เหล่าเกิร์ลs ในแฟลต (ไม่) เนรมิต เมื่อความจนกัดกินความฝันและชีวิตที่กำลังจะผลิบานอย่างไม่เหลือซาก

“รู้ไหมว่าทำไมฉันชอบต้นไม้ต้นนี้ที่สุด เพราะมันล้มลงดินแล้วก็ยังโตต่อไปได้”

หากจะพูดถึงภาพยนตร์ที่แสดงตนเป็นเหมือนภาพฉายความล่มสลายของเมล็ดพันธุ์เล็กๆ ที่อับจนหนทางจะผลิดอกออกผล เพราะแดดรำไรไม่เคยส่องมาถึง ชื่อของภาพยนตร์หลายสัญชาติ หลากบริบทสังคมคงไล่เรียงกันโผล่ขึ้นมาจนจดไม่หมด อาจเพราะทั่วทุกมุมโลกต่างมีเหล่าผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณเส้นขอบจนเกือบหลุดออกไปจากการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอยู่ทั้งสิ้น 

และหากว่าด้วยหนังเด็กที่เติบโตอยู่ในสภาพแวดล้อมสุดแร้นแค้น เรื่องหนึ่งที่เฉิดฉายขึ้นมาในความทรงจำคงจะเป็นเรื่องราวชีวิตของเด็กน้อยที่อยู่ริมขอบดินแดนชวนฝันอย่างดิสนีย์เวิลด์ ซึ่งเป็นแลนด์มาร์กใหญ่ในฟลอริดา อาศัยอยู่ใน ‘Magic Castle’ โรงแรมราคาถูก มีแม่เป็นนักเต้นเปลื้องผ้าที่โดนไล่ออกจากงาน เพราะไม่ยอมมีอะไรกับลูกค้า  สีสันพาสเทลของตึกรามระแวกนั้นช่างย้อนแย้งกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนเหลือเกิน ความแสบสันในความศิวิไลซ์ของสถานที่อันเป็นแลนด์มาร์กทำงานกับเรื่องราวอันน่าขมขื่น สิ่งเหล่านี้ถูกเล่าผ่านสายตาที่รู้เห็นความเศร้าของชีวิต แต่ไม่อาจเข้าใจได้เพราะความอินโนเซนต์ของขวบวัย

‘The Florida Project (2017)’ ภาพยนตร์ของ ‘Sean Baker’ ผู้กำกับที่คว้ารางวัลออสการ์สาขา Best Picture ไปเมื่อปีก่อนด้วยภาพยนตร์เรื่อง Anora (2024) 

Sean Baker เป็นคนทำหนังผู้เล่าเรื่องที่ตัวเองไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งด้วยการมองไปให้เห็นเลือด เห็นเนื้อของเรื่องราวเหล่านั้น จนทำให้ภาพยนตร์ทุกเรื่องของเขาเต็มไปด้วยมนุษย์จริงๆ เดินเพ่นพ่านกันอยู่ในฉาก

เหตุที่หยิบยกเรื่องนี้กลับมาปัดฝุ่นทำความเข้าใจมันอีกครั้ง เพราะรู้สึกคันยิบๆ หลังจากมีโอกาสได้ดู Flat Girls (2025) ของ GDH ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของ ‘แคลร์ จิรัศยา’ แล้วนึกถึง The Florida Project ขึ้นมา 

‘Flat Girls’ คือหนังที่ผู้กำกับเองเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่เธอบอกเล่า ทำให้ภาพยนตร์ของเธอมีระยะที่ประชิดกับความคิด ความรู้สึกของตัวละครเหลือเกิน 

ลูกสาวตำรวจที่อาศัยอยู่ในแฟลต เกิด อยู่ และเติบโตจนสงสัยว่าตัวเองมีโอกาสจะออกไปจากที่แห่งนี้ไหม  ทำได้เพียงเฝ้ามองวิวอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เห็นเรือท่องเที่ยวหรูหราที่ไม่มีวันได้ขึ้นไป แล้วเฝ้าคิดว่ามันจะแล่นไปสิ้นสุดที่ตรงไหน ตลอดระยะเวลาที่เรามองชีวิตของ พี่แอน (ฟาติมา เดชะวลีกุล) และ น้องเจน (กิรณา พิพิธยากร) จากเรื่อง Flat Girls ก็อดที่จะนึกถึง มูนี  (Brooklynn Prince) จาก The Florida Project ไม่ได้ 

