วันที่ฉันหยิบหนังสือปกขาดขึ้นมาอ่าน


วันหนึ่งที่ไม่รู้ว่าวันไหน ในปีที่อายุได้ 11 ปี เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ หัวโตคนหนึ่งกำลังเดินเล่นในมุมขายหนังสือชำรุด
แม้จะบอกว่าเป็นหนังสือที่ชำรุดก็เถอะ
แต่ก็ยังมีหนังสือหลายเล่มที่ทันยุคทันสมัยในตอนนั้น เพียงแต่มันอาจจะดูโทรม ปกขาด
หน้ากระดาษเป็นรอยไปบ้าง ไม่อาจขายทำราคาได้ดังเท่าที่ถูกตีตราไว้บนปกหนังสือ
แต่มันเป็นแหล่งค้นหาสมบัติชั้นดีของหลายคนที่ซื้อหนังสือบางเล่มในราคาที่สูงมากไม่ได้
รวมถึงเด็กน้อยผู้นี้ เธอเดินดูไปเรื่อยๆ พลางคิดในใจว่า น่าเสียดายที่หนังสือดีๆ ต้องมาถูกกองขายในสภาพแบบนี้
“ฉันจะหาเรื่องที่น่าสนใจติดมือกลับบ้านสักเล่ม” เธอคิดแล้วก็นั่งตะลุยเปิดหนังสือในกองอย่างขะมักเขม้น

เมื่อเวลาผ่านไป
สายตาของเด็กน้อยก็ไปสะดุดกับปกหนังสือเล่มหนึ่ง
เป็นรูปเด็กผู้ชายผอมแห้งกำลังขี่ไม้กวาด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าการขี่ไม้กวาดแบบนี้
เขาคนนี้คงเป็นพ่อมดไม่ผิดแน่
เหมือนที่เธอเคยอ่านเจอในหนังสือเล่มก่อนหน้านี้มาแล้ว เธอคว้ามาอ่านชื่อเรื่อง Harry Potter เธอนึกถึงภาพยนตร์ชื่อเดียวกันที่กำลังถูกฉายในโรงภาพยนตร์
เด็กหญิงไม่เคยเข้าโรงหนังไปดูหรอก แต่จากที่เพื่อนของเธอเล่า
มันกระตุ้นให้เธอหยิบหนังสือเล่มนี้เดินไปจ่ายเงิน
ด้วยราคาเพียงครึ่งหนึ่งจากปกหลัง เพราะปกหน้าเหลือเพียงครึ่งเดียว
(คงพอนึกภาพตามออกนะ) ราคาผันแปรตามพื้นที่ปกที่เหลือ
เธอกลับบ้านด้วยความสงสัยว่าเรื่องราวการผจญภัยแบบไหนจะรอเธออยู่

ขอย้อนกลับไปในเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
สองถึงสามปี
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งมักจะแอบขอเงินป๊าไปซื้อการ์ตูนไทยรายสัปดาห์และซ่อนไว้
กลัวว่าแม่จะแอบมาเห็นเข้า ไม่ใช่ว่าแม่จะว่าอะไร แต่ก็กลัวกันไปตามประสาเด็กขี้กลัวคนหนึ่งที่วันๆ เอาแต่ซื้อหนังสือการ์ตูนมาอ่าน
ทั้งไทยและเทศ การ์ตูนสนุกเฮฮา หรือแม้แต่การ์ตูนความรู้
ขอเพียงแต่เป็นการ์ตูนเท่านั้นล่ะ เธออ่านหมด สัปดาห์ละไม่ต่ำกว่า 2 – 3 เล่ม
จนเวลานับมาถึงตอนนี้ในห้องหนังสือคงเอาการ์ตูนไปขายทำเงินได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

แต่สิ่งหนึ่งที่เธอยังไม่เคยได้ลอง
คือการอ่านหนังสือที่มีแต่ตัวอักษรอย่างนิยายหรือที่ใครเรียกกันว่าอะไรก็แล้วแต่
‘มันไม่มีภาพ แล้วจะสนุกได้อย่างไรกัน’ เธอคิดเช่นนี้มาตลอด

จนกระทั่งเธอก้มมองดูหน้ากระดาษของ ‘หนังสือปกครึ่งเดียว’ ที่เพิ่งได้มาใหม่
ตัวหนังสือละลานตาไปหมด มีเพียงภาพเล็กบนหน้าแรกของแต่ละบท เด็กหญิงค่อยๆ เริ่มอ่านไล่ไปทีละบรรทัด
พลิกกระดาษผ่านไปหน้าแล้วหน้าเล่า จากตัวอักษรกลับกลายเป็นภาพในความคิด
ตัวละครมีชีวิตอย่างอิสระในจินตนาการ เธอไม่อาจละสายตาจากหน้าหนังสือได้
วันคืนผ่านไป และแล้วการเดินทางของพ่อมดน้อยแฮร์รี่และเด็กหญิงคนหนึ่งก็มาถึงหน้าสุดท้าย…
เมื่อหนังสือถูกปิดลง โลกของเด็กหญิงวัย 11 ปีก็เปลี่ยนไปตลอดกาล
เช่นเดียวกับวันที่แฮร์รี่ได้รับจดหมายจากศาสตราจารย์มักกอนนากัล

เด็กหญิงได้เรียนรู้สิ่งใหม่
สิ่งที่แตกต่างกันของการ์ตูนที่เธอชอบและนิยาย คือเวลาอ่านการ์ตูนนั้น ความคิดและการรับรู้จะถูกล้อมกรอบด้วยภาพที่เห็น ‘มันเป็นอย่างที่เห็นนั่นล่ะ ชัดเจนอยู่แล้ว’ ไม่ต้องคิดอะไรเพิ่ม แค่ไปตามเรื่องราวนั้น
แต่กับนิยาย-หนังสือที่ใช้ตัวอักษรเป็นตัวดำเนินเรื่องนั้นต่างออกไป
เธอได้สร้างตัวละครขึ้น ได้ท่องเที่ยวไปในจินตนาการของตัวเอง
มีอิสระภายใต้แกนหลักของเรื่อง
เมื่อนำมาเทียบกันแล้วโลกที่เธอจินตนาการไว้คงไม่เหมือนกับคนอื่นเป๊ะ
มันแปรเปลี่ยนไปตามประสบการณ์ของเจ้าของจินตนาการเสมอ

เหตุการณ์หลังจากนั้น
คงเดากันไม่ยากใช่ไหม เด็กหญิงหัวโตคนเดิมยังคงวิ่งเข้าๆ ออกๆ ร้านหนังสือเป็นประจำ
แต่คราวนี้ไม่ใช่เพื่อเดินทางไปพบกับโรงเรียนพ่อมดแม่มดและเวทย์มนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์เพียงแห่งเดียว
แต่ยังเป็นโลกอื่นๆ อีกมาก เพื่อเติมแต่งโลกในจินตนาการของเธอ

แม้เวลาจะผ่านมาสิบกว่าปี
จากเด็กหญิงตัวน้อยโตขึ้น เธอยังคงไม่ลืมว่าอะไรคือสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตเธอไป
…วันนั้นในมุมหนังสือชำรุด กับหนังสือปกครึ่งเดียวนั้น…

ป.ล.
ขอบคุณผู้สนับสนุนทุนในการเปิดโลกจินตนาการของเด็กหญิงเสมอมา …ป๊า กับ แม่…

ภาพ unsplash.com

ใครอยากเล่าเรื่องวันเปลี่ยนชีวิตของตัวเองบ้าง คลิกที่นี่เลย

AUTHOR