หอมกลิ่นเหลือเกิน จะสูดเข้าไป ฉันอยากหายใจ เอาไว้ให้มากพอ
“เพลงนี้ผมแต่งให้ผู้หญิงคนหนึ่ง ผมชอบอยู่ใกล้เธอคนนี้มาก เพราะตัวหอม แต่คนชอบเอาไปตีความถึงกัญชา อาจจะด้วยความเป็นผมมั้ง” ผู้แต่งเพลงเล่าถึงที่มาความโรแมนติก หน้ายิ้มฟินด้วยท่าทางเขินอาย ก่อนจะหัวเราะเห็นฟันอย่างน่ารัก
ผมทรงเดรดล็อกส์ยาวถูกเกล้าเป็นมวย ร่างผ่ายผอมในกางเกงวอร์มทะมัดทะแมง ถุงเท้าชมพูแป๊ดข้างหนึ่งเป็นรูปม้าลาย อีกข้างหนึ่งสีขาวไม่มีรูปม้า มีแต่ลาย หากไม่รู้ว่าเขาทำอาชีพอะไร อาจเดาคำตอบแรกว่าเป็นนักไถสเก็ต แต่ผิดถนัดเพราะคนตรงหน้าเรา เขาเป็น ‘เจ้าแห่งเร็กเกสกา’ ต่างหาก
‘แก๊ป-เจษฎา ธีระภินันท์’ นักร้องนำวง T-Bone กำลังเดินวนรอบงานไม้ของตัวเองอย่างปลื้มปริ่ม เขาว่าเจอท่อนไม้ทั้งหลายนี้ลอยมาติดริมฝั่งทะเล บ้างก็ล้มระเนระนาดที่สวนบริเวณบ้าน ณ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
คงจะมีอะไรในโลกนี้
คงจะมีพลังอะไรในโลกนี้
ด้วยความอยากรู้ว่าเป็นไม้ชนิดไหน ประกอบกับเห็นค่าความแห้งกรังว่าจะทำให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ แก๊ปเริ่มใช้ความรู้ช่างศิลป์ที่ติดตัวมาขัดถูไม้จนขึ้นเป็นรูปร่างพร้อมความตื่นเต้น เอ่ยปากชักชวนรุ่นน้องให้มาช่วยเติมสีสัน
และเพราะคนในแวดวงเดียวกันที่รู้ใจเขาดี งานวาดส่วนใหญ่ถึงมีแม่สีอย่างเขียว แดง เหลือง เผยให้เห็นความโคตรจะ ‘ราสตา’ ออกมา (อดใจอีกหน่อย เดี๋ยวคุณจะได้รู้แน่ว่าคำนี้คืออะไร) เช่น เก้าอี้ไม้ไร้พนักพิงตัวสูงในชื่อ ‘กล่องดวงใจใต้ตูด’ ลิ้นชักหน้า ‘บ็อบ มาร์เลย์’ ตำนานผู้บุกเบิกเร็กเกเพื่อชนผิวดำ ภาพวาดปกอัลบั้มเพลง ไม้ไร้ฝั่งทั้งหมดเยอะถึงขนาดที่เขาเอามาสร้างเป็นบ้านต้นไม้ได้
ไม่ต่ำกว่า 3-4 ปีที่แก๊ปบรรจงสร้างเฟอร์นิเจอร์ไม้ จนไม่ได้แยกร่างไปจับงานดนตรี ทำให้ต้องวางมือจากเลื่อย แล้วกองเศษไม้เอาไว้ ก่อนที่อกจะระเบิดออกเป็นเสียงเพลง กระทั่งวันหนึ่งรุ่นน้องมาหาที่บ้านและได้เห็นงานชุดนี้ เขาทักประโยคสะกิดใจแก๊ป “เฮ้ย! พี่ปล่อยให้มันเลอะเทอะแบบนี้ไม่ได้นะ เสียของหมด เราตั้งใจทำแล้ว พี่ต้องเอาไปอวดสิ”

