

หนึ่งในนั้นคือ ‘เขต เส็งพานิช’ คนที่อยู่อาศัยในบางมูลนากตั้งแต่เด็ก แต่ออกไปศึกษาเล่าเรียนและประกอบอาชีพที่กรุงเทพ เมื่อกลับมาทำให้เขาเห็นว่าสังคมที่นี่เริ่มกลายเป็นสังคมผู้สูงวัยมากขึ้นทุกวัน ตรงข้ามกับภาพฝันชีวิตในอุดมคติโดยสิ้นเชิง

บางมูลนาก คือชุมชนเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดพิจิตร ในอดีตมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก เพราะเป็นย่านการค้าสำคัญ มีพื้นที่ราบลุ่มที่อุดมสมบูรณ์ แถมยังมีเส้นทางรถไฟสายเหนือที่ทำให้ชุมชนแห่งนี้คึกคักอย่างคาดไม่ถึง

แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ทำให้ช่วง 40 ปีที่ผ่านมาชุมชนบางมูลนากทั้งซบเซาและทรุดโทรม คนหนุ่มสาวเลือกที่จะออกไปอาศัยในกรุงเทพที่สะดวกและตอบโจทย์การใช้ชีวิตมากกว่า เศรษฐกิจของชุมชนจึงเงียบเหงาและร่วงโรยไปตามกาลเวลา  

ในฐานะเป็นลูกหลานของคนบางมูลนาก เขาจึงอยากทำให้คนรุ่นใหม่กลับมาพัฒนาบ้านเกิดของตัวเอง แน่นอนว่าไม่ง่าย เพราะความเชื่อที่อยากให้บางมูลนากกลายเป็นเมืองน่าอยู่ ต้องใช้พลังกายพลังใจอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงรวมกลุ่ม 4 ชุมชนของจังหวัดพิจิตร นั่นคือบางมูลนาก ตะพานหิน ท่าฬ่อ และวังกรด มาช่วยกันฟื้นฟูบ้านเกิดตัวเองอีกครั้ง โดยการจัดทำหนังสือ ‘พิจิตรไม่เป็น(เมือง)รอง’ 

ฟ้าหลังฝนย่อมจะมีสิ่งดีๆ ใหม่ๆ เข้ามาเสมอ ปัจจุบันอะไรหลายอย่างก็เริ่มดีขึ้น บางมูลนากที่เคยหลับใหลกำลังจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้น เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการเปลี่ยนแปลงเมืองตัวเองในแบบที่อยากให้เป็นได้ จากการที่ลูกหลานเริ่มทยอยกลับมายังถิ่นฐานบ้านเกิดของตัวเอง เพื่อให้บางมูลนากกลายเป็นเมืองน่าอยู่ และไม่เป็น (เมือง) รองใครอีกต่อไป

ก่อนหน้าที่จะกลับมาพัฒนาบ้านเกิด คุณเคยทำอะไรมาก่อน

ย้อนกลับไปช่วงวัยเด็ก ครอบครัวผมให้ความสำคัญเรื่องการเรียนมาก คนที่บ้านเรียนเก่งกันทั้งบ้าน แต่ผมอาจจะได้ยีนส์ด้อย เป็นคนหัวไม่ดี เป็นเด็กเกเร (หัวเราะ) ก็เลยถูกส่งไปโรงเรียนดัดสันดาน ไปอยู่กับคุณอา (เมตตา อุทกะพันธุ์) ที่กรุงเทพ ตอนนั้นคุณอาเริ่มทำบริษัทอมรินทร์ ทำงานเป็นเด็กแบกของ ยกของ 

สิ่งที่ได้จากการทำงานที่อมรินทร์ไม่ใช่แค่เรื่องเงินเดือน แต่ได้ทักษะหลายๆ อย่างจากบริษัทที่วัดเป็นเงินไม่ได้ ผมอยู่ที่นั่นได้ประมาณ 30 ปี หลังจากนั้นก็กลับมาที่บางมูลนาก ทำให้รู้สึกว่าบ้านเกิดของตัวเองหงอยๆ และทรุดโทรมมาก 