อาจเพราะความจนเป็นสิ่งสากล ไม่ว่าจะเรือหรูเจ้าพระยา หรือดิสนีย์เวิลด์ก็ล้วนเป็นดินแดนเซอร์เรียลิสม์ที่เหล่าเด็กหญิงไม่มีวันได้จับจูงมือกันก้าวเข้าไป บทความนี้จึงเกิดขึ้น เพื่อบอกว่าไม่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ ที่ไหน บริบทแบบใดความจนล้วนกัดกินความฝัน ความหวัง และชีวิตที่กำลังจะผลิบานอย่างไม่เหลือซาก

**บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์**

เหล่าเกิร์ลs ในแฟลต (ไม่) เนรมิต

เราได้ดูภาพยนตร์เรื่อง The Florida Project ในปี 2017 ปีเดียวกับที่หนังเกย์ชายขอบอย่าง Moonlight (2017) ได้รางวัลใหญ่ของเวทีออสการ์ และพี่ตูนออกไปวิ่งเพื่อเอาเงินไปบริจาคโรงพยาบาล (2017) จนเกิดข้อถกเถียงกันว่าถ้ารัฐบาลดี ประเทศดีพี่ตูนก็ไม่จำเป็นต้องวิ่ง ชีวิตคนในประเทศคงดีขึ้นอย่างเป็นภาพรวม ความเป็นชายขอบเองมักถูกเรียกใช้ในฐานะซับเจกต์ของงานสร้างสรรค์ และความตระหนักรู้ในเรื่องสังคม เราอยู่ในบรรยากาศที่ระแวดระวังการหยิบฉวยความอัตคัดมากระทำการบางอย่างอันได้มาซึ่งผลประโยชน์ของใครสักคนที่ไม่ได้เข้าใจมันจริงๆ 

ผ่านมาจนถึงวันนี้ The Florida Project และผู้กำกับ ‘Sean Baker’ กระโดดทะลุทะลวงสิ่งเหล่านั้นขึ้นไปเพราะหนังของเขาล้วนเป็นเรื่องคนชายขอบ ผู้ค้าบริการทางเพศ และเด็กจากเขตแดนอันน่าอาดูรที่มีหัวจิตหัวใจ และรับผิดชอบต่อเรื่องราวของผู้คนในเรื่องเหล่านั้นมากเหลือเกิน 

การที่ทีมงานเลือก Bria Vinaite มารับบท แฮลลีย์ และเลือก Brooklynn Prince มารับบทมูนี คือความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งที่คนทำงานเฉียบแหลมพอที่จะทำ และเขายังกำกับนักแสดงจนทำให้เราทั้งเห็นใจและก็รู้สึกระอากับตัวละครไปพร้อมๆ กัน ตรงส่วนนี้อาจคือหัวใจสำคัญ เขาไม่ได้ทำหนังที่เห็นอกเห็นใจใครมากจนเกินไป ไม่ได้พยายามปลุกปล้ำให้มันพิสดารเกินจากสิ่งมันเป็นเพื่อผลลัพธ์สูงสุดในการบีบเค้นอารมณ์ในฉากสำคัญให้เราต้องมีอารมณ์ร่วมตาม เขาเพียงแต่เล่าในสิ่งที่มันเป็น สร้างพฤติกรรมอันเข้าใจได้ และบางทีก็งงงวยเหลือเกินกับการตัดสินใจของตัวละคร คนทำหนังเลือกที่จะปล่อยให้ความรู้สึกของคนดูเป็นไปอย่างสามัญ

แฮลลีย์ คือแม่เลี้ยงเดี่ยวผมสีฟ้าสุดก๋ากั่นที่เอาตัวเองยังไม่รอดเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นใครที่เบ่งลูกออกมาคงจะไม่ได้กลายเป็นแม่กันได้ทุกคน  ส่วนมูนี เธออายุเพียง 6 ขวบ มีแม่ที่จูงมือลูกร่อนไปขายน้ำหอมปลอม ขายบัตรสวนสนุกเก๊ให้นักท่องเที่ยวไปทั่ว แฮลลีย์จึงมีสถานะเป็นเพื่อนมากกว่าเป็นแม่ ดังนั้นมูนีจะกลายเป็นเด็กเปรตก็คงไม่แปลกสักเท่าใดนัก หากกลายเป็นอภิชาตบุตรเหมือนไอ้วัน ลูกของลำยองน่ะสิแปลก