นิทรรศการ ‘Jahdub Stido Music Food & Wood’ ถึงปรากฏขึ้นใน Dreamgraff Gallery ดนตรีเพลงดั๊บดังเป็นจังหวะให้คนโยกตาม อาหารพื้นบ้านรสโปรดของแก๊ป และงานไม้ที่ไฟส่องถึงตั้งตระหง่าน เราถามไถ่เจ้าของนิทรรศการถึงมวลบรรยากาศงานวันแรก “ทำตัวไม่ถูกเลย เราต้องยืนตรงไหนวะ คือภาพที่เราจำมามันต้องมีประธานเปิดแบบทางการ เลยคิดว่าต้องเป็นแบบนั้นหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็ไม่เลย เราบอกแค่เปิดแล้วนะครับ (หัวเราะ) เพราะมันเป็นงานง่ายๆ ไม่ใช่ดูแล้วหลับตาขึ้นสวรรค์”
“ไม่เหมือนตอนขึ้นเวทีเล่นคอนเสิร์ตเหรอ” เราถามต่ออย่างสงสัย หากเป็นแก๊ป T-Bone บนเวที ภาพที่ออกมาจะเป็นพลังอันล้นเหลือ ถือไมค์โยกไหล่ซ้ายทีขวาทีตามจังหวะ “เวลาขึ้นเวทีก็เป็นอีกคน เราขึ้นไปปลดปล่อยมัน แม้แต่ดนตรีที่ทำกับ T-Bone ก็จะเป็นเรกเก้ แต่พอทำเดี่ยวเป็นดั๊บที่ลึกลงไปอีก ผมเป็นคนมีความชอบหลากหลาย แต่จะให้มันกรอบอยู่ในสิ่งที่คล้ายๆ กัน ทำงานไม้ก็จะมีสิ่งที่เกี่ยวกับความเป็นตัวเอง คือศิลปะ และผลงานที่สร้างออกมา”
งานศิลปะมีบทบาทกับแก๊ปอย่างไร
“จริงๆ เราเรียนศิลปะไม่จบ เพราะตอนใกล้จะจบดันเดินไปบอกอาจารย์ว่าผมไม่เรียนแล้ว ก็ไม่ชอบจะให้ทนอยู่ได้ยังไง ทำไมกูเลือกสิ่งที่อยากเรียนอย่างเดียวไม่ได้ เรามาเรียนศิลปะเพราะไม่อยากเรียนวิชาการ แค่บังเอิญนั่งรถเมล์ผ่านโรงเรียนช่างศิลป์ เห็นเขาใส่ขาสั้นนั่ง Drawing กัน เฮ้ย! อยากเรียนที่นี่ว่ะ” แก๊ปเว้นช่วงหายใจ “มันเลยคำถามไปเยอะเลยเนอะ ว่าแต่คำถามคืออะไรนะ” แก๊ปทำทั้งห้องระเบิดเสียงหัวเราะ

ท้องทะเลมีคลื่นลม
มีคนจิตใจไหวหวั่น
เราไม่ได้ทึ่งกับคำตอบที่เขาว่าไม่อยากเรียนแล้ว แต่ความอุกอาจกล้าเดินไปบอกอาจารย์โทงๆ ต่างหาก ทำเอาอดคิดไม่ได้เลยว่าเด็กชายแก๊ปมีนิสัยแบบไหน
ด.ช.แก๊ปต่างจากนายแก๊ปในวัยนี้ไหม
“ตอนเด็กๆ น่ารักครับ (หัวเราะ) เราโชคดีที่ยายเป็นคนเลี้ยงซะส่วนใหญ่ เขาเป็นคนต่างจังหวัดจะเลี้ยงเราแบบเชยๆ สอนแบบเชยๆ ให้เรามีสันดานที่ดีและเอาตัวรอดได้ จากความประพฤติของเราที่หนีออกจากบ้านถึง 3 ครั้งตั้งแต่เด็ก ไปใช้ชีวิตอยู่ในสลัม ทั้งที่ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยนะ แค่เบื่อที่คนในบ้านหัวโบราณ”
“แต่ถ้าเทียบกับตอนนี้ก็ลำบาก เราเลี้ยงตัวเองด้วยสิ่งที่รัก พอมาคิดๆ แล้วก็เออว่ะ เราอยู่ได้ยังไงวะ ถ้าพรุ่งนี้กูเป็นห่าอะไรขึ้นมาเนี่ยจะเอาเงินจากที่ไหน เพราะบางทีทำงานด้วยใจก็ไม่สำเร็จหรอก”
“ไอ้คำว่าสำเร็จของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันอีก อย่างเราเจอรุ่นพี่ หรือคนรุ่นเดียวกัน พวกเขาจะดูเป็นคนที่เลี้ยงครอบครัวได้ มีภูมิฐาน มีพระเครื่องห้อยคอ กูยังสะสมสติกเกอร์อยู่เลย (หัวเราะ) แต่ทุกคนมีสิทธิ์เลือกวิถีที่จะมีความสุขได้ แค่ต้องบาลันซ์ชีวิตให้ดี” ระหว่างที่แก๊ปหนีออกจากบ้าน เขากลายเป็นเด็กพเนจรอยู่ตามสลัมต่างๆ ทดลองขายขนมปังสังขยาเลี้ยงชีพ ตำแหน่งยามก็ทำมาแล้ว แต่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าครอบครัวตามตัวเจอได้ยังไง
ทว่าวัยเรียนก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผนวกเข้ามาให้แก๊ปทำการปฏิวัติชีวิต จากเด็กท้องทะเลสู่เด็กเมืองหลวงที่ความสัมพันธ์กับคนคราวเดียวกันไม่ราบรื่นเท่าไหร่นัก แก๊ปถูกข่มถุยใส่นับครั้งไม่ถ้วน แต่เขาเองก็ไม่เคยโต้ตอบทางคำพูดแม้สักนิด นอกเสียจากจะไว้ผมยาวเฟื้อยไม่ยอมหวี กระทั่งมันกลายเป็นทรงเดรดล็อกส์เอกลักษณ์เด่นอย่างที่เห็น เขาอวดด้วยว่าไม่ได้ใส่เจลจัดแต่งเลยด้วยซ้ำ ฟังดูอาจไม่มีอะไรพิเศษ แต่นี่เป็นวิถีนักสู้ในแบบของแก๊ปว่าตนแตกต่าง หยามไม่ได้ ภายในใจส่งเสียงดัง “เดี๋ยววันหนึ่งพวกมึงก็รู้”
และพ.ศ.2535 วง T-Bone ก็ถูกจุดประกายขึ้นจากเด็กท้องทะเลคนนี้

เสียงมนต์รักเพลงสกา
ช่วยพาให้พบกัน
เราถามว่าความฝันแรกของแก๊ปคืออยากเป็นนักดนตรีหรือเปล่า เขาส่ายหน้าว่าเดิมทีเขาไม่ได้คิดจะเป็นนักดนตรี อาชีพแรก คือดีไซน์เนอร์ด้วยซ้ำไป “สมัยก่อนเราก็เคยทำงานประจำ แล้วทุ่มเทฉิบหายเลยแต่สุดท้ายมันเฟล ถ้าเรารู้ตัวว่าทำไม่ได้และคงทำได้ไม่ดีก็จะไม่ทำมันเพื่อเงิน ไม่อยากประสบความสำเร็จแบบนั้น งานเต็มมือแต่ไม่ได้อะไรกลับมาเป็นพลังงานกับตัวเองเลย นอกจากได้กินอะไรดีๆ ซื้อของดีๆ หลังจากนั้นก็ตัดสินใจลาออกมาทำเพลง นั่งมิกซ์เพลงให้ตัวเอง ตอนนี้ก็ออกทัวร์ต่างประเทศ เล่นแบบที่ไม่คิดเงินยังมีอยู่เลย”
“เราเชื่ออย่างหนึ่งนะว่าเมื่อโอกาสเข้ามาแต่เราไม่คว้าไว้ ถ้ามันใช่จริงก็จะกลับมาอีกครั้งเอง อาจจะเหมือนคนโง่ที่รออะไรอยู่ แต่ไม่ได้รอ แค่ไม่ได้เข้าไปหา การที่อยู่ในวงการบันเทิงแล้วอยากมีชื่อเสียงเร็วๆ นี่มีวิธีที่ง่ายมากเลย แต่เราทำไม่เป็น เหมือนคนเลือกงาน แต่ไม่ใช่หรอก ก็กูทำไม่ได้ไง”
