‪ วันที่ฉันเกิดอุบัติเหตุ ‬

วันที่เปลี่ยนชีวิตสำหรับฉันแล้วมันมีมากกว่า
1 วัน แต่วันที่ทรงอิทธิพลกับชีวิตของฉัน
จนฉันกล้าตัดสินใจกำหนดชะตาชีวิตของตัวเอง คือวันที่ 29 ม.ค.

มันเป็นวันทำงานที่แสนวุ่นวายไม่ต่างจากวันอื่นๆ
ในปฎิทินสักเท่าใดนัก เช้าวันนั้น ในขณะที่ฉันกำลังตรวจเช็กความคืบหน้าของกระจกบานต่างๆ
ที่ถูกลำเลียงเข้าเครื่องเจียรผ่านสายพานอยู่นั้น
ก็มีเสียงเรียกตัวฉันผ่านวิทยุสื่อสารมา “นัท ว. 2 นัท!!” เป็นเสียงของคุณระวี ผู้จัดการใหญ่เจ้าของโรงงาน “ว. 2
ค่ะ” ฉันตอบกลับไปทันที
“ลูกค้าของเจ้ลั้งจะมารับของก่อนเที่ยงนี้ ทันไหม?!” น้ำเสียงที่ออกจากลำโพงวิทยุสื่อสารนั้น มันดังสนั่นราวกับเสียงฟ้าผ่าที่กำลังตวาดคนที่รับคำสั่งอยู่ยังไงยังงั้น
ทำเอาเพื่อนร่วมงานที่อยู่ในบริเวณเดียวกันหันมามองฉันเป็นตาเดียว

“กระจกมันอยู่ด้านในลึกสุดของแร็กค่ะ ไม่น่าจะทัน”
ฉันตอบกลับไป “ลูกค้ามันไม่ยอม
มันต้องเอาวันนี้ให้ได้!!!” คราวนี้เสียงดังราวกับฟ้าร้องคำรามด้วยความโมโหหนักกว่าเดิม
“28 ค่ะ”
ฉันตอบรับคำสั่งนั้นอย่างจำใจ แล้วฉันก็ไปขอแรงจากแผนกคนขับรถมา 2 คน ซึ่งมันไม่ง่ายเลยที่พวกเขาจะยอมมาช่วย แต่ยังดีกว่าแผนกอื่น
เพราะแผนกอื่นๆ คนของเขาก็ไม่พออยู่แล้ว หากไปขอความช่วยเหลือ
นอกจากไม่ให้คนมาช่วยแล้ว ยังแถมคำด่ามาเป็นมีดแทงใจให้เจ็บอีกต่างหาก
ครั้นจะไปขอความช่วยเหลือจากหัวหน้างาน
ก็ไม่ต่างอะไรกับส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือในหลุมดำของอวกาศที่ไร้ซึ่งเสียงตอบรับกลับมา
ทำอย่างไรได้ ในเมื่อโรงงานที่ใหญ่โตนี้พยายามลดต้นทุนการผลิตด้วยการจ้างคนน้อย
แต่เน้นเค้นเหงื่อทุกหยดของคนงานให้ผลิตชิ้นงานออกมาให้ได้คุ้มกว่าเงินเดือนที่จ้างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหมือนเอาผลส้มลงใส่เครื่องคั้น

หลังจากที่พี่คนขับรถมาช่วยรื้อย้ายกระจกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขั้นตอนที่เหลือหลังจากนั้น ฉันต้องดำเนินการต่อ ระหว่างที่ฉันกำลังยกแผ่นกระจกอันคมกริบกับคนงานพม่าอีกคนเดินไปยังเครื่องเจียรนั้นเอง
ขาข้างหนึ่งของฉันก็สะดุดเข้ากับแร็กที่วางอยู่ใกล้ๆ เครื่องเจียร ทำให้ฉันเซทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับแผ่นกระจกที่จับอยู่กับมือก็พุ่งลงสับที่ข้อเท้าของฉันราวกับมีดปังตอ
แถมยังฝานแผ่นผิวหนังของฉันออกมาราวกับมะม่วงที่ถูกปอกเปลือก
แต่โชคดีมากที่กระจกไม่แตก แค่มุมมันกะเทาะไปหน่อยนึง

วินาทีนั้นพี่สุชานน
หัวหน้าเครื่องเจียร
รีบตะโกนเรียกคนงานในบริเวณนั้นให้มาช่วยกันยกกระจกออกจากตัวฉัน
ตามมาด้วยลุงอำนวย หัวหน้าแผนกเจาะรู แกรีบนำกระดาษหนังสือพิมพ์มากดห้ามเลือดให้ฉัน
แผลที่ข้อเท้าของฉันเป็นแผลใหญ่มาก ขณะที่ลุงอำนวยกำลังกดแผลห้ามเลือดให้อยู่นั้น
ขาข้างที่บาดเจ็บก็สั่นไม่หยุดเพราะเสียเลือด

