***บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของหนัง***
เราอาจได้พบกับหนังบางเรื่องเพื่อเรียนรู้ว่าโอ้ โลกนี้ช่างกว้างขวางและงานศิลปะก็มหัศจรรย์ได้ถึงขนาดนี้เลย และเราก็อาจจะได้วนกลับมาดูหนังเรื่องนั้นอีกครั้งในวันที่สามารถทำความเข้าใจมันได้อีกแบบหนึ่ง ภาพยนตร์สักเรื่องคงไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้ดูครั้งเดียวกระมัง มันถึงได้ให้ความหมายที่แตกต่างออกไปในแต่ละช่วงเวลา
‘หว่อง กาไว’ ผู้กำกับที่เป็นแรงบันดาลใจให้เหล่าคนรักหนังทั้งหลาย เขา คือผู้สร้างความเป็นออริจินัลในภาพยนตร์ของตัวเองจนกลายเป็นสไตล์แบบหว่องๆ และขึ้นแท่นเป็นบุคคลผู้มีอิทธิพลอย่างสูงให้กับคนทำหนังในยุคถัดมา
เนื่องในโอกาสที่โลกเคลื่อนมาจนถึงช่วงเวลาที่เส้นทางของความหลากหลายได้ถูกถางออก สังคมตระหนักรู้ถึงความสำคัญของสิทธิเสรีภาพในการเป็นตัวของตัวเองของมนุษย์ เราจึงอยากมาพูดถึงภาพยนตร์ที่ไร้ซึ่งกาลเวลาอย่าง ‘Happy Together (1997)’ หนังโปรดในดวงใจของใครหลายๆ คน ว่าด้วยเรื่องคู่รักชายหนุ่ม ‘ไหลเยี่ยฟา’ (เหลียงเฉาเหว่ย) และ ‘โหเป่าหวัง’ (เลสลี จาง) ที่ออกเดินทางจากฮ่องกงมุ่งสู่อาร์เจนตินาเพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า และมีจุดมุ่งหมายที่จะไปยืนอยู่ตรงน้ำตกอีกวาซูด้วยกัน
แต่ความแร้นแค้นทั้งทางการเงินและความสัมพันธ์ทำให้ทั้งคู่เผชิญกับวิบากกรรมของการ ‘เลิกรา’ และ ‘เริ่มต้นใหม่’ ไม่รู้จบ

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวสุดเรียบง่ายไม่ได้มีคอนฟลิกต์ที่มหัศจรรย์พันลึกอะไร เมื่อเทียบกับหนังความสัมพันธ์ที่พลิกมุมกลับปรับมุมเล่ามาไม่รู้กี่กระบวนท่าในโลกสมัยใหม่
แต่หากเราย้อนไปในปี 1997 ภาพยนตร์เรื่องนี้ผงาดขึ้นมาในฐานะหนัง LGBTQ+ ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งโดยที่มันไม่ได้พูดถึงความเป็นเควียร์ของตัวละครแม้แต่น้อย เพียงแต่พูดถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์อย่างดำดิ่ง โดยที่เหตุและผลไม่เคยเป็นเรื่องเพศของพวกเขาเลย หนังไม่ได้พาตัวละครไปตั้งคำถามอะไรทั้งนั้น พวกเขาเพียงแต่เผยให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่พันเกี่ยวกันอินุงตุงนัง โดยไม่ต้องเป็นภาพแทนของใคร
ด้วยเหตุนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้จึงทรงพลังและตีแผ่ความหลากหลายด้วยตัวของมันเอง
และไม่ว่าจะผ่านมากี่สิบปีเรื่องราวสุดคลาสสิกเรียบง่าย แต่ร้าวลึกนี้ก็ยังข้ามเวลามากัดกินหัวใจของคนดูด้วยท่วงท่าและลีลาอันมาก่อนกาลนิรันดร์ และการที่บทความนี้ถูกเขียนขึ้นในช่วงเวลาที่หนังมีอายุ 28 ปีแล้ว อาจเป็นเครื่องยืนยันคำกล่าวข้างต้น

ล่องลอยไร้จุดหมายในโลกที่พวกเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่ง
รักแต่ก็ขัดสนเหลือเกิน
จุดที่โดดเด่นที่สุดของ Happy Together (1997) คือมันอนุญาตให้เราประจันหน้ากับความจริงแบบไม่ประนีประนอม สร้างโลกที่ตัวละครติดแหงกอยู่ในโลกต่างแดนโดยไร้ซึ่งเงินทอง พวกเขาแปลกแยกทั้งในเรื่องของวัฒนธรรมและความสัมพันธ์ มนุษย์สองคนต้องย้ายชีวิตมาอยู่ห่างไกลจากบ้านคนละซีกโลก พยายามมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสถานที่ใหม่ ลอยเคว้งอยู่โดยไม่สามารถยึดเกาะอะไรได้เลย นอกจากมือของกันและกันกับจุดหมายที่ต้องไปด้วยกันอย่าง ‘น้ำตกอีกวาซู’