แก๊ปไม่ได้มีช่วงจังหวะฉุกคิดว่าเขาร้องเพลงเพราะตอนไหน และไม่เคยเรียนด้านนี้มาก่อน ไม่ว่าจะฝึกเอาลมออกจากท้อง บริหารกล้ามเนื้อ ไล่โน้ตสูงต่ำ เขาเพียงออกเล่นดนตรีกลางคืนเลี้ยงชีพอยู่เนืองๆ เพราะไม่ชอบชีวิตรถติดบนท้องถนนในเวลากลางวัน
“งานมันก็น้อยตั้งแต่เริ่มเล่นแล้วล่ะ เพราะไม่เล่นเพลงตามคนขอเลย (หัวเราะ) ยังดีที่มีบางร้านให้โอกาส ก็แค่เชื่อว่าตัวเองร้องเพลงได้”
เป็นคนใช้ชีวิตตามความเชื่อเหรอ
“เป็นคนใช้ชีวิตตามใจดีกว่า” รอยยิ้มผุดขึ้นบนหน้าแก๊ป “ยิ่งถ้าเราอยู่ด้วยตัวเองได้ สู้ด้วยตัวเองได้ เรายิ่งต้องตามใจตัวเอง เป็นคนไม่ค่อยเชื่ออะไรเยอะด้วย ศาสนานี่ยังไม่รู้เลยว่ามีหรือเปล่า เราเชื่อในตัวเอง”
แก๊ปเล่าว่าแรกเริ่มทำวงก็กระท่อนกระแท่นอยู่บ้าง เนื่องด้วยเขามีสไตล์ดนตรีที่ไม่คุ้นหู และไม่ซ้ำกับใคร เรียกได้ว่าเป็นวงบุกเบิกเร็กเกรุ่นหัวของประเทศไทย และแม้การว่ายทวนกระแสจะเหนื่อย แต่ไม่เคยคิดเปลี่ยนตัวเอง กระทั่งเกิดซีนคอนเสิร์ตแรกที่คนฟังถูกมนต์รักเพลงสกาเข้าให้ เสียงก้องไกลถึงต่างประเทศจนได้ร่วมเล่นเทศกาลดนตรีกับวงต่างภาษา ขณะนี้พ.ศ. 2568 แล้ว เป็นเวลากว่า 30 ปีที่วง T-Bone ออกโลดแล่นในโลกดนตรีไม่เคยหยุด

T-Bone ในวันแรกมีอะไรเปลี่ยนไปจากวันนี้ไหม
แก๊ปเงยหน้าคิด “เปลี่ยนเยอะเลย ตอนนี้เหลือสมาชิกที่ก่อตั้งด้วยกันมาตั้งแต่แรกอยู่ 3 คน ที่เหลือเป็นอีกรุ่นหนึ่งแล้ว ทุกคนทำงานส่วนตัวแล้วได้เงินเยอะกว่าทำวงอีกนะ แต่พอรู้ว่า T-Bone มีทัวร์คอนเสิร์ตก็พร้อมจะว่างให้ทันที เรามีเพื่อนร่วมงานที่ดีที่จะรักษาสิ่งนี้เอาไว้ โดยไม่ต้องเอามันไปหากิน เพราะเราสามารถหากินจากอย่างอื่นได้มากกว่าสิ่งที่ T-Bone เป็น ก็เลยทำให้วงอยู่ได้ยาว”
เรากวาดสายตามองคนตรงหน้า ไม่นึกประหลาดใจเลยที่ T-bone ยังแข็งแรง เพราะรากที่ไม่เคยโอนอ่อนไปตามลม เช่นวันแรกที่แก๊ปตัดสินใจไว้ผมยาว และไม่คิดหั่นมัน
ลมพาเกษรปลิวว่อน
อีกไม่ช้ารอก่อนเกิดดอกไม้ชื่นชม
เพียงชั่วพริบตาสั้นๆ ที่เห็นคนต่างเชื้อชาติยังชีพด้วยการทำของแฮนด์เมดวางขายตามพื้น แต่งตัวสบายแต่เปี่ยมสีสัน ดำเนินวันธรรมดาด้วยการปลดปล่อยให้ตัวเองเป็นอิสระ แก๊ปค่อยๆ เข้าสู่โลกของศาสนาราสตาฟารีที่เป็นแก่นหลักของชนชาวเร็กเก และมี ‘Jah’ เปรียบดังผู้นำทางจิตวิญญาณแห่งราสตาฟารี
“ตอนนั้นเราเป็นวัยรุ่นแสวงหา คือฟังดนตรีเยอะตั้งแต่เด็ก ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงฝรั่ง เพราะน้าเอาแผ่นเสียงมาเปิด แต่เร็กเกนี่รู้จักเพราะน้องสาว เขาเอาเทปมาให้เราม้วนหนึ่ง คืออัลบั้ม Babylon by Bus ของ Bob Marley & The Wailers แล้วบอกว่าฟังไม่รู้เรื่อง แต่พี่แก๊ปน่าจะชอบนะ”
“เราฟังแรกๆ ก็เฉยๆ แต่ทุกอย่างก็เริ่มมาเองจากการใช้ชีวิต โบกรถไปเกาะแล้วเจอชาวต่างชาติที่เป็นฮิปปี คือเป็นคนมีฐานะ แต่ไม่โชว์แบรนด์เนมบนตัวเอง ไปข้าวสารเห็นคนนั่งปูผ้าขายหินกำไล ของขายไม่ใช้แล้ว ขายของแลกของ เราได้สัมผัสตรงนั้น แล้วดนตรีเร็กเกก็อยู่ในนักท่องเที่ยวเหล่านี้”
ชอบอะไรในความเป็นราสตาฟารี
“แรกๆ เราอินมาก พยายามหาความเป็น Jah ใส่ตัวเอง แต่พอเข้าไปลึกซึ้งแล้วรู้สึกว่าสิ่งที่เราชอบในราสตา คือความเรียบง่าย เป็นเหมือนกฎในการดำเนินชีวิต แต่ที่สำคัญ คือมันเกี่ยวเนื่องกับสายเลือด ที่มาของพวกเขา แต่เราแม่งไม่ใช่เลย ไอเชี่ย! เกิดเบตงงี้ มึงบ้าเปล่า” แก๊ปหัวเราะดังพลางส่ายหน้า “เรารู้สึกอายในสิ่งที่ราสตาตะโกนร้อง อย่างเพลงของบ็อบ มาร์เลย์ เขาก็ต่อสู้เพื่อคนผิวสี แต่เราไม่ใช่ เวลาเลือกเพลงของเขามาเล่นถึงใช้เพลงที่เนื้อหาเป็นกลางไม่ข้องเกี่ยวกับราสตา แล้วก็ทำเพลงของตัวเองดีกว่า”
“เราไม่ได้เป็นราสตาขนาดนั้น เพราะเขาต้องกินมังสวิรัติ ใช้ชีวิตเหมือนคนนับถือศีล 5 แต่กูแม่งทำทุกอย่างเลย เหมือนอย่างเดียวคือทรงผม มันไม่ได้หรอก”
คิดว่าอะไรที่ทำให้คนนิยามว่าแก๊ปเป็นราสตาฟาเรียน
“ดนตรีที่เล่น รูปลักษณ์ภายนอก แต่จริงๆ แล้วคนราสตาต้นฉบับที่เราเคยเจอเขาไม่มีผมเดรดล็อกส์นะ หัวล้านด้วยซ้ำ และเป็นคนญี่ปุ่น ไม่ใช่คนผิวสี การดำเนินชีวิตของเขาซีเรียสมาก อย่างเวลาปรุงอาหาร ถ้าจะใส่เกลือต้องใช้เกลือที่มาจากธรรมชาติแท้ๆ เราดูเขาแล้วแบบเฮ้ย! เขานับถือราสตามากกว่าพวกที่บอกว่าตัวเองเป็นราสตาอีก อย่างนั้นคงไม่เกี่ยวกับทรงผม หรือภายนอกแล้วล่ะ”
“สมัยนี้ไม่มีฮิปปีแล้ว มีแต่หัวใจที่อิสระ ไม่ต้องไปแต่งตัวอะไรหรอก แค่นี้ก็เป็นฮิปปีแล้วคุณ”

จากที่ฟังมาทำให้เราเลือกถามแก๊ปว่าแก่นแท้จริงของราสตา คือความเรียบง่ายหรือเปล่า เขาพยักหน้ารับ แต่ไม่นานก็หลับตาปี๋ราวกับคิดคำตอบใหม่รอบสอง
“เขาชอบนั่งจับกลุ่มตีกลองจังหวะแล้วร้องเพลงไปด้วยกัน สร้างสมาธิให้ตัวเองด้วยการสูบกัญชา ก็คงป็นวิธีอย่างหนึ่งของเขาล่ะ แต่เราไม่ได้ทำแบบนั้น เราสูบอย่างเดียวเฉยๆ” แก๊ปเอามือปิดปากหัวเราะไหล่กระตุกอยู่นาน เราเองก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากไปตามเขา
มีมุมมองต่อกัญชาเสรีตอนนี้อย่างไรบ้าง
“ไม่รู้สิ อย่างเราเองมีวิธีใช้มันอย่างสุนทรีย์ ไม่ได้เที่ยวไปบอกใครว่ามีประโยชน์อะไร แค่รู้ว่าควรจะเสรีตอนไหน ควรใช้ หรือไม่ใช้ที่ไหน ถ้าไม่ใช้แล้วนี่ก็อาจจะเป็นคนอีกแบบหนึ่ง เพราะพลังงานเราเยอะมาก บางคนลองใช้เพราะไม่รู้ว่าคืออะไร แต่พอเขาได้ลองแล้วก็คงรู้มากขึ้นว่าควรใช้ให้ถูกยังไง ต้องเริ่มศึกษายังไง เราอยากให้มองประโยชน์ที่เอาไปทำยารักษามากกว่า”
“อย่างตอนไปประเทศอังกฤษก็เคยไม่ใส่เสื้อ โพกผ้าที่หัว นุ่งแต่กางเกงเล เดินเท้าเปล่าไปนู่นนี่ คนเขาก็มาถามหากัญชากับเรา ภาพของคนไว้ผมเดรดล็อกส์ คือคนใช้ยาเสพติด คนขายยา แล้วถ้าเราจะทำตัวให้ดูเป็นแบบนั้น มันก็ไม่ส่งเสริมเราหรอก ก็เลยเลิกแต่งตัวเป็นฮิปปีไป เพราะท่าทางเรามันก็ใช่อยู่แล้ว ยิ่งโตมาเรื่อยๆ ได้เห็นโลกกว้างขึ้นก็เออเนอะ มันไม่ใช่ว่ะ ทำให้เราเลือกว่าจะยืนอยู่จุดไหน หรือไม่ยืนอยู่จุดไหน”
เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม
ฉันเก็บเอาไว้ให้เธอและจะเป็นเช่นนั้นเสมอ
และอีกจุดหนึ่งที่แก๊ปเลือกยืน คือฐานะพ่อ ชีวิตที่ผันผ่านมาของเขาไม่ได้มีเพียงบทเพลงและศิลปะคอยหล่อเลี้ยง แต่ส่วนหนึ่งของหัวใจแก๊ปมีครอบครัวอยู่ในนั้น เขาว่าตัวเองเป็นคนโชคดีมากที่ไม่มีปัญหาครอบครัวเลย แม้ว่าจะออกทัวร์จนไม่ค่อยมีเวลาก็ตาม “ถ้าเราไม่มีใจที่กว้างมากพอ ปัญหาจะเยอะนะ ความสัมพันธ์อื่นก็เหมือนกัน เราจะคัดคนก่อนเสมอ บ้านเราไม่ใช่ที่สำหรับทุกคน แต่ใช่ว่าจะไม่คุยกับใครเลย แค่ว่าถ้าคุณผ่านเกณฑ์แล้วก็คงจะคุยด้วยทั้งวัน”
แก๊ปมีวิธีสอนลูกอย่างไร
“แรกๆ เขาก็ไม่ชอบเรานะ เพราะวิถีเราไม่ค่อยเหมือนคนปกติ แต่เราทำให้เขาเห็นด้วยการกระทำ ให้เขามั่นใจเราจากสิ่งที่ทำ ไม่เคยเปิดเพลงตัวเองให้ลูกฟังด้วยซ้ำ เขารู้เองทีหลังว่าพ่อเป็นศิลปิน อย่างถ้าบอกเรื่องการใช้ชีวิต เขาก็ไม่เชื่อ จนวันหนึ่งก็คิดได้เองว่าที่พ่อกูพูดแม่งถูก เราไม่ได้ใช้วิธีกระแทกเขา แค่บอกให้รู้ว่าเคยเป็นแบบนี้มาก่อน”
แล้วบทเรียนที่ใช้สอนตัวเองอยู่เสมอคืออะไร
“ไม่หลอกตัวเอง อย่าให้คำพูดที่เราใช้มาแทงเราเอง จะคอยบอกตัวเองบ่อยๆ ว่าถ้าเราเป็นคนสร้างสรรค์ต้องอย่าทำลายมัน อย่างทำอัลบั้มออกซีดี จะทำยังไงให้ไม่ถูกทิ้งเป็นขยะ ถ้าทำได้แสดงว่างานข้างในต้องดี น่าเก็บ”

แก๊ปเล่าว่าเขาไม่ตามโลกสมัยใหม่ แต่การสอนลูกไม่เคยล้าหลัง เพราะชีวิตคนก็มักวนซ้ำอยู่กับปัญหาเดิม ทั้งยังไม่ค่อยเอาตัวเองเข้าไปข้องเกี่ยวกับโลกออนไลน์ เขายื่นโทรศัพท์ให้เราดูจอพลางกวาดสายตาหาแอปอินสตาแกรมอย่างงุนงง เพราะเพิ่งจะเปิดบัญชีเมื่ออาทิตย์ก่อน ด้วยคำคะยั้นคะยอจากเพื่อน แต่ก็คงปล่อยทิ้งร้างไว้ไม่ต่างจากหน้าเฟซบุ๊กอยู่ดี
เราถามทั้งหัวเราะว่าแล้วใช้อากู๋ค้นหาบ้างหรือเปล่า เขาพยักหน้าหงึกหงักตอบรับว่าใช้สิ ตามด้วยอีกคำตอบที่ทำเอาปวดท้องไปหมด
ตามวงดนตรีสมัยใหม่บ้างไหม
“ตามนะ ชอบลิซ่า” แก๊ปทำเสียงซ่าส์ ส์ ทิ้งท้ายทำเอาทั้งห้องระเบิดเสียงหัวเราะ “พูดจริงหรือเปล่า” เราถามต่อ “ล้อเล่น ชอบจ๊ะ คันหู” ตามด้วยสีหน้าอมยิ้มของแก๊ป คราวนี้เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าจริงหรือหลอก แต่แก๊ปทำท่าขึงขังแทนคำตอบ “จริง เราชอบความเป็นตัวเขา ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ฟังเพลงใครเป็นพิเศษหรอก เน้นดูตัวตนมากกว่า”
คิดจะเกษียณตัวเองจากดนตรีบ้างหรือเปล่า
แก๊ปยักไหล่ “ไม่ครับ ก็ไม่รู้นะว่าต่อไปจะทำอะไรไหวบ้าง คงนั่งมิกซ์เพลงไปเรื่อยๆ ตามวิถี ถ้าเขียนพินัยกรรมยังไม่รู้เลยจะให้อะไรลูก”
เพราะหลังจากพ้นวันนี้ไป แก๊ปมีตารางต้องออกทัวร์ต่างประเทศอีกด้วยวัย 58 ปี เรานึกภาพตัวเองในอายุเท่าเขาไม่ออกว่าจะมีแรงขับใช้ชีวิตได้ขนาดนี้หรือเปล่า
“ถ้าเราอายุ 58 นะคงนอนเปื่อยอยู่บ้านไปแล้ว” เราพูดเสียงแผ่ว แก๊ปเงยหน้าขึ้นทันที “เฮ้ย! ไม่สิ ยังทำอะไรได้อีกเยอะเลยนะ”ก็อย่างว่าขนาดมรสุมชีวิตกระหน่ำหลายลูกยังไม่อาจฆ่าเจ้าพ่อเร็กเกสกาในนาม ‘แก๊ป T-Bone’ ได้เลย นับประสาอะไรกับกาลเวลา