แล้วทุกคนในโรงงานก็แห่กันมามุงดูฉัน
แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ พี่คมสัน
เป็นคนงานชาวพม่าที่รีบมาอุ้มฉันไปส่งที่รถของบริษัท โดยมีป้านา
ซึ่งเป็นคนงานในไลน์ผลิตมาอยู่เป็นเพื่อนบนรถด้วย และพี่สัก คนขับรถของบริษัท
ก็รีบขับรถพาฉันไปส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ระหว่างที่นอนรอหมออยู่นั้น
พยาบาลถามฉันว่า “ล้างแผลเสร็จแล้วให้ฉีดยาชาไหม?”
“ไม่ค่ะ ยังไหวอยู่” ฉันตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล
ความเจ็บปวดที่มีมาแต่แรกเริ่ม
บัดนี้กลายเป็นอาการชาไปทั่วทั้งขาแล้ว ฉันกัดฟันทนอย่างสงบนิ่ง รอประมาณ 1
ชั่วโมงหมอก็มา

“คุณโชคดีมากนะที่กระจกไม่พุ่งเข้าหาตัวสับร่างคุณ
แต่เอ็นข้อเท้าขาดเพียงเส้นเดียว ปาฏิหาริย์จริงๆ!” หมอกล่าวอย่างประหลาดใจ หลังจากหมอผ่าตัดผูกเอ็นที่ข้อเท้าพร้อมกับใส่เฝือกโบกปูนบล็อกข้อเท้าไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
พยาบาลก็นำฉันมาส่งที่ห้องรวม

ฉันนอนอยู่ที่นั่น 3 วัน
โดยไม่ได้บอกความจริงกับพ่อเพราะไม่อยากให้แกเป็นห่วง และเป็น 3 วันที่ได้นอนพักอย่างเต็มที่ เพราะตลอดระยะเวลา 10 ปี
ที่ทำงานมา ฉันแทบไม่ได้นอนอย่างสงบใจได้เลย พอถึงวันที่ 2 ก.พ.
คุณระวี ผู้จัดการใหญ่เจ้าของโรงงาน ก็โทรมาทะเลาะกับหมอและพยาบาลเพื่อต้องการให้ฉันออกจากโรงพยาบาลให้ได้ จนหมอยอมเซ็นให้ แต่ถึงกระนั้น
หมอยังกำชับกับฉันว่า “คุณต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ พักรักษาตัวให้ดีก่อนอย่างน้อย
3 เดือน ไม่เช่นนั้นเส้นเอ็นมันจะอักเสบอีก โชคดีนะ
สู้ต่อไป” พร้อมกับยื่นใบรับรองแพทย์ให้ฉัน แล้วป้านาก็นำเสื้อผ้ากับอาหารที่คุณระวีฝากมามามอบให้ฉัน
โดยมีลุงนะ แมสเซนเจอร์ประจำบริษัทวัย 60 ปีเป็นคนขับรถมาส่งฉันที่หอพัก

ฉันนอนพักได้วันเดียว
คุณระวีก็โทรมาอีก “นี่! มัวแต่นอนอยู่นั่นแหละ มาทำงานไหวไหม!!? ฉันขับรถมารับนะ”
“ไม่ไหวจริงๆ ค่ะ ขอพัก 1 เดือนได้ไหมคะ?” ฉันบอก “ลืมอะไรก็ลืมได้นะ แต่อย่าลืมบุญคุณ!” คุณระวีพูดทิ้งทวนก่อนวางสายไป

ฉันรำลึกอยู่เสมอว่าบุญคุณคือการช่วยเหลือโดยไม่หวังผลตอบแทน
แต่นี่มันคือการลงทุนที่หวังผลประโยชน์จากลูกน้องต่างหาก
เพราะฉะนั้นคุณระวีถึงได้ไม่พอใจอย่างมาก หลังจากอีกอาทิตย์นึงผ่านไป
พี่ตูน ฝ่ายบัญชีก็โทรมาแจ้งว่า “บริษัทให้พักโดยจ่ายเงินเดือนให้แค่เดือนเดียว เดือนถัดไปไม่ได้รับเงินเดือนนะ” แล้วหลังจากนั้นอีก 3 วัน ด.ช.ทน ซึ่งเป็นเด็กรับใช้ประจำตัวของคุณระวีก็โทรมาหาอีก “เจ้
มาทำงานไหวไหม ถ้าเจ้นัทรวยแล้วไม่ต้องมาทำงานก็ได้นะ” คำพูดในประโยคราวกับห่วงใยแต่แฝงใว้ด้วยการบีบคั้นอยู่ในที