จุดไหนที่ทำให้คุณรู้สึกอยากกลับมาพัฒนาบ้านเกิดตัวเอง

หลังจากที่อมรินทร์เปลี่ยนไป บวกกับว่าเห็นว่าคนอ่านหนังสือน้อยลง ตัวเราเองก็ไม่ได้ชำนาญทางด้านนี้ ตอนนั้นยังเป็นยุคอ่านหนังสือ แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปมาก เด็กไม่ค่อยได้อ่านหนังสือเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราอยากกลับมาทำที่บ้าน ตอนนี้ก็กลับมาอยู่บ้านเต็มตัวประมาณ 5-6 ปีแล้ว 

โปรเจกต์การทำหนังสือเกี่ยวกับบ้านเกิดของตัวเอง เริ่มขึ้นด้วยความรู้สึกแบบไหน 

มาจากการที่ผมไม่ได้อยู่ในพื้นที่ กลับมาบ้านเกิดตัวเองแต่ละครั้งเราไม่รู้เรื่องอะไรเลย หลายๆ คนมักมองว่าบ้านเกิดของตัวเองธรรมดา ไม่มีไรเลย คุณกลับไปดูสิ ผมมั่นใจว่ามีแน่นอน หนังสือ ‘พิจิตรไม่เป็น(เมือง)รอง’ และ ‘บางมูลนากบ้านของเรา’ ต้องการบอกให้เด็กรุ่นต่อไปรู้ว่าบ้านเกิดของตัวเองมีอะไรบ้าง และถ้าเราทำก็น่าจะเป็น Role Model ให้กับอีกหลายๆ ที่ได้ 

การที่ผมทำหนังสือขึ้นมา เพราะผมมั่นใจว่าการอ่านเป็นการสร้างชาติ ถ้าคนในบ้านเมืองเราอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นอีกสัก 20-30 เปอร์เซนต์ บ้านเมืองจะดีกว่านี้ คุณภาพคนจะดีกว่านี้ ไม่มีประเทศไหนที่เจริญแล้วเขาไม่อ่านหนังสือกัน ประเทศที่เจริญแล้ว มีแต่หนังสือดีๆ ทั้งนั้นเลย

คุณชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็กเลยไหม

ไม่เลย เป็นเด็กที่เกลียดหนังสือด้วยซ้ำ ตอนเด็กโดนบังคับให้อ่าน แต่หนังสือเรียนไง หนังสือเรียนมันน่าเบื่อ มาเริ่มอ่านหนังสือเยอะขึ้นช่วงที่ได้เข้าไปทำงานที่อมรินทร์ตอนอายุ 19 ทำให้เราได้เห็นว่ายังมีหนังสืออีกหลากหลายที่สนุกมาก 

ผมชอบอ่านหนังสือเยาวชน อย่างเช่น โมโม่ (Momo), สวนเที่ยงคืน (Tom’s Midnight Garden), ในสวนลับ (The Secret Garden), ชายชราแห่งท้องทะเล (The Old Man and the Sea), โจนาธาน ลิฟวิงสตันนางนวล (Jonathan Livingston Seagull) อีกอย่างคือพอเราเริ่มทำอาชีพที่ต้องอยู่กับหนังสือ เหมือนเป็นการบังคับตัวเองให้อ่านหนังสือไปด้วย ถ้าเราไม่รู้จักของแล้วเราจะขายได้ยังไง หนังสือก็เหมือนกัน

ผมมองว่าการอ่านเป็นสิ่งสำคัญ ทุกวันนี้ข้อมูลเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ถ้าคุณปรับตัวไม่ทัน หลงอยู่กับข้อมูลชุดเดิมๆ มันไม่ได้ อายุ 60 ก็ต้องอ่านหนังสือนะ มันไม่ใช่แค่เรื่องของการอ่าน มันเป็นเรื่องของ Upskill และ Reskill ที่คุณต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต 

