“I wanna Bangkok!”
ประโยคที่เป็นตลกร้ายจากภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง The Hangover Part II เมื่อปี 2011 กลายเป็นที่มาของแบรนด์ไทยซึ่งแสดงสปิริตของคนรุ่นใหม่ได้ดีที่สุดในตอนนี้
เราเห็นแบรนด์ IWANNABANGKOK ครั้งแรกประมาณ 4-5 ปีก่อนในร้านมัลติแบรนด์ใจกลางสยามสแควร์แห่งหนึ่ง
วินาทีแรกเราสะดุดตากับกราฟิกเท่ๆ แต่มองแล้วสบายตา วินาทีต่อมาเราถึงได้นึกออกว่าที่มาของชื่อแบรนด์คืออะไร
เออเนอะ…
ตลกดี
เราเดินออกมาจากร้าน แต่ภาพจำของแบรนด์ IWANNABANGKOK ยังคงฝังอยู่ที่ไหนสักแห่งในใจเรา
หัวเราะไปกับตลกร้าย

ภาพยนตร์เรื่อง The Hangove Part II มีฉากดำเนินเรื่องเป็นกรุงเทพมหานคร เป็นภาพยนตร์ตลกที่ติดอันดับบ็อกซ์ออฟฟิศ และได้รับการสร้างต่อรวม 3 ภาค
สำหรับเรา คำพูดๆ นี้ไม่ได้มีความหมายสลักสำคัญอะไร นอกไปจากเป็นกิมมิกของภาพยนตร์ แต่สำหรับผู้ก่อตั้งแบรนด์ IWANNABANGKOK แล้ว กลับเป็นขุมทรัพย์ทางความคิด
ผู้ก่อตั้งแบรนด์เล่าให้สื่อฟังบ่อยๆ ถึงไอเดียที่ปิ๊งขึ้นมาหลังจากได้ยินประโยคนี้ตอนที่เขาบอกว่ามาจาก ‘กรุงเทพฯ’
จริงๆ คงเหมือนกับประโยคอื่นๆ ที่ผู้ฟังมีความคิดเห็นแตกต่างกันไปตามแต่ละคน
หลายคนต้องขำกับอารมณ์ขันของตัวละคร บางคนอาจรู้สึกว่าหัวเราะทำไม แล้วคนที่อินหรือไม่อินกับตลกร้ายนี้คงมีอีกมาก
แต่ในมุมมองของเขา ‘I wanna Bangkok’ แสดงถึงความแมสของกรุงเทพฯ และประเทศไทยที่เป็นที่รู้จักของคนทั้งโลก!
จาก I Love New York, I am Amsterdam สู่ I wanna Bangkok

เมื่อเมืองต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต สิ่งหนึ่งที่ทำได้คือดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางเข้ามา แล้วนั่นก็เป็นยุทธศาสตร์ที่สร้างความมั่งคั่งให้กับหลายเมืองใหญ่ในโลก
กรุงนิวยอร์กมีสโลแกน ‘I Love New York’ ที่โปรโมตตั้งแต่ปี 1977 แต่ยังได้รับความนิยมมาถึงปัจจุบัน แม้ว่าเวลาจะผ่านมาเกือบ 50 ปี แต่เสื้อยืดและของที่ระลึกลาย I Love New York ยังคงเป็นของที่ระลึกอันดับหนึ่งไม่เปลี่ยนแปลง
ส่วนอัมสเตอร์ดัม เมืองหลวงกราฟิกสุดเท่ของเนเธอร์แลนด์ ก็สร้างประติมากรรมกลางแจ้งเป็นตัวอักษรที่เขียนว่า ‘I am Amsterdam’ เพื่อถ่ายทอดความคลาสสิก แต่ไม่เชยในแบบของเมือง จนนักท่องเที่ยวไม่ยอมพลาด ต้องถ่ายรูปกลับมากันเกือบทุกคน
แล้วเมืองหลวงของประเทศๆ หนึ่งในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ล่ะ?
ตลกร้าย ‘I wanna Bangkok’ จึงเป็นสิ่งที่ผู้ก่อตั้งแบรนด์หยิบขึ้นมาเป็นลูกเล่นในแคมเปญศิลปะ และพัฒนาต่อเป็นแบรนด์แฟชันและไลฟ์สไตล์ ‘IWANNABANGKOK’ ในภายหลัง
มุมมองใหม่ในการสร้างแบรนด์

