แม้จะผ่านไปนานแค่ไหนเพลงบางเพลงยังคงก้องกังวานอยู่ในความทรงจำของผู้ฟัง
ผู้คนยังคงนั่งยิ้มลำพัง หัวเราะลำพังไปกับ เธอ… เธอทั้งนั้นที่ทำ ให้ช่วงชีวิตของฉันน่าจดจำ ตั้งแต่ได้เจอเธอ ยังร้อนรน อยู่บนเตียงในตอนนี้ ยังไม่มีท่าที ที่จะดีขึ้นเลย
เสียงเพลงเหล่านี้เคยคลออยู่กับความเฟื่องฟูของ นิตยสาร รายการโทรทัศน์ และแฟชั่นสีฉูดฉาด ที่ตลบอบอวลไปด้วยความครึกครื้นในอุตสาหกรรมสื่อบันเทิง ในช่วงปี ค.ศ. 2000 เมื่อมองย้อนกลับไปในยุคสมัยนั้นสิ่งที่พบและตกค้างอยู่ในความทรงจำ คงหนีไม่พ้นหนังเรื่องโปรด ดวงรายเดือนในนิตยสาร และเพลงที่ฮิตก็ยังติดหูจนเหล่าคนเจนใหม่นำมาพร่ำร้องจนถึงทุกวันนี้
โลกที่ยังคงหมุนไปข้างหน้าอยู่ทุกวัน เทรนด์และแฟชั่น ก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่สิ่งที่ยังคงอยู่คือความออริจินอลของศิลปะ ที่เวลาทำได้เพียงพัดผ่านไปแบบแผ่วๆ เท่านั้น อาจสั่นไหวแต่ไม่สั่นคลอน เพลงที่เราเคยชอบฟังเเม้เก่าเเค่ไหนเมื่อหวนกลับไปฟังมันก็ยังเพราะเเละทำงานกับความรู้สึกอยู่เสมอไป

GROOVE RIDERS หนึ่งในวงดนตรีที่ชื่อของเขาไม่เคยเลือนหายไป เเม้จะมีคลื่นลูกใหม่ถาโถมเข้ามาอยู่บนเส้นทางดนตรีของประเทศไทย แต่เพลงของพวกเขายังคงอยู่ในเพลย์ลิสต์ของใครหลายๆ คนอยู่เลย
แน่นอนว่าถ้อยความเหล่านี้ไม่ได้พูดขึ้นมาลอยๆ เพราะไม่ว่าจะในคอนเสิร์ต ร้านอาหาร หรือผับบาร์ เพลงของพวกเขายังคงเปิดดัง และมีคนร้องตามอยู่เสมอ แม้วงจะไม่ได้ออกเพลงมานาน แต่ทันทีที่โปสเตอร์โปรโมตคอนเสิร์ตของ GROOVE RIDERS ที่ห่างหายไปนานถึง 17 ปีถูกปล่อยออกมา พลังของความคิดถึงและผูกพันก็ทะลักล้นออกมาเต็มหน้าไทม์ไลน์โซเชียลมีเดีย
คงจะพูดได้ว่า ‘Ultra V presents GROOVE RIDERS RETURN OF THE GROOVE CONCERT’ คือคอนเสิร์ตที่ไม่ว่าจะรุ่นใหญ่หรือวัยเยาว์ก็ต่างรอคอยการกลับมาของเจ้าพ่อ Disco ในตำนานของวงการเพลง
เนื่องในโอกาสการกลับมาร้อง เต้น เล่นดนตรีด้วยกันอีกครั้งของ GROOVE RIDERS คอลัมน์ Q and a day จึงได้ชวนสมาชิกวงทั้ง 4 ท่าน ได้แก่ บุรินทร์-บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์, ก้อ-ณฐพล ศรีจอมขวัญ, กั้ง-อดิศักดิ์ หัตถกุลโกวิท และ มาตร-มาตรชัย มะกรูดทอง มาจับเข่าคุยกันถึงเรื่องวันวานที่ผ่านมาและการทำคอนเสิร์ตในครั้งใหม่นี้

เปิดห้องอัด เล่นดนตรี เลี้ยงหมา เพื่อรอวันกลับมาอีกครั้ง
การกลับมารวมตัวกันในรอบ 17 ปี ของ GROOVE RIDERS เกิดขึ้นจากอะไร
มาตร : พวกเราก็ยังคงเป็นนักดนตรีอยู่ เพียงแต่แยกย้ายกันไปทำงานในเส้นทางของตัวเอง
ผมก็ทำงานเบื้องหลังอยู่กับพี่ก้อและเล่นดนตรีให้กับวงอื่นๆ คู่ขนานไปกับการบันทึกเสียงให้ศิลปินหลายคนเลย