โครงการแจกหนังสือตามสถานที่ต่างๆ เกิดขึ้นจากอะไร

เริ่มจากที่คุณอาอยากให้คนอ่านหนังสือก็เลยมีโครงการปันความรักด้วยความรู้ เอาหนังสือจากในสต๊อกรวบรวมจากหลายสำนักพิมพ์แจกเด็กที่ด้อยโอกาส ผมก็เอาสิ่งนี้มาต่อยอด  แต่ละคนอาจจะตอบแทนบ้านเกิดไม่เหมือนกัน สำหรับตัวผมเองคือการทำหนังสือ เพราะเราอยู่กับสิ่งนี้มาโดยตลอด เราลงขันกันเองกับพรรคพวก ทำแล้วเอาไปแจก นำไปวางที่สถานีรถไฟบ้าง ตามร้านคาเฟ่บ้าง ห้องสมุดชุมชนบ้าง จริงๆ แล้วเราอยากจะทำอะไรที่สนุกกว่านี้ด้วยซ้ำ สิ่งสำคัญคืออยากให้เด็กๆ กลับมาอ่านหนังสือ

เมื่อ 30 ปีที่แล้ว อมรินทร์เป็นร้านหนังสือเดียวที่มีเก้าอี้ให้นั่งอ่าน ซึ่งเคยโดนคนปรามาสว่าทำร้านหนังสือแบบนี้จะไม่เจ๊งเหรอ คนอ่านไม่ซื้อแล้วร้านจะอยู่ไหวเหรอ แต่คุณอาเคยบอกผมว่าคนที่มีกำลังซื้อเขาสามารถซื้อไปได้เลย แต่คนที่อยากอ่านแล้วไม่มีกำลังซื้อ เราจะไม่ให้เขาอ่านเหรอ คนที่เขาอยากอ่านหนังสือ สักวันถ้าเขามีรายได้ เขาก็จะกลับมาซื้อร้านเรา เพราะฉะนั้นแรกๆ ยอดมันอาจจะไม่ดีหรอก แต่มั่นใจว่าเขาจะกลับมาซื้อเราแน่ๆ เรามีมุมให้นั่งอ่านเลย อ่านได้ อย่าขโมย คนอ่านหนังสือจะไม่ขโมยหนังสือ แต่คนที่ขโมยจะไม่ค่อยได้อ่าน

การอ่านสำคัญกับการพัฒนาเมืองยังไงในมุมมองของคุณ

ในยุคปัจจุบันผมรู้สึกว่าคนสมาธิสั้นขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้คนถูกโซเชียลแพลตฟอร์มต่างๆ มาครอบหัว โฟกัสได้ไม่นาน แต่การอ่านหนังสือ คุณต้องอ่านอย่างต่อเนื่อง ต้องมีสะพานความคิด จินตนาการไปกับการอ่าน ผมรู้สึกว่าเราข้ามขั้นตอนของการเรียนรู้ไป ไม่ผิดหรอกที่จะปรับให้เป็นโลกดิจิทัล ทันสมัย เพียงแต่ว่าพื้นฐานต้องเริ่มจากการอ่าน สโลแกนของอมรินทร์ คือการอ่านคือรากฐานที่สำคัญ คุณต้องอ่านเป็นก่อน เมื่ออ่านเป็นคุณจะวิเคราะห์ได้

นอกจากโครงการปันความรักด้วยความรู้ เราก็อยากจัดเป็นกลุ่มนั่งเสวนา เอาคนที่เขียนหนังสือมานั่งล้อมวงกับคนที่อ่านแล้วมาถกกันมาคิดยังไง มองว่าสิ่งนี้คือเป็นการให้คนมาแชร์มุมมอง วันดีคืนดีอาจจะมีหนังสือบางเล่มช่วยชีวิตคนก็ได้ 

ทุกวันนี้บางมูลนากเป็นยังไงบ้าง

ตอนนี้เราเจอปัญหาขาดแรงงานคน บางมูลนากอยู่ในจังหวัดพิจิตร น่าตกใจมากที่พิจิตรมีประชากร 500,000 คน แต่ตอนนี้มีประชากรผู้สูงอายุจำนวน 100,000 คนนิดๆ ซึ่งอีก 5-10 ปี ข้างหน้าประชากรผู้สูงอายุจะกลายเป็น 200,000 คน และจำนวนประชากร 500,000 คน จะลดลงเรื่อยๆ ด้วย เพราะเด็กรุ่นใหม่ๆ ไม่ค่อยอยากมีลูก หรือมีลูกน้อย ซึ่งถ้าปล่อยแบบนี้ไปเรื่อยๆ เมืองแย่นะ

ถ้ามองลงให้ลึกเข้าไปอีก บางมูลนากอาการหนักที่สุดในทั้งหมด 12 อำเภอของพิจิตร เราก็ได้ไปคุยกับนายอำเภอ ขอดูตัวเลขประชากรของบางมูลนากย้อนหลัง ปี 47 ประชากร 52,000 คน ปี 57 เหลือ 46,000 คน ปี 67 เหลือ 42,000 คน หมายความว่าใน 20 ปีที่ผ่านมาประชากรหายไป 10,000 คน ถ้าไม่ทำอะไรกับพื้นที่ก็จบนะ 

ตอนที่ได้ข้อมูลย้อนหลังมาแล้ว คุณตั้งต้นกับมันยังไง

เริ่มต้นผมตีออกมาเป็นสามเหลี่ยม อย่างแรกคือเศรษฐกิจ อย่างที่สองคือสังคม อย่างที่สามคือการศึกษาและการเรียนรู้ เราจะทำยังไงให้เมืองยังเดินหน้าไปได้ ซึ่งการเพิ่มจำนวนคนไม่น่าจะใช่สิ่งที่จะสามารถเพิ่มได้เร็วๆ เพราะคนก็ลดลงเรื่อยๆ ปัญหามีอยู่สองเรื่องหลักๆ คือผู้สูงอายุค่อยๆ เสียชีวิตไปเรื่อยๆ และคนหนุ่มสาวไม่อยู่ในพื้นที่ ดังนั้นเราจึงให้ความสำคัญเรื่องการศึกษามาก 

ที่ผ่านมาคนที่เรียนดีก็จะไม่อยู่ในบ้านเรา เข้ากรุงเทพกันหมด ผมเองก็ไปอยู่กรุงเทพมา 30 ปี ตอนที่เรากลับมาแรกๆ เราก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบางมูลนากเลย ทั้งๆ ที่เป็นบ้านเกิดของเราเองแท้ๆ ก็เลยไปทำหนังสือเพื่อให้คนได้รู้ คุณไม่อยู่ไม่เป็นไร แต่ขอแค่ให้ได้รู้แล้วกันว่าบ้านคุณมีอะไรบ้าง สักวันหนึ่งคุณอาจจะกลับมาคืนให้บ้านเกิดตัวเองเหมือนผมก็ได้

คุณเลือกที่จะพัฒนา 4 ชุมชนพร้อมกัน เพราะอะไร

ตอนแรกผมเริ่มทำจากบางมูลนากก่อน แต่ทำไปแล้วรู้สึกว่ายังอิมแพกต์ไม่พอ คิดว่าถ้าเรามีพันธมิตรโดยรอบน่าจะดีกว่า คนในพื้นที่มาช่วยกันรวบรวมทั้ง 4 ชุมชน คือ บางมูลนาก ตะพานหิน ท่าฬ่อ และวังกรด เป็น 4 เส้นกลางของจังหวัดพิจิตร เพื่อให้คนรู้ว่าจังหวัดเรามีอะไรบ้าง เพราะเป็น 4 ชุมชนที่เป็นแม่น้ำเดียวกัน ใช้รถไฟเดียวกัน และถนนก็เป็นเส้นเดียวกัน โจทย์ที่หนึ่งคือเราอยากเพิ่ม Productivity ให้กับผู้สูงอายุ โจทย์ที่สองคือเราจะทำยังไงให้นักท่องเที่ยวไม่ได้แค่มาถ่ายรูปแล้วกลับไป 