จุดเริ่มต้นของคำว่า ‘แบรนด์’ มีรากฐานมาจากการตีตราลงบนสิ่งต่างๆ เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ เช่น สัตว์เลี้ยงในครอบครอง ดังที่พบในสุสานอียิปต์ซึ่งสร้างขึ้นก่อนคริสตกาล หลายครั้ง ‘แบรนด์’ จึงสื่อถึง ‘ความมั่งคั่ง’ แม้ว่าโดยพื้นฐานแล้ว คำว่า ‘แบรนด์’ ไม่ได้มีความหมายเกี่ยวกับขอบเขตราคาเลยก็ตาม
บุคลิกลักษณะของแบรนด์ที่ได้รับความนิยมเองก็เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ความหรูหราฟู่ฟ่าทำให้ผู้คนเหลียวหลัง แต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 โลกเกิดวิกฤตการณ์ขาดแคลนทรัพยากรด้านต่างๆ ความเรียบง่ายแต่ใช้ได้จริงจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับตอนนั้น
แล้วในปัจจุบันซึ่งโลกแห่งความจริงและความจริงเสมือนดูคล้ายกันจนแยกไม่ออกล่ะ? คำตอบที่ตรงใจที่สุดคงหนีไม่พ้น ‘ความจริงใจ’ ของแบรนด์
บุคลิกแบรนด์สมัยใหม่

เมื่อหลายปีก่อนอาจารย์ชาวญี่ปุ่นบอกกับเราว่า ‘คนรุ่นใหม่รู้สึกกับสิ่งต่างๆ เร็ว สุขเร็ว เศร้าเร็ว แต่ก็ลืมความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้เร็วเหมือนกัน’
เรามองว่าสิ่งนี้เป็นจุดแข็งที่สำคัญมาก คนรุ่นใหม่มีมุมมองต่อสิ่งต่างๆ อย่างเท่าทัน รู้สึกอย่างท่วมท้น แต่ก็มูฟออนจากความรู้สึกแย่ๆ ได้ในเวลาไม่นานอย่างที่เป็นเช่นในอดีต
ถ้า IWANNABANGKOK เป็น ‘คนๆ หนึ่ง’ เขาคงแสดงออกความรู้สึกนึกคิดตรงไปตรงมา มีอารมณ์ขัน และเปิดรับความหลากหลาย เหมือนกับดีเอ็นเอที่อยู่ในคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อย ไม่เพียงเท่านั้น IWANNABANGKOK ยังมีมุมมองที่เผ็ดจนเข็ดฟัน ทำให้ขึ้นแท่นแบรนด์ไทยอันดับหนึ่งได้ไม่ยากเย็น!
Ready, Steady, Go
ศิลปะคือการตั้งคำถาม
ส่วนการออกแบบคือการนำเสนอคำตอบ
IWANNABANGKOK มีความเป็นงานศิลปะที่มองเรื่องราวรอบข้าง แต่ก็นำเสนอไลฟ์สไตล์ที่เป็นทางออกของคนรุ่นใหม่ในเวลาเดียวกัน ที่ถูกใจเราที่สุดคือไอเทมขวัญใจไทย และเทศอย่าง ‘กางเกงมวยไทย’ ที่นำมาออกแบบใหม่ให้ทันสมัย และใส่ได้ในชีวิตประจำวัน
จากผ้าสีเข้มเป็นมันเงาแบบดั้งเดิม กลายเป็นผ้าเนื้อนุ่มใส่สบายสีฟ้าสดใส เหมาะสำหรับสวมใส่ในเมืองร้อนอย่างกรุงเทพฯ แล้วยังปักโลโก้ของแบรนด์เพื่อให้รู้ว่ามาจากกรุงเทพฯ กางเกงมวยเวอร์ชันของ IWANNABANGKOK โดนใจผู้ที่พบเห็น ขนาดขายหมดจนต้องรีสต๊อก
การเลือกใช้ผ้าเนื้อนุ่มที่ว่าสะท้อนให้เห็นว่าแบรนด์ไทยอย่าง IWANNABANGKOK มีแนวทางการออกแบบไม่แพ้แบรนด์นอกเลย ผ้าเทอรีเป็นผ้าที่ใช้ยาก ไม่เหมือนกับผ้าคอตตอนซึ่งตัดเย็บเป็นเครื่องแต่งกายได้เกือบทุกชนิด แต่ผ้าชนิดนี้ให้ฟีลพิเศษเป็นเอกลักษณ์ จากการที่มีเนื้อฟูคล้ายผ้าเช็ดตัว แต่นุ่มหรูประหนึ่งกำมะหยี่ เสื้อผ้าที่ใช้ผ้าเทอรีตัดเย็บได้จึงมีเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น Juicy Couture แบรนด์สุดนิชจากยุค 90 ออกแบบชุดเซ็ตราคาหลักหมื่นจากผ้าเทอรีที่ขายยาวมาจนถึงปัจจุบัน เจ้าของอาณาจักรฟาสต์แฟชันรายใหญ่อย่าง H&M ก็เลือกใช้ผ้าชนิดนี้ในคอลเลกชันพิเศษสำหรับฤดูร้อน
มองได้ว่าการปรับดีไซน์ไอเทมคลาสสิกให้มีลูกเล่นสมัยใหม่ถูกใจทุกคน เป็นการยกระดับวิธีคิดทางการออกแบบของ IWANNABANGKOK ให้โกอินเตอร์ได้สมบูรณ์แบบ!