กั้ง : ส่วนผมก็เลี้ยงลูก เลี้ยงหมา และทำห้องอัดเสียงไปด้วย
ก้อ : ผมทำหน้าที่โปรดิวซ์เพลงให้กับศิลปินหลายๆ คน รวมถึงทำงานบริหารค่ายเพลงด้วย จริงๆ ก็มีโปรเจกต์ที่ถือไว้อยู่หลายโปรเจกต์เลยแหละ ทั้งของคนอื่นเเละของตัวเอง
บุรินทร์ : ตลอด 17 ปีที่ผ่านมา ผมก็ยังคงทัวร์คอนเสิร์ตอยู่สม่ำเสมอในฐานะศิลปินเดี่ยว เพิ่งมีคอนเสิร์ตใหญ่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี่เอง
เพราะการทำวง GROOVE RIDERS คือสิ่งพิเศษที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
ความยากในการกลับมารวมตัวทำคอนเสิร์ตด้วยกันคืออะไร
ก้อ : สำหรับผมยากอยู่เหมือนกันในการกลับมาทำคอนเสิร์ตครั้งนี้ ตัวผมเองก็มีงานหลายๆ อย่างที่ต้องรับผิดชอบ มีอีกหลายโปรเจกต์ที่เเพลนไว้ แต่คอนเสิร์ตครั้งนี้ก็ต้องการเวลาในการเตรียมพร้อมมากเหมือนกัน แต่เพราะเราคิดถึงช่วงเวลาที่เคยเล่นดนตรีด้วยกัน 4 คนมากๆ โหยหาความรู้สึกพิเศษในตอนนั้น หลังจากเราเลิกทำวงไปผมไม่เคยรู้สึกแบบตอนทำวง GROOVE RIDERS อีกเลย ดังนั้นเมื่อผ่านมา 17 ปี เราก็ต้องมุ่งมั่นทำมันจริงๆ
มาตร : ความยากก็คงเป็นเรื่องของเวลานี่แหละครับ พวกเราแต่ละคนต้องหาเวลาที่ดีและพร้อมในการจะทำคอนเสิร์ตใหญ่ ซึ่งแต่ละคนก็มีเงื่อนไขเรื่องเวลาแตกต่างกันไป ดังนั้นการจะทำสิ่งนี้เราต้องพักหลายๆ อย่างไว้ก่อนเลย
กั้ง : สำหรับผมคงเป็นเรื่องของดนตรี เพราะเราไม่ได้เล่นด้วยกันมานาน อาจต้องใช้เวลาในการซ้อมมากอยู่เหมือนกัน เราซ้อมกันมานานมากก่อนที่คอนเสิร์ตจะเกิดขึ้น จนมาถึงตอนนี้ก็เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว

ตลอดช่วงเวลา 25 ปีของวงดนตรีสุดเก๋าที่ไม่เคยเก่าเลย
ตลอดเส้นทางสายดนตรีของ GROOVE RIDERS มีการเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง
บุรินทร์ : ผมคิดว่าแฟชั่นคือสิ่งที่ผ่านมาแล้วผ่านไป เมื่อก่อนแฟชั่นเกิดการเปลี่ยนแปลงทุกๆ 10 ปี และกลายมาเป็นทุกๆ 1 ปี มาถึงตอนนี้คือเปลี่ยนแทบจะทุกๆ เดือนด้วยซ้ำ ทุกอย่างมาเร็วไปเร็วมากๆ แต่สุดท้ายสิ่งที่คงอยู่คือสไตล์ ผมมองว่า GROOVE RIDERS เป็นวงที่มีสไตล์ที่ชัดเจน พวกเราตั้งใจที่จะเล่นดนตรีแนว Blues Funk Soul และ Disco เรามีจุดยืนที่แน่วเเน่และแข็งแรงมาเสมอ ตัวผมเองพอมาเป็นศิลปินเดี่ยวก็ยังคงยึดมั่นในดนตรีแนวนี้อยู่ เพียงเเต่ผสมผสานความสนุกใหม่ๆ เข้าไป รากฐานของพวกเรามาจากการเป็นคนชอบฟังดนตรีของคนผิวดำ เพราะฉะนั้นแก่นแกนในการทำเพลงจึงไม่เคยเปลี่ยน เพียงแต่ว่าฝีมือและประสบการณ์มีมากขึ้น