แต่ความสัมพันธ์คงไม่อาจผลิบานชื่นมื่นในสภาวะที่แห้งคอดขนาดนี้ พวกเขาไม่อาจรักในสภาวะที่นั่งอยู่บนรถเก่าที่พังกลางคัน จำต้องกอดรัดกันหลังจากอารมณ์ฉุนเฉียวจากแรงทบทวีคูณในใจที่ใหญ่ยิ่งอยู่ในซอกหลืบห้องเล็กรูหนู
และไม่ว่าตัวละครจะแสดงพฤติกรรมอันชวนอีหยังวะต่อกันมากแค่ไหน แต่สายตาของผู้กำกับก็พาเราไปถลกเนื้อหนังมังสาของตัวละครให้เหลือเพียงแก่นแกนของมนุษย์ผู้สับสนและหลงทิศ
เราจะเข้าใจ ไหลเยี่ยฟา (เหลียงเฉาเหว่ย) ได้เป็นอย่างดีว่าเหตุใดเขาถึงติดอยู่ในวงจรอุบาทว์ หรือที่เรียกกันแบบสมัยใหม่ว่า Toxic Rerationship อยู่อย่างนั้น อาจเป็นเพราะมนุษย์จำเป็นต้องพึ่งพิงใครอีกคนไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแต่คนๆ นั้นดันวายป่วง
ขณะเดียวกับที่เราจะนึกภาพออกว่าทำไม โหเป่าหวัง (เลสลี จาง) วนกลับมาขอเริ่มต้นใหม่และจากไปเป็นลูปเดิมอย่างไม่รู้จบ เพราะไหลเยี่ยฟาเองก็เป็นบ้านหลังเดียวที่เขามีอยู่ที่นี่ ในสถานที่ที่ไม่มีไหล่ให้เขาพิงแม้สักไหล่เดียว เขาจึงกลับมาด้วยเหตุผลเดียวกัน เพราะมนุษย์จำเป็นต้องพึ่งพิงใครอีกคนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่มนุษย์ดันล้วนวายป่วงด้วยกันหมด

เพราะความรักนั่นแหละ สุมไฟในใจให้ทะลุทะลวงด้วยความชัง
ความรักอาจคือสิ่งเลวร้ายที่สุดที่คุณจะได้พบเจอ แม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะใช้ชื่อว่า Happy Together แต่ในระหว่างทางไม่มีตัวละครไหนที่จะมีความสุขด้วยกันเลย ช่างย้อนแย้งเสียเหลือเกิน ฉากที่ตัวละครดูจะมีความสุขที่สุดดันเป็นตอนที่เขาหลุดพ้นจากพันธนาการของความรักเสียมากกว่า

เรื่องราวในหนังดำเนินไปด้วยการรักจนชัง แยกย้ายและกลับมาเริ่มต้นใหม่พร้อมการเกลียดชังกว่าเดิมทุกครั้ง เราจะได้เห็นภาพของความบันดาลโทสะที่มนุษย์คนหนึ่งจะกระทำต่อใครอีกคนหนึ่งได้ เพียงเพราะสเปซที่มีต่อกันหดกลืนหายด้วยคำว่าคู่รัก ตัดสลับกับการปลอบโยนอย่างใกล้ชิด ภาพหัวแนบอิงแอบซบไหล่ปรากฏขึ้นมาบ่อยครั้ง สิ่งเหล่านี้อาจเป็นหนึ่งในความพิศดารของความรัก เราไม่อาจรับมาแค่ความฉ่ำหวานยามใคร่ แต่เราต้องยอมโอบรับความแห้งแล้งยามน้ำแห้งคอดมาด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นกลไกที่เราอาจจะรู้ แต่พร้อมจะกลืนมันลงไป

ดอกไม้จะผลิบานในตอนแรกเริ่ม ยืนระยะ และร่วงโรยในที่สุด ความรู้สึกของมนุษย์นั้นแสนเข็ญ เรารัก เราคาดหวัง เปิดเปลือยส่วนที่เป็นมนุษย์ที่สุดให้คนรักเห็น ใช้ทุกด้านอารมณ์ที่ไม่เคยขุดคุ้ยเจอมาก่อน เมื่อเรารักมาจนเต็มปรอท ความรู้สึกอื่นใดก็เริ่มที่จะผสมกลมกลิ้งเข้าไป จนสามารถที่จะเกลียดในสิ่งที่ตัวเองรัก แต่ยังคงรักนั่นแหละถึงได้เกลียด ความชิบหายวายป่วงอยู่ตรงนั้น