ผ่านมาเกือบๆ จะ 8 ปี เราได้ดู Flat Girls เรื่องราวของลูกสาวตำรวจที่อาศัยอยู่แฟลตในกรุงเทพ สภาพแวดล้อมอันขัดสนบ่มเพาะให้เด็กสาวเติบโตเกินวัย เข้าใจโลกเกินเหตุ แต่ก็เปราะบางกันเหลือทนที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมั่นคงในสถานการณ์ที่ไม่คงมั่น 

เพราะการดูหนังเป็นเรื่องของประสบการณ์ แม้ความเจ็บปวดรวดร้าวของตัวละครใน Flat Girls จะถูกส่งมาถึงใจของคนดูได้โดยตรง แต่หนังกลับไม่ได้สร้างความประทับใจให้เราได้ขนาดนั้น ออกจะรู้สึกกลางๆ ด้วยซ้ำ แม้หนังจะมีวัตถุดิบอันเป็นสากลที่จะมาฉีกเล่าในระนาบของพื้นที่ที่เราอยู่ แต่กลายเป็นว่าเรามองเห็นภาพ The Florida Project ซ้อนทับเคล้าคลุกกันไปตลอดเวลา ถึงกระนั้นไม่ได้หมายความว่าหนังมันถูกสร้างมาให้เหมือนกัน  แต่มันดันมีเค้าโครงและวัสดุที่จะมาประกอบเรื่องดำเนินไปในเส้นทางเดียวกันอยู่ นี่คือเรื่องปกติในโลกของการสร้างสรรค์ มีหนังอีกมากมายบนโลกใบนี้ที่ว่าด้วยเรื่องเดียวกันดำเนินไปในรูปแบบซ้ำเดิม สิ่งเหล่านี้อาจคือของยากที่คนทำงานจะต้องเผชิญหน้าแล้วหาความกระตุ้นเร้าอันซี้ดซ้าดของตัวเองให้เจอ 

เมื่อเราเคยว้าวซ่าและมีหนังเรื่องอื่นๆ ในแก่นเรื่องแบบนี้ครองใจไปแล้ว เราจะตกหลุมรัก Flat Girls ด้วยอะไรได้บ้าง ในเมื่อยังหารสหาชาติที่หนังพาเราไปไกลกว่านี้ไม่เจอ ไม่รู้จะเรียกว่าหนังมาถูกที่ แต่ผิดเวลาได้หรือเปล่า

แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่โดดเด่นที่สุดของ Flat Girls  อาจคือการสร้างระยะที่ประชิดกับความรู้สึกของตัวละคร โดยเฉพาะตัวละครพี่แอน ซึ่งเป็นเหมือนภาพแทนของผู้คนในสังคมอีกมากมายที่ไม่เคยได้มีชีวิตเป็นของตัวเอง เพียงเพราะพวกเขาเกิดมาจน นี่อาจคือความเฉพาะแบบที่วัฒนธรรมของพวกเราเป็น ใครสักคนเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตแด่ครอบครัวตลอดไป 

จนตามแม่ แม่พาจน

ไม่ว่าคุณจะอาศัยอยู่หนแห่งใด ความจนที่มีร่วมกันคือสากล และความฉิบหายจากความจนก็เป็นสากลด้วยเช่นกัน The Florida Project พาเราไปมองความอับจนหนทางของชีวิตผ่านสายตาของเด็กน้อย เราจะได้เห็นฉากที่พวกเขาลอยละล่องเล่นสวนสนุกในจินตนาการตามสถานที่รกร้างต่างๆ แต่ด้วยสายตาของเด็ก 6 ขวบ สถานที่แห่งนั้นช่างกระตุ้นเร้าการผจญภัยเหลือเกิน