ในช่วงเวลาหนึ่งพวกเราแยกย้ายกันไปสั่งสมหลายสิ่งหลายอย่างมา เพื่อกลับมารวมตัวกันแล้วมีความรู้และเทสต์ของดนตรีที่ลึกขึ้น มีคุณภาพในการผลิตงานที่มากขึ้น เราเป็นวงที่มีเพลงฮิตเยอะ แต่เป็นวงที่มีอัลบัมเพียงแค่ 2 อัลบัมครึ่ง ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่แปลกเพราะผมมองว่าส่วนใหญ่วงดนตรีวงหนึ่งออกเพลงมา 1 อัลบัม อาจจะทำงานสัก 1 – 4 เพลง แต่เรามีเพลงฮิตที่สามารถทำให้วงไม่ต้องออกอัลบัมใหม่ถึงเกือบ 7 ปี ผมก็ยังงงอยู่เลยว่าเพลง 2 อัลบัมนั้นมันยังทำงานอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้ยังไง
กั้ง : ปกติถ้าวงออกมาแล้วมีแค่ 2 อัลบัม ถ้าวงไม่เกาะกลุ่มกันดีๆ มันน่าจะดับไปแล้วนะ คือถ้าเพลงไม่นำไปเนี่ย วงก็คงจะอยู่ไม่ได้แล้ว อาจจะแยกกันไปแล้วด้วยซ้ำ

The Godfather of Disco เจ้าเดียวในประเทศไทย
ทำไม GROOVE RIDERS ถึงไม่เคยเปลี่ยนแนวเพลงของตัวเองเพื่อตลาด
ก้อ : สิ่งสำคัญสำหรับผมคือพวกเรารักและอยากที่จะทำเพลงแนวนี้อยู่แล้ว จนตอนนี้ผมพบว่ายังไม่มีใครทำเพลงแนวนี้อย่างจริงจังเลย เรายังคงเป็นวงเดียวที่ทำเพลง Disco Funk มาเสมอจนเกิดเป็นเอกลักษณ์ของวงไปแล้ว
ก้อ : เราไม่ได้มุ่งเป้าไปที่การตลาดว่าเขาฟังอะไรกัน เราสนใจอย่างเดียวว่าเราชอบอะไร และอยากจะนำเสนออะไรให้กับคนฟัง เราเลยอยากจะทำตรงนั้นให้มันดีที่สุด ให้มันเจ๋งที่สุด เท่าที่เราจะทำได้เท่านั้นเอง เราไม่เคยคิดว่าตอนนี้เพลงฮิปฮอปกำลังมา เราจะต้องทำเพลงตามกระแส เพราะ GROOVE RIDERS ก็คือ GROOVE RIDERS เรามีแนวเพลงที่ชัดเจน และเรามีจุดยืนที่ชัดเจน
บุรินทร์ : ในยุคนั้นมันเป็นยุคของดนตรี Rock Alternative ซึ่งถ้าเราจะตามกระแสเราคงเป็นวง Alternative ไปแล้ว เราทำในสิ่งที่เรารัก ทำในสิ่งที่เราชอบ และทำมันให้ดีที่สุดในช่วงเวลานั้น และเราก็ยังคงเป็นเราจนถึงทุกวันนี้
บุรินทร์ : สำหรับผมศิลปะไม่มีเจเนอเรชัน มันอยู่ได้ตลอดกาล เป็นอะไรที่ยั่งยืน หากคุณลองกลับไปฟังเพลงที่ชอบเเม้จะเก่าแค่ไหนก็ยังชอบอยู่
การได้ทำวงด้วยกันคือที่สุดของชีวิต
ได้ทัวร์ แยกย้าย และสุดท้ายกลับมาเล่นด้วยกันอีก
การทำวง GROOVE RIDERS มีความหมายกับพวกคุณยังไงบ้าง
บุรินทร์ : GROOVE RIDERS คือส่วนหนึ่งของชีวิตผมเลย จากคนคนหนึ่งที่ชอบฟังเพลง ได้กลายมาเป็นศิลปิน ผลิตผลงานเป็นของตัวเอง และมีแฟนเพลงมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกปีที่ได้ไปเล่นคอนเสิร์ต จนเราสามารถที่จะพูดได้อย่างเต็มปากว่า พวกเราเป็นศิลปินอินดี้ที่ Go mass ได้ และปัจจุบันเราก็ยังมีแฟนเพลงที่หนักแน่นอยู่ เป็นอะไรที่ปาฏิหาริย์เหมือนกัน
ก้อ : สำหรับผมการเป็นศิลปินคือความฝันตั้งแต่ตอนเป็นนักเรียนดนตรีแล้ว ว่าอยากจะมีวงเป็นของตัวเอง ที่เล่นเพลงเเนว Disco Funk และพอมันเกิดขึ้นจริง แน่นอนว่าเราภูมิใจจนกลายมาเป็นไฮไลต์หนึ่งของชีวิตเลย จริงๆ ผมก็ทำโปรเจกต์ดนตรีมาเยอะนะ แต่ GROOVE RIDERS ก็ยังเป็นอะไรที่สำคัญในอาชีพนักดนตรีของผมเสมอมา