ความตั้งใจของคุณอยากให้คนมองพิจิตรเป็นยังไง

ถ้ามองเป็นนามธรรมนะ อยากให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ แล้วเราก็มาออกแบบกันว่าเมืองน่าอยู่มีอะไรบ้าง ผู้คน สถานที่ท่องเที่ยว อาหาร และการจราจรสะดวกไหม มีเรื่องราวประวัติศาสตร์หรือเปล่า คุณมีอะไรบ้าง ไม่ใช่อยู่ดีๆ เป็นเมืองใหม่ตั้งขึ้นมา เอาเงินใส่เข้าไป อย่างน้อยคุณต้องมีเรื่องเล่า หรือความ Nostalgia ความรู้สึกโหยหาอดีตต่างๆ 

จริงๆ แล้วผมเป็นภาคเอกชน ทำได้ระดับหนึ่ง แต่ที่เป็นปัญหาคือตอนขึ้นหน่วยราชการ เขาจะเข้ามาแค่ในช่วงที่ใกล้จะสำเร็จ อย่างเช่นตอนนี้ ซึ่งมันไม่ง่ายเลย แต่ละพื้นที่ที่ไม่สามารถทำขึ้นมาได้ เพราะไม่เข้มแข็งพอในภาคเอกชน ส่วนมากคนคิดได้แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะทุนไม่พอ บางทีคนในพื้นที่ก็ไม่เข้าใจนะว่าทำไปทำไม เปลืองเงิน เราระดมเงินมาช่วยกันเอง บางคนเขาก็เห็นด้วย บางคนเขาก็ไม่เห็นด้วย อย่างเราอยู่อมรินทร์ ก่อนออกมาเราเป็น CEO แต่ก็โดนชาวบ้านด่าทั้งๆ ที่ตั้งใจทำนะ เราอยากให้คนในพื้นที่มีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น แต่กว่าจะถึงวันนั้นเราก็ต้องสร้างก่อน 

‘เมืองน่าอยู่’ ในมุมมองของคุณเป็นแบบไหน 

สิ่งอำนวยความสะดวกของภาครัฐต้องมี อย่างเช่นในพื้นที่มีสายไฟระโยงระยาง มีหมาจรจัด มีนกพิราบ มีขยะเต็มไปหมดเลย สิ่งเหล่านี้ภาคเอกชนทำไม่ได้ ภาครัฐต้องเข้ามาช่วยจัดการ แต่เราก็ช่วยเท่าที่เราพอจะทำได้

ความเชื่อที่อยากให้บางมูลนากกลายเป็นเมืองน่าอยู่ ต้องใช้พลังกายพลังใจอย่างมากเพื่อให้มันเป็นไปได้

อาจจะต้องเบลนด์ระหว่างของเก่ากับของใหม่เข้าด้วยกัน ของเก่า คืออนุรักษ์ประวัติศาสตร์ของพื้นที่ไว้ ของใหม่ คือเรื่อง Smart City แต่คงไม่ใช่แค่เราที่คิดคนเดียว ต้องปรึกษาคนในพื้นที่ด้วยว่าอะไรที่ทำให้เมืองน่าอยู่บ้าง โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ว่าเขาอยากกลับมาอยู่ไหม อะไรที่เมืองเรายังไม่มี แล้วคุณอยากจะได้อะไร 