แม้สภาพการณ์ของแม่มูนีจะย่ำแย่เข้าขั้นวิกฤติ ไร้งาน ทะเลาะกับเพื่อน ไม่มีเงินจ่ายค่าห้องจนต้องรูดม่านบังห้องน้ำเปิดเพลงเสียงดัง ให้มูนีแช่น้ำในอ่างเพื่อที่คนเป็นแม่จะรับงานขายตัวประทังชีวิต แต่หนังก็ยังดำเนินไปด้วยความเปล่งประกายของโลเคชันสีสันพาสเทล (ที่ถูกทิ้งร้าง) และเสียงหัวเราะของความเยาว์

ถึงกระนั้นมูนีเองไม่ได้เติบโตมาโดยไม่รู้อะไรเลย เธอบอกกับเพื่อนของเธอว่า ‘ฉันทายถูกทุกครั้งเวลาผู้ใหญ่จะร้องไห้’ แม่ปล่อยให้เธอได้รู้ เห็นในสถานการณ์และความเป็นไปอันย่ำแย่ แม่ทำได้เพียงอยู่กับเธอ แต่ไม่ได้เลี้ยง ความไม่มั่นคงในชีวิต ทุบทำลายการเจริญเติบโตอย่างไม่ยี่หระ 

และถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น เพราะความเป็นเด็กเธอจึงทำได้เพียงแค่เล่น คึกคะนอง และเลยเถิดเกินเด็กจนกลายร่างเป็นเด็กเปรตไป ไม่ว่าจะเป็นการถุยน้ำลายใส่รถคนที่มาเข้าพัก หลอกผู้ใหญ่เพื่อเอาเงิน ไปจนถึงเผาบ้านร้าง ทำให้เรานึกภาพไม่ออกเลยว่ายัยเด็กนี่จะโตไปเปรตขนาดไหนกันนะ

ในขณะที่แฟลตเกิร์ลเองก็พาเราไปดูความไม่สมประกอบของชีวิตที่ผลักให้เด็กสาวไร้ซึ่งทางเลือก จนต้องเลือกความอิหยังวะให้ตัวเอง แต่นั้นอาจคือชอยส์ที่ดีที่สุดสำหรับเธอแล้ว เราจะเห็นภาพของพี่แอน มีลูกเล่นและจริตในการพูดคุยกับตัวละครชายอย่างเป็นธรรมชาติ

น่าเสียดายที่หนังใส่ตรงนี้มาน้อยไปหน่อยจนเราเกือบจะลืมไป ความจนทำให้เธอกร้านโลก และรู้ว่าควรทำอะไร หรือไม่ควรทำอะไร 

พี่แอนเป็นตัวละครที่แทบจะเป็นผู้ใหญ่ในร่างเด็ก อาจเป็นเพราะสิ่งที่เธอต้องแบกรับ ทั้งแม่ที่ไม่เอาไหน ไม่สามารถหาเงินมาจุนเจือครอบครัวได้ แถมยังมีน้องๆ ที่เธอต้องทำตัวเป็นแม่ให้พวกเขาอีก ไหนจะสถานการณ์ที่จะต้องย้ายออกจากแฟลตอยู่รอมร่อ ทำให้เธอมีความรับผิดชอบที่เกินเด็กไป

ค่อนข้างมั่นใจได้ว่าแม้ตัวละครมูนีและพี่แอนจะอยู่ในสภาพแวดล้อมคล้ายๆ กัน ถูกกัดกินความฝันและการเติบใหญ่เหมือนกัน แต่มูนีไม่มีทางจะโตไปแล้วกลายเป็นพี่แอนอย่างแน่นอน อย่างที่บอกว่าสิ่งที่พี่แอนเป็น คือความเฉพาะของวัฒนธรรมอย่างเราๆ ดังนั้นหากให้จินตนาการเร็วๆ มูนีอาจจะเติบโตไปเป็นแบบแม่ของเธอ หรือแบบแอนี ใน Anora (2024) ก็เป็นได้ คงจะแล้วแต่ว่าชะตากรรมพัดพาคนไร้โอกาสไปที่หนแห่งใด 