ถึงแม้จะรู้อย่างนั้นแต่การเต้นรำจำเป็นต้องใช้คนสองคน เขาเต้นรำด้วยกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ด้วยกันอย่างไร พวกเขาเพียงแต่ปรารถนาที่จะกลับบ้าน แต่ไม่มีบ้านให้กลับ และต่างฝ่ายต่างเป็นบ้านที่แตกพังให้แก่กันและกัน ดังนั้นทางที่จะเดินไปมันถึงได้มีแต่ความเจ็บปวดสวนทางกับชื่อหนัง
หว่อง กาไวทำหนังเรื่องนี้ขนานไปกับช่วงเวลาที่อังกฤษคืนเกาะฮ่องกงให้กับจีนในปี 1997
เมื่อมีคนถามว่าเขารู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์นี้ เขาบอกว่าหนังเรื่องนี้คือความคิดเห็นของเขา
A Story about Reunion
เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะ
พอมานั่งแคะ แกะ เกาดูแล้วหนังเรื่องนี้ล้วนพูดถึงการหวนคืนกลับของสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ของคู่รักที่พยายามจะเริ่มต้นใหม่กลับมาอิงอาศัยกัน เช่นเดียวกันกับการคืนเกาะฮ่องกงให้กับจีนที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้ฮ่องกงกลายเป็นโลกอีกใบ ภายใต้การปกครองแบบ 1 ประเทศ 2 ระบบ จากที่เหินห่างกันมาแสนนานจนความสัมพันธ์แห้งกรัง
ตัวละครเดินทางมาอาศัยอยู่ที่อาร์เจนตินาซึ่งก็มีข้อพิพาทกับอังกฤษเรื่องหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ และอาร์เจนตินาพ่ายแพ้ เอาเกาะกลับคืนมาไม่ได้ หนังเรื่องนี้จึงไม่ได้เพียงแต่บอกเล่าเรื่องราวของคนหนุ่มที่ระหกระเหินเดินดิน แต่บรรจุเอาห้วงความคิด ความรู้สึก ความระส่ำระส่ายของตัวผู้สร้างที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในถิ่นที่อยู่เอาไว้ เป็นร่องรอยความสับสนภายในของราษฎรคนหนึ่ง

ในท้ายที่สุดหลังจากที่ชิงรักหักสวาทกันมาครึ่งค่อนเรื่องก็ถึงคราที่ต้องขมวดแลนดิงลง ไหลเยี่ยฟาฝากฝังความเศร้าของการจากลาไว้ในเครื่องอัดเสียงแล้วเดินไปสู่จุดหมายคนเดียว ณ
‘น้ำตกอีกวาซู’ สถานที่ที่น้ำไหลเวียนมาบรรจบกัน แน่นอนว่าเราไม่ได้เห็นภาพของ ไหลเยี่ยฟา ดื่มด่ำกับธรรมชาติอย่างอิ่มสุข แต่กลับเป็นภาพความหนักหน่วงของธรรมชาติ ที่สาดกระเด็นอย่างกราดเกรี้ยวจนหน้าเปียก สภาพของเขาที่ยืนอยู่ตรงนั้นดูเป็นผู้ประสบภัยมากกว่าเป็นใครที่เดินมาถึงจุดมุ่งหมาย ดังนั้นจุดหมายแห่งการไหลเวียนมาบรรจบจึงอาจไม่น่าอภิรมย์เหมือนภาพฝันเท่าไหร่นัก สิ่งอื่นๆ ที่กล่าวมาก็คงเช่นเดียวกัน

หลังจากผ่านฉากที่เหมือนจะเป็นตอนจบมาแล้ว หนังก็ยังถูกยืดออกไปอีก หว่อง กาไวทำอย่างนี้เสมอในหนังหลายๆ เรื่องของเขา เราเตรียมจะลุกแล้วคิดว่าจบแน่ แต่ไม่ หนังพาเราก้าวไปอีกหลายขยัก เพื่อมุ่งสู่บทสรุปอื่นที่นอกเหนือจากที่เราเคยคาดการณ์ไว้
หนังพาตัวละครกลับมาบ้านแห่งใหม่ที่ไม่ใช่ถิ่นเดิม มายังไต้หวันซึ่งเป็นดินแดนที่เสรีกว่า พาร์ตนี้ของหนังเป็นส่วนที่ค่อนข้างเป็นเอกเทศจากส่วนอื่นๆ หลังจากที่เราโดนฟรีซอยู่ในความหนืดหน่วงมาตลอดทั้งเรื่อง ในพาร์ตนี้เราจะได้ดูความมีชีวิตชีวา การเคลื่อนไหวของผู้คน บ้านเมือง การไหลไปข้างหน้าสู่พื้นที่แห่งใหม่ สู่อิสรภาพ คลอไปกับเสียงเพลง Happy together ในเวอร์ชันของ Danny Chung แม้จะยังอยู่ในสภาวะที่สับสนอลหม่าน แต่ชีวิตก็ยังต้องเดินทางไปในบทถัดไป
อ้างอิง
หนังสือ The Cinema of Wong Kar – Wai