กั้ง : สำหรับผมมันเกินฝันไปมาก ผมเองเป็นคนเล่นดนตรีกลางคืนมาก่อน พอได้มาอยู่ในวงมันคือที่สุดในชีวิตเลย ได้ร่วมทำเพลงกับเพื่อน ได้ทัวร์ด้วยกัน แยกย้าย และสุดท้ายก็กลับมาเล่นดนตรีด้วยกันอีก เป็นอะไรที่มหัศจรรย์มากๆ
บุรินทร์ : จากตอนแรกที่เพลงของเราถูกฟังโดยคนกลุ่มเล็กๆ จนก้าวข้ามมาจุดที่คนฟังกว้างเเละหลากหลายมากขึ้น จากผู้ชมหลักพันจนกลายมาเป็นหลักแสน เราเคยไปเล่นเฟสติวัลที่ต่างจังหวัดแล้วมีคนมาดู 2 แสนคน แต่พวกเรายังเอาอยู่ ทำให้พวกเขาสนุกได้ สิ่งเหล่านี้เติมพลังเราจนมาถึงวันนี้เลย
ผมมีความสุขที่เพลงของเราไปหาผู้ฟังได้มากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันนี้ผมไปเล่นคอนเสิร์ต แล้วเจอน้องๆ อายุ 14 – 16 มายืนร้องเพลงพวกเราได้ทุกเพลง ผมก็มีความสุขมากแล้ว สุดท้ายแล้วผมก็ดีใจที่เพลงของเรามันยังอยู่ได้จนถึงปัจจุบัน
กั้ง : ดีใจที่น้องๆ หลายคนย้อนกลับไปฟังเพลงพวกเราและชอบเพลงของพวกเรา ในยุคนั้นมันไม่มีใครทำเพลงแบบนี้เลย มันมีอยู่วงเดียวโด่ๆ เขาก็ย้อนกลับไปฟังในดนตรีที่เราเล่นกัน พอรู้ว่าเพลงมันยังไปต่อได้ผมก็ดีใจ

ยุคทองของวงการดนตรีไทย ใน พ.ศ. ที่การฟังเพลงเข้าถึงง่ายแค่ปลายนิ้ว
ในฐานะศิลปินรุ่นพี่ คุณมองวงการเพลงไทยตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง
บุรินทร์ : สมัยพวกผมเวลาจะฟังเพลงสักเพลงต้องวิ่งไปที่แผงเทป สมัยนั้น Tower Record ในไทยก็ยังไม่มีเลย เราต้องไปดูในรายการทีวีว่ามันมีอัลบัมอะไรออก เวลาอยากจะซื้อสักอัลบัมหนึ่งต้องเก็บเงินค่าขนมตั้งนานกว่าจะได้มาซื้อเทป ซื้อซีดี ซึ่งซีดีในสมัยก่อนก็ 400 – 500 บาท มันไม่ได้ถูกเลยในยุคสมัยนั้น แต่ต้องบอกว่าด้วยความรักเราเลยทุ่มเทที่อยากจะฟัง เงินที่ผมเก็บมาทุกบาททุกสตางค์ผมเก็บมาเพื่อฟังเพลง
บุรินทร์ : ผมดีใจมากเลยที่ปัจจุบันโลกของดนตรีมัน Globalization ไปแล้ว ผมมองว่าน้องๆ ในยุคสมัยนี้เขาไปได้ไกลและไปได้กว้างกว่าเราเยอะ น้องๆ ในยุคปัจจุบันโชคดีมากที่ฟังเพลงจากที่ไหนก็ได้ และอยากจะหาเพลงอะไรก็ง่ายแค่ปลายนิ้ว เมื่อก่อนถ้าอยากรู้ว่าเพลงนี้เพลงอะไรก็ต้องจำๆ เอา แล้วก็เอาไปร้องให้ที่ร้านเทปฟัง ร้องก็ผิดบ้างถูกบ้าง แต่ตอนนี้ความรู้มันหาได้ง่ายมาก ซึ่งมันก็เป็นข้อดีในการที่เราจะผลิตนักดนตรีใหม่ๆ ในวงการเพลง