เราก็ต้องสร้างงาน สร้างรายได้ มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้เขา มีพื้นที่สาธารณะให้เขาได้จัดกิจกรรมต่างๆ ทำยังไงก็ได้ให้เขาสามารถอยู่ได้ คุณไม่จำเป็นต้องอยู่ในเมืองนี้ก็ได้ คุณทำงานที่ไหนก็ได้ สามารถทำได้ตลอดเวลา ซึ่งถ้าหากจะทำแบบนี้ได้ คนที่อยากจะพัฒนาคุณก็ต้องคิดให้เป็น ต้องคุยกับคนที่เขามีความรู้ แล้วคุณก็ต้องอ่าน 

ตอนนี้ทำไปถึงไหนแล้ว

อาจจะเหลื่อมๆ เกินครึ่งหนึ่งขึ้นมาหน่อย ช่วงแรกมันช้าเพราะอุปสรรคค่อนข้างเยอะ มีหลายพื้นที่ทรุดโทรมมาก ตอนที่ผมพยายามไปทำความสะอาด มีคนมาบอกว่าทางหน่วยมีโครงการจะมาทำเขื่อน จะรื้อบ้านริมน้ำออกให้หมด ซึ่งผมก็บอกว่าพื้นที่ตรงนี้เป็นประวัติศาสตร์นะ เป็นสถานที่ที่มีความทรงจำร่วม ถ้ารื้อออกความทรงจำเหล่านั้นก็หายไป เราก็พยายามจะอนุรักษ์พื้นที่ไว้

ช่วง 2-3 ปีแรกเราก็ถูกต่อต้านพอสมควร เพราะมีหลายคนไม่เข้าใจว่าเราทำไปทำไม แต่ช่วงนี้ถึงจุดตัดแล้ว เริ่มดีขึ้นก็จะเห็นว่าเริ่มมีหลายๆ คนวิ่งเข้ามาหา ไม่คิดว่าพิจิตรจะมีอะไรมากมายขนาดนี้ พิจิตรเป็นจังหวัดที่ล้อมรอบด้วยเมืองใหญ่ ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย การที่มีพื้นที่เล็กๆ ถ้าจะทำอะไรก็ทำไม่ยากนัก 

พิจิตรเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ทางการเกษตร และค่าครองชีพต่ำ เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ที่ยังไม่ถูกค้นหาอีกหลายเรื่อง ล่าสุดมีคนไปขุดเจอหม้อปั้นดินเผาใหญ่มาก คิดว่าน่าจะมีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการเคลื่อนทับ เพราะเราติดกับพิษณุโลก ซึ่งเป็นเมืองสองแคว เป็นหัวเมืองเหนือ น่าจะเป็นไปได้ว่าเป็นเส้นทางของกษัตริย์สมัยก่อน ตอนนี้เรากำลังจะชำระประวัติศาสตร์เมืองพิจิตรกันใหม่

ปรัชญาในการทำงานหรือการใช้ชีวิตของคุณคืออะไร

ปรัชญาของผมมีอยู่ 4 อย่าง

อย่างแรก คุณต้องเปิดใจให้กว้าง รับมุมมองของคนอื่นด้วย อย่าเอาตัวเองเป็นหลักอยู่คนเดียว

อย่างที่สอง คุณต้องมองโลกในแง่ดี 

อย่างที่สาม คุณต้องสรุปให้ได้ว่าแต่ละปีที่ผ่านมาเกิดอุปสรรคอะไรบ้าง ผ่านอะไรมาบ้าง แล้วปัญหาเหล่านี้แก้ด้วยอะไร ถ้าแย่ลงมันแย่ลงเพราะอะไร ถ้าดีขึ้นมันดีขึ้นเพราะอะไร อาจจะวัดเป็นตัวเลข หรือวัดที่ความรู้สึกบ้าง ข้อนี้สำคัญมาก คือเราต้องทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะจะได้กลายเป็นบทเรียนของเราในอนาคต