พอถึงวันที่ 28 ก.พ. ฉันตัดสินใจเดินทางไปทำงาน
การใช้ไม้ค้ำยันไปพร้อมกับการจับราวบันไดแล้วใช้ขาข้างเดียวเดินลงบันไดทีละก้าว
จากชั้น 5 ลงมายังชั้นล่างสุดนั้น
กลับทำให้ฉันค้นพบศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเองอย่างคาดไม่ถึงว่า
ฉันมีความสามารถมากมายนอกเหนือจากการทำงานแลกเงิน

พอไปถึงที่ทำงาน ฉันจึงตัดสินใจพูดกับคุณระวีว่า
ฉันเดินตามงานในไลน์ผลิตพร้อมกับเข็นกระจกด้วยคงไม่ไหวแล้ว ขอย้ายมาอยู่แผนกออฟฟิศ
และกลับบ้านเวลา 5 โมงเย็นเหมือนคนอื่นๆ ในบริษัท
แทนที่จะเป็น 4 ทุ่ม ที่ต้องกลับพร้อมกับคุณระวีอย่างแต่ก่อน

“ไม่ได้! นี่เธอเปลี่ยนไปมากเลยนะ เธอซุกผู้ชายไว้ในห้องพักใช่ไหม!?
อย่าให้ฉันแฉนะ!”

ความหมายของคำพูดที่ตอบกลับมา ไม่ต่างจากไม้หน้าสามที่รุมกระหน่ำทุบตีหัวใจกับสมองของฉันจนมึนชาอย่างเจ็บปวด
ตลอดเวลาที่ทุ่มเททำงานให้มา 10 ปี
ไม่มีความหมายอะไรเลย ทั้งการที่ไม่เคย ขาด-ลา-มาสาย กระทั่งป่วยจนเป็นลมกลางไลน์ผลิตก็สู้ถ่อสังขารไปทำงาน จนอายุ 30 ก็ไม่เคยมีแฟน
แต่พอฉันทำงานไม่ได้ดั่งใจที่เจ้าของโรงงานคาดหวังไว้ ไม่ยอมเป็นอาซิ้มแก่ๆ ที่ต้องคอยติดตามเป็นข้ารับใช้เขาไปตลอดชีวิต เขากลับตอบแทนฉันด้วยการบีบให้กลับมาเป็นหุ่นให้เขาเชิดเหมือนเดิมให้ได้
ตลอดเดือนครึ่งที่ผ่านมา
บรรยากาศในที่ทำงานจึงทวีความรุนแรงแห่งความอึดอัดบีบคั้นมากขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งวันที่ 10 เม.ย. คุณระวีได้พูดกับฉันว่า
“นี่เธอแกล้งขาเจ็บเพื่อที่จะไม่ตามงานในไลน์ผลิตใช่ไหม!!? แหม! ก็แค่เอ็นขาด เดือนเดียวก็เดินได้แล้ว
สำออยอยู่นั่น!”

มันเป็นคำพูดประโยคสุดท้ายที่ทำให้ฉันหมดใจกับความผูกพันที่มีต่อคุณระวี
มันคมราวกับมีดที่ตัดสายใยให้ขาดสะบั้นลงทันที พอฉันกลับถึงห้องพัก
ก็นั่งลงร้องไห้อย่างหมดอาลัยในชีวิตและคิดฆ่าตัวตาย แต่แล้วสายตากลับเหลือบไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ซื้อนานแล้วแต่ไม่เคยเปิดอ่าน
พอเปิดไปตรงกลางเล่ม ก็เจอประโยคหนึ่งเขียนว่า “จงอย่าใช้ชีวิตชนิดที่ต้องทนอยู่กับมันไปทั้งชีวิต” ข้อความนั้นมีพลังราวกับกองไฟที่เผานกฟีนิกซ์ให้เกิดใหม่
มีชีวิตหลังความตายอีกครั้ง

เมื่อวันหยุดสงกรานต์สิ้นสุดลง
ฉันไม่กลับไปตอกบัตรในโรงงานฝึกทหารฉบับประชาชนอีกแล้ว
ฉันไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว บัดนี้ฉันได้ทำงานที่รักและรักในสิ่งที่ทำ
ฉันกลายเป็นนกฟีนิกซ์ที่โบยบินอย่างมีความสุข ไปยังจุดหมายที่ตั้งความปรารถนาไว้
ปลุกความฝันให้ตื่นจากห้วงนิทรา ฉันคือนักเขียนสร้างแรงบันดาลใจ

ขอบคุณอุบัