It Takes Two เกม co-op โรแมนติกคอเมดี้ที่จะเชื่อมหรือฉีกความสัมพันธ์ก็ขึ้นอยู่กับคุณ

It Takes Two คือเกม co-op ที่เรียกตัวเองว่าเป็นเกมแนว action-adventure ในธีมโรแมนติกคอเมดี้ ถ้าดูจากแค่ประโยคนี้ นี่คงไม่ใช่เกมที่แปลกใหม่หรือน่าสนใจเท่าไหร่

ที่อาจจะพอทำให้เลิกคิ้วสงสัยได้บ้างคือคำว่า ‘โรแมนติกคอเมดี้’ เพราะนี่ไม่ใช่ธีมทั่วไปที่เกมมักหยิบมานำเสนอ ถึงอย่างนั้น ในหมวดเกม co-op หรือเกมแนว action-adventure คงต้องบอกว่าพวกเขามีคู่แข่งอีกมากมายก่ายกองในท้องตลาด

แต่ก็อย่างที่รู้กันว่า ‘เกม’ ไม่ได้ตัดสินกันได้ด้วยประโยคเดียว

เพราะเมื่อหลายคนได้ลองเล่น กลายเป็นว่านี่คือเกมที่ผสมทั้ง 3 สิ่งได้สุดจะลงตัว โดยเฉพาะระบบการเล่นเป็นคู่ที่ทำให้เกมนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘เกมแห่งมิตรภาพและคู่รัก’ จนส่งผลให้เกมที่มีอายุ 1 เดือนนี้ทำยอดขายไปกว่า 1 ล้านชุดและได้รับคะแนนรีวิวเกือบเต็มจากเว็บไซต์เกมแทบทุกสำนัก

ทำไมพวกเขาทำได้ขนาดนั้น–เรามาลองกดปุ่มสตาร์ทและหาเคล็ดลับความสำเร็จจากเกมนี้ไปพร้อมๆ กัน

It Takes Two

เข้าถึงง่ายด้วยความเป็นรอมคอม

เรื่องราวใน It Takes Two เริ่มต้นด้วยฉากที่ Cody และ May คู่สามีภรรยานั่งลงคุยกับ Rose ลูกสาวของพวกเขาว่าตอนนี้พ่อกับแม่ตัดสินใจแยกทางกัน

แม้จะเปิดด้วยเรื่องราวแสนขม ห่างไกลจากคำว่าโรแมนติกคอเมดี้ แต่เรื่องราวหลังจากนั้นต่างหากที่ทำให้โลกของเกมดึงดูดผู้เล่น เพราะหลังจากรับฟังพ่อแม่เสร็จ โรสได้หนีเข้าไปอยู่ในห้องพร้อมอธิษฐานต่อตุ๊กตาแฮนด์เมดตัวแทนของพ่อกับแม่ว่าอยากให้ทั้งคู่กลับมารักกันดังเดิม 

น้ำตาของโรสค่อยๆ ไหลหยดลงไปที่ตุ๊กตา แล้วเรื่องมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นเมื่อโคดี้และเมย์ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าพวกเขาทั้งคู่ได้กลายร่างเป็นตุ๊กตาแฮนด์เมดตัวจิ๋วสองตัวนั้น ทิ้งร่างมนุษย์ของพวกเขาให้นอนหลับใหลไม่ได้สติ

นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของเกม เมื่อคู่รักที่กำลังจะแยกทางกันต้องร่วมมือกันฟันฝ่าอุปสรรคเพื่อกลับเข้าร่างเดิม

It Takes Two

“การทำเกมที่มีธีมหลักเป็นแนวรอมคอมคือเรื่องท้าทายมาก” Josef Fares หัวเรือใหญ่ของ Hazelight Studios สตูดิโอผู้สร้างเกมได้ให้สัมภาษณ์ไว้ในเว็บไซต์ venturebeat 

“ก่อนหน้านี้เราเคยทำเกม co-op แบบนี้มาบ้าง แต่ทีมเราก็ตกลงกันว่าอยากพัฒนาเกมแนวนี้ขึ้นไปอีก เพราะเหตุนี้เราเลยคิดว่าคงไม่มีธีมไหนจะเหมาะสมเท่ารอมคอมอีกแล้ว แม้จะท้าทายมากเพราะแทบไม่มีเกมรอมคอมในตลาดใหญ่ แต่ความแตกต่างแบบนี้แหละคือสิ่งที่เราชอบและอยากลองทำดู”

เมื่อได้ลองเล่น คงไม่เกินไปนักที่จะบอกว่าโจเซฟและทีมดึงบรรยากาศความเป็นโรแมนติกคอเมดี้ออกมาได้อย่างเหนือความคาดหมาย

ตลอดเส้นทางที่โคดี้และเมย์ (หรือพูดให้ชัดคือทั้งคู่ในร่างตุ๊กตา) ผจญภัยไปด้วยกันในโลกแฟนตาซี แม้จะเพิ่งตกลงเลิกราแต่เราจะได้เห็นโมเมนต์คู่รักอย่างสม่ำเสมอผ่านองค์ประกอบของเกมที่บังคับให้ทั้งคู่ต้องช่วยกันหรือแม้กระทั่งจิกกัดกัน หากแต่บทของทั้งสองก็ถูกคิดออกมาในแนวเรียกรอยยิ้มมากกว่าก่นด่าซีเรียส ยิ่งเมื่อรวมกับภาพกราฟิกของเกมที่ทำให้เรานึกถึงแอนิเมชั่นของ Pixar ความรู้สึกฟีลกู้ดจึงเกิดขึ้นตามมาได้ไม่ยาก 

บรรยากาศแบบนี้แหละที่ทำให้ผู้เล่นเล่นเกมนี้ได้เรื่อยๆ โดยแทบไม่รู้สึกเหนื่อยอะไร คล้ายกับการดูหนังรอมคอมสักเรื่อง เพียงแต่ความต่างคือเราสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมเพื่อดำเนินเนื้อเรื่องตรงหน้าได้อย่างอิสระ

และอิสระที่ว่านี้ก็ถูกออกแบบให้สนุกและเพลิดเพลินสุดๆ ผ่านปฏิสัมพันธ์ที่มีร่วมกัน

It Takes Two

สองคนผจญภัยในโลกแฟนตาซีจิ๋ว

จากพล็อตเรื่อง It Takes Two จึงกลายเป็นเกมที่บังคับให้คุณเล่น 2 คนไปโดยปริยาย 

เอาเข้าจริง เกมที่เปิดโอกาสให้มีผู้เล่นมากกว่าหนึ่งคนไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เกมที่ ‘บังคับ’ ให้มีผู้เล่น 2 คนเพื่อผ่านด่านนั้นมีน้อยจนแทบนับจำนวนได้ ที่เป็นที่พูดถึงมากหน่อยก่อนหน้านี้คือ A Way Out เกมที่ให้ผู้เล่นร่วมกันแหกคุกเมื่อปี 2018 ซึ่งผู้สร้างก็คือ Hazelight นั่นเอง

แต่คราวนี้พวกเขาใจป้ำในระดับที่ว่าถ้าคุณเล่นเกมในคอมฯ ก็ไม่จำเป็นว่าผู้เล่นทั้ง 2 คนจะต้องซื้อเกมเพื่อติดตั้งลงในคอมฯ 2 เครื่องแล้วเล่นร่วมกันเหมือนอย่าง A Way Out แต่คุณสามารถซื้อเกมแค่คนเดียวและให้เกมกับใครก็ตามที่อยากเล่นด้วยไปเลยฟรีๆ อีกหนึ่งคน

จะเป็นคนรัก เพื่อน หรือคนในครอบครัว พูดง่ายๆ ว่าคุณสามารถเลือกให้ใครอีกคนมารับความสนุกเหล่านี้ไปพร้อมกันได้ โดยคนหนึ่งรับบทเป็นโคดี้ อีกคนรับบทเป็นเมย์ และออกผจญภัยไปด้วยกันจนถึงบทสรุป

ซึ่งระหว่างทางของเกมนี่เองที่เป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่ไม่มีใครเหมือน

แม้บอกว่าตัวเองเป็นเกมแนว action-adventure แต่แท้จริงแล้ว It Takes Two มีรูปแบบการเล่นหลากหลายมาก ตั้งแต่แนวไฟท์ติ้ง ชู้ตติ้ง ไปจนถึงพัซเซิล ทั้งหมดนี้ล้วนถูกสร้างขึ้นอย่างกลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของเกมอย่างไม่เคอะเขิน