และอย่างสุดท้าย ในโลกนี้ไม่มีอะไรดีที่สุด ภาษาพุทธเรียกว่าอุเบกขา ถึงเวลาต้องทำให้ดี แม้บางครั้งผลที่ออกมาจะไม่ได้ดั่งใจแบบที่เราคิด แต่มันก็ไม่ใช่ความล้มเหลว มันเป็นเรื่องของประสบการณ์

รู้สึกเหนื่อยบ้างไหม อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณยังทำมันอยู่ในทุกๆ วัน

เหนื่อยมาก ทำไปสักพักรู้สึกเหมือนกันว่าทำไปทำไมวะเนี่ย (หัวเราะ) ผมมองว่าอาจจะเป็นเรื่องความไม่เข้าใจกัน ไม่เข้าใจยังไม่เท่าไหร่ ปัญหาคือสิ่งที่หลายๆ คนเจอในสื่อเป็นเฟคนิวส์ 

หนึ่งคือการที่เราทำขนาดนี้ เพราะเราจะมาตายที่นี่ เราจะมาเกษียณที่นี่ แล้วเราจะปล่อยให้บ้านเมืองเป็นแบบนี้เหรอ สองคือเรามีพื้นที่ของที่บ้าน ถ้าเมืองมันโทรมจะขายได้เท่าไหร่ ถ้าเมืองเจริญพวกคุณก็ได้ประโยชน์ทั้งนั้นเลยนะ ราคาที่ดินจะไม่ขึ้นเหรอ ตอนนี้ราคาที่ดินบางมูลนากมันขึ้นมากเลยนะ บางโซนแพงกว่าพิจิตรอีก สุดท้ายผมก็ทำเพื่อตัวเอง แต่ผมรอดแค่ตัวคนเดียวก็ไม่ใช่ ผมต้องมองภาพรวมด้วย ถ้าไปด้วยองค์รวมทุกคนก็จะแฮปปีกันหมด 

การที่คุณมีแพสชันกับการฟื้นฟูเมืองบางมูลนากขนาดนี้ คิดว่าเพราะอะไร มีคนรอบตัวในวัยเดียวกันคิดแบบคุณบ้างไหม

นั่นแหละคือปัญหา เพราะไม่ค่อยมี ผมก็เลยไม่รู้ว่าตัวเองแปลกหรือเปล่า (หัวเราะ) สำหรับผมอาจจะมาจากการที่คุณทวดมาจากเมืองจีน มาค้าขายที่นี่ มาร่ำรวยที่นี่ ทำให้มีเงินไปทำโรงสีของตัวเอง แพสชันของผมคืออยากจะเป็นตัวแทนของตระกูลในการตอบแทนบ้านเกิดเมืองนอน 

หลายๆ คนมักจะถามตัวเองว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไร อย่างน้อยตอนนี้ผมตอบตัวเองได้แล้วว่าเกิดมาเพื่อฟื้นฟูบ้านเกิดของตัวเอง เราเติบโตมาจากบางมูลนาก เชื้อสายที่ทำให้เราประสบความสำเร็จก็คือที่นี่ เราต้องตอบแทน อย่างน้อยผมก็นอนตายตาหลับ ตายไปแล้วไม่โดนเด็กรุ่นต่อไปด่า (หัวเราะ) 

ผมมองว่าการตอบแทนบุญคุณสำคัญที่สุด นอกจากตอบแทนบุญคุณคนแล้ว ก็ต้องตอบแทนบุญคุณบ้านเกิดของตัวเองสักครั้งในชีวิต ผมไม่ได้อยากให้ใครมาชื่นชมมากมายหรอก ขอแค่คุณรักบ้านเกิดของตัวเองก็พอ

PHOTOGRAPHER

นอยบอย

ช่างภาพที่ชอบนอยเพราะน้ำตาลตก 🥲