ก้อ : ผมมองว่ายุคนี้เป็นยุคทองของประเทศไทยและศิลปินคนไทย ความรู้และทรัพยากรต่างๆ มันหาได้ง่าย อยากเรียนรู้อะไร แค่ลองเข้าไปใน YouTube ก็รู้ทุกอย่างแล้ว ซึ่งมันก็ทำให้ศิลปินไทยพัฒนาไปได้ไกลมาก และผมเองก็เห็นศิลปินไทยหลายคนที่เก่ง มีความสามารถ แถมมีศิลปินหลายคนที่ตอนนี้ก็เริ่มมีแฟนเบสอยู่ต่างประเทศแล้วด้วย เพราะฉะนั้นผมมองว่ายุคนี้เป็นยุคทองของศิลปินไทยจริงๆ แต่ในขณะเดียวกันก็มีข้อเสียตรงที่ ศิลปินใหม่ๆ เองก็เกิดขึ้นยาก เพราะว่ามีศิลปินเยอะแยะไปหมด พอคนฟังมีตัวเลือกหลากหลาย การแข่งขันมันก็สูงขึ้น

Ultra V presents GROOVE RIDERS RETURN OF THE GROOVE
จะเป็นคอนเสิร์ตที่ดีที่สุดที่ GROOVE RIDERS เคยมีมา
คาดหวังอะไรในคอนเสิร์ตครั้งนี้บ้าง
ก้อ : ผมว่าความรู้สึกของเราและแฟนเพลงคงไม่ได้แตกต่างกัน เมื่อภาพที่เราถ่ายรูปด้วยกัน 4 คนถูกปล่อยออกมาเพื่อโปรโมตคอนเสิร์ต เเฟนๆ ก็ตื่นเต้นจนกระแสมันท่วมท้นจริงๆ
เราคาดหวังไว้ว่าคอนเสิร์ตในครั้งนี้จะเป็นคอนเสิร์ตที่ดีที่สุดของ GROOVE RIDERS ตั้งแต่เราตั้งวงมา การกลับมารวมตัวกันอีกครั้งในรอบ 17 ปี มันเป็นปรากฏการณ์ มันไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ทุกวัน เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ก็พิเศษในตัวมันอยู่แล้ว ในขณะเดียวกันเราก็คุยกันไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าเราจะทุ่มสุดตัวให้กับคอนเสิร์ตในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นทั้งพวกเรา 4 คน โปรดักชันต่างๆ แขกรับเชิญ และทุกสิ่งทุกอย่าง ผมมั่นใจว่าแฟนๆ ของพวกเราเขาจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะมอบให้กับเขาได้
บุรินทร์ : มันจะเป็นคอนเสิร์ตที่ดีที่สุดของเราตั้งแต่เราเคยทำคอนเสิร์ตมา สิ่งที่แฟนๆ จะได้รับคือปรากฏการณ์ของการกลับมารวมกันอีกครั้งของ 4 คน ผมยังไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้กลับมารวมกับวงอีกครั้งหนึ่ง หากคุณพลาดครั้งนี้คุณอาจจะไม่ได้เห็นอีกแล้วชั่วชีวิต เพราะฉะนั้นอย่าพลาดเลย
มาตร : อยากชวนแฟนเพลงที่ติดตามผลงานเรามา ต้องมาดูให้ได้นะครับ มันเป็นสิ่งที่เราตั้งใจกันมากจริงๆ
กั้ง : เต็มที่ครับ ปรากฏการณ์นี้อาจไม่เกิดขึ้นแล้วก็ได้ ในอนาคตไม่รู้ว่าเราจะกลับมารวมกันได้อีกครั้งเมื่อไหร่ มาดูเถอะครับ

เสมอต้นเสมอปลาย อบอุ่น สนุก
GROOVE RIDERS เป็นสิ่งมีชีวิตแบบไหน
บุรินทร์ : ผมมองว่าตัวเป็นคน แต่หัวเป็น Disco Ball
มาตร : อาจจะเหมือนกับเด็กผู้ชายที่ใส่ Walkman อยู่ที่หู แล้วก็ฟังเพลง Disco ปั่นจักรยานไปเรื่อยๆ
ก้อ : ผมมองว่า GROOVE RIDERS ไม่ใช่คน แต่เป็นมนุษย์ต่างดาวที่มาจากดาวอื่น
กั้ง : เทวดา (หัวเราะ)
กั้ง : GROOVE RIDERS คงเป็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังขับรถไปชิวๆ ไปเรื่อยๆ แหละครับ
“ตกลงพวกเราเป็นอะไรกันแน่ครับเนี่ย”