ส่วนพี่แอนคงจะเติบโตไปเป็นป้า น้า อาที่เราเห็นได้ทั่วๆ ไป พวกเขาเหล่านั้นแกร่งกันเหลือเกิน ระหกระเหินสู้ชีวิตเลี้ยงคนทั้งครอบครัว ทำงานหนักเพื่อหวังว่าอะไรๆ จะดีขึ้น แต่ไม่ พวกเธอไม่มีทางที่จะกระโดดไปพ้นเส้นขอบที่ตัวเองอยู่ อาจมีเพียงหนทางเดียว คือหาผู้ชายรวยๆ สักคนที่มีสถานะทางสังคมเพื่อพาเธอออกไปจากสิ่งที่เป็นอยู่ 

หนังทั้งสองเรื่องเป็นภาพสะท้อนว่าความจนมันกระทำการอะไรกับการเติบโตของเหล่ามนุษย์ขวบวัยอันเปราะบางได้บ้าง มันกดให้เมล็ดพันธุ์แห้งกรังและงอกเงยอย่างไม่สมประกอบ ชั่วร้าย และไม่สัมพันธ์กับโลก โหดร้ายขนาดที่ส่งต่อกันไปหลายชั่วโครต เมื่อจนแล้วจะลืมตาอ้าปากยากเหลือเกิน จนกลายเป็นคนขี้แพ้ ไม่เอาอ่าวที่กระโดดเข้าไปสู่ความมั่งมีไม่ได้ เป็นต้นไม้ที่ล้มลงสู่ดินและยังคงอยู่ได้เพียงแต่ไม่งอกงาม

จับมือกันวิ่งไปในความฝันที่ไม่มีวันได้ผลิบาน

ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจ หรือบังเอิญที่หนังทั้งสองเรื่องเลือกที่จะคลี่คลายปมทุกอย่างมุ่งไปสู่ความเซอร์เรียล ด้วยการให้ตัวละครจับมือกับเพื่อนคู่ใจแล้ววิ่งหนีไปจากการเผชิญหน้ากับความจริง มุ่งไปสู่ดินแดนแห่งความฝันที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ไม่มีแรงกำลังจะฉวยคว้า ออกไปเสียจากเรื่องกลัดกลุ้มทั้งปวงที่พวกเธอก็ไม่ได้เป็นคนก่อ หายวับไปจากความเป็นจริงที่ไม่มีทางได้เลือกไปต่อเอง เปลี่ยนความอับจนหนทางไม่ใช่ด้วยตัวเอง แต่ด้วยจินตนาการเล็กจ้อยฟุ้งฝันของวัยเยาว์

การที่หนังหาทางลงในรูปแบบนี้ถือเป็นหนทางอันชาญฉลาดที่จะเกลี่ยความหวังและความสิ้นไร้ไม้ตอกให้มีน้ำหนักที่สมดุลกัน และตาชั่งจะเอนไปในฝั่งไหนอย่างไรอยู่ที่มุมคิดของผู้ชม หนังไม่ได้หลอกลวงคนดูว่าชีวิตจะไปสู่แสงสว่างนะ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ปล่อยให้ใครประจันหน้ากับความจริงว่าเยาว์วัยจะบุบสลายลงตรงนั้น แม้ทางเลือกแทบจะไม่มีก็ตาม 

ถึงอย่างนั้นไม่ว่าตัวละครจะไปสู่เส้นทางไหน แบบใด แต่ความจริงที่ว่าชีวิตพวกเขายังต้องเติบโตต่อไปเพื่อเผชิญหน้ากับความสิ้นหวังอีกหลายขยักก็เป็นเรื่องจริง ไม้ที่ไร้ซึ่งปุ๋ยและดินที่ดียังคงต้องดำรงอยู่ต่อไป ชีวิตเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน ความจนกดให้คนต้องสู้เพื่อล้มลงหัวฟาดพื้นซีเมนต์โดยไม่มีเบาะนิ่มรองแต่อย่างใด ชีวิตเป็นเช่นนั้น ช่างใจดีเหลือเกินกับใครบางคน แต่ใจไม้ไส้ระกำเหลือเกินกับใครอีกคนหนึ่ง จนทำให้เกิดคำถามสั้นๆ ที่สะท้านวาบลึกไปข้างในว่า ‘แม่ให้แอนเกิดมาทำไม’  

AUTHOR