ยกตัวอย่างเช่นฉากหนึ่งที่เราต้องยิงศัตรูภายในเกม ทีมผู้พัฒนาไม่ได้เลือกใช้ระบบเหมือนกับเกมทั่วไปที่ให้ผู้เล่นแต่ละคนช่วยกันยิงจนศัตรูตายหมด แต่ทีมงานออกแบบให้ผู้เล่นคนเดียวไม่สามารถทำลายศัตรูได้ ผู้เล่นคนหนึ่งต้องยิงสารเคลือบไปที่ศัตรูก่อน ผู้เล่นอีกคนถึงจะสามารถยิงซ้ำเพื่อให้เกิดการระเบิด ศัตรูถึงจะตายจริงๆ

หรืออีกฉากที่ต้องกระโดดหลบอุปสรรคคล้ายเกม Rockman ถึงจะเดินไปพร้อมกันแต่โคดี้และเมย์กลับไม่ได้ผ่านอุปสรรคแบบเดียวกัน เหนือไปกว่านั้นคือตัวละครทั้งสองจะต้องช่วยกันให้อีกคนผ่านไปได้ด้วย เช่น โคดี้ที่ต้องกดปุ่มเพื่อให้เมย์ผ่านไปก่อน ก่อนที่เมย์จะต้องส่งเชือกกลับมาเพื่อให้โคดี้กระโดดตามไป

It Takes Two

ที่สำคัญ แม้จะเหมือนมีเกมย่อยๆ ซ่อนอยู่จำนวนมาก แต่งานภาพและฉากหลังของทุกเกมก็สอดคล้องไปในทางเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นฉากห้องเก็บเครื่องมือช่าง หรือแม้กระทั่งอวกาศจำลอง 

“เคยเล่นเกมที่เนื้อเรื่องดีมากๆ แต่ดีไซน์เกมไม่ได้เรื่องบ้างไหม” โจเซฟตั้งคำถามต่อผู้สัมภาษณ์ก่อนอธิบายถึงหลักคิดในการออกแบบเกม

“พวกเราเห็นปัญหานี้เลยพยายามรวมทั้งสองอย่างเข้าด้วยกันให้ได้มากที่สุด เราไม่อยากให้ผู้เล่นมองว่าเกมนี้คือเกมที่ ‘เล่นสนุกนะ แต่เนื้อเรื่องช่างมัน โปรดักชั่นก็เฉยๆ’ นั่นทำให้ผมมักบอกกับทีมทุกครั้งว่าโมเมนต์ที่ดีของการเล่นเกมไม่ใช่แค่ความสนุก แต่มันคือประสบการณ์ทุกอย่างที่เรามอบให้คนเล่น ตั้งแต่ความแตกต่าง ฉาก การบรรยาย ไปจนถึงระบบ มันสำคัญมากที่เราต้องรวมทุกอย่างไว้ด้วยกัน”

การผสมกันอย่างลงตัวผ่านธีมที่โดดเด่นนี้เองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ปัจจุบัน เกมโรแมนติกคอเมดี้เกมนี้ได้รับความนิยมชนิดที่ผู้เล่นทั่วโลกต่างเทคะแนนให้เฉลี่ยสูงกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ 

แต่ว่ากันตามตรง อีกอย่างหนึ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกมเมอร์หลายคนหยิบเกมนี้ไปลอง คือกระแสของเกมที่ถูกขนานนามว่าเป็น ‘เกมบำบัดของคู่รัก’ (A Couple Therapy Game)’ ต่างหาก

ร่วมกันเล่นเพื่อชัยชนะ ไม่ใช่แข่งกันเพื่อชัยชนะ

“12 ชั่วโมงที่ฉันได้เล่นเกมนี้คือการบำบัดชีวิตคู่อย่างแท้จริง”

“นี่คือเกมที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ แต่จะดีขึ้นหรือแย่ลงนั้นขึ้นอยู่กับคุณ”

“เกมนี้ช่วยให้ฉันกับแฟนผ่านวันเวลาน่าเบื่อไปได้อย่างสนุกสนาน”

“เกมที่ช่วยกระตุ้นการหย่าเป็นแบบนี้นี่เอง เอาไป 10 เต็ม 10!”

นี่คือตัวอย่างของรีวิว It Takes Two ในแอพพลิเคชั่น Steam ที่ยืนยันเป็นอย่างดีว่าเกมนี้ทำงานกับความสัมพันธ์ของผู้เล่นขนาดไหน

ถ้าดูจากบริบทที่อธิบายไปก่อนหน้า จะเห็นได้ว่านี่ไม่ใช่คำชมหรือคำเปรียบเทียบที่เกินไปนัก แม้ฉากหลังและธีมของเกมจะออกมาน่ารักสดใสเรียกรอยยิ้ม แต่สุดท้ายในการผ่านด่านแต่ละด่านก็ต้องอาศัยการร่วมมือกันของผู้เล่นอยู่ดี 

เช่น มีอยู่ฉากหนึ่งที่โคดี้ต้องสร้างจุดกระโดดให้กับเมย์เพื่อให้เธอกระโดดข้ามผ่านด่านได้ และจุดกระโดดนี้ต้องถูกสร้างอย่างพอดิบพอดี ไม่เร็วหรือช้าเกินไป เพราะไม่งั้นเมย์จะตกลงไปด้านล่างและต้องเริ่มต้นเล่นด่านนี้ใหม่ทั้งหมด

It Takes Two

คิดตามง่ายๆ ว่าขนาดตัวเราเองเล่นเกมไม่ผ่านบางทีก็หงุดหงิดมากแล้ว แต่ในกรณีนี้การ ‘ผ่านหรือไม่ผ่าน’ นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราคนเดียว แต่เป็นเรื่องของผู้เล่นทั้งสอง ดังนั้นสำหรับเกมเมอร์หัวร้อน เกมนี้สามารถกระตุ้นให้คุณหงุดหงิดได้อย่างง่ายดาย แต่ในทางตรงกันข้าม สถานการณ์เดียวกันนี้เองก็บังคับให้ผู้เล่นต้องสื่อสารกัน ส่งสัญญาณเพื่อให้จังหวะ หรือแม้กระทั่งกล่าวเตือนเมื่ออีกฝ่ายทำผิด เหล่านี้ล้วนเรียกร้องความอดทน การให้อภัย และการร่วมมือกันในระดับสูง 

แต่ก็เพราะความยากลำบากที่ต้องจับมือและปรับจูนกันนี่เองที่ทำให้เมื่อสำเร็จ ความรู้สึกดีของผู้เล่นจึงสูงขึ้นตามไปด้วย

และที่ดีไปกว่านั้นคือความรู้สึกดีนี้เราไม่ได้ได้รับอยู่คนเดียว

“เรื่องเหล่านี้แหละคือรางวัลของเรา” โจเซฟทิ้งท้ายถึงเรื่องนี้ตอนที่เขาให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อเกมออกวางจำหน่าย

“พวกเราชอบเสมอเวลาได้เห็นคนเล่นเกมของเรา ไม่ว่าจะคู่รัก เพื่อน หรือคนในครอบครัวที่เล่นเกมและผ่านเรื่องราวต่างๆ ไปด้วยกัน พวกเขาต่างได้มีโมเมนต์ที่ดีร่วมกัน และนั่นก็คือโมเมนต์ที่ดีที่สุดในชีวิตของคนทำเกมอย่างเราเลย”

“แล้วคุณคิดยังไงกับการที่มีหลายคนบอกว่าเกมนี้ทำให้บางคนทะเลาะกันก็มี” 

“ในมุมมองของผม ผมมองกว้างกว่านั้นนะ ความเป็นครอบครัวหรือความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่เราควรตั้งคำถามในทุกวันอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าอะไรบางอย่าง เช่น เกม สามารถทำให้คุณเข้าใจคนข้างๆ คุณได้ ผมว่ายังไงมันก็เป็นเรื่องดีในระยะยาว

“เพราะสำหรับผม ความสัมพันธ์ไม่ใช่สิ่งที่ต้องรู้ แต่เป็นสิ่งที่เราต้องตระหนักและเข้าใจมากกว่า”

ถึงตรงนี้ เราคงไม่สปอยล์ตอนจบของเกมว่าจะจบลงยังไง โคดี้และเมย์จะกลับคืนร่างได้หรือเปล่า และโรสจะกลับมามีรอยยิ้มอีกไหม แต่เพราะองค์ประกอบของเกมที่สมบูรณ์แบบนี้ สิ่งหนึ่งที่เรากล้ายืนยันได้คือการตระหนักและเข้าใจซึ่งกันและกันจะเกิดขึ้นผ่านการเล่นเกมเหมือนอย่างที่โจเซฟบอกไว้

ส่วนผลสุดท้าย ณ เวลานั้นจะออกมาดีหรือแย่ เราว่าความสัมพันธ์ของคนอาจเหมือนกับเกมตรงนี้เอง นั่นคือคุณมีสิทธิเลือกตอนต่อไปได้ ขอแค่คุณตัดสินใจร่วมกันกับคู่ของคุณก็พอ

It Takes Two

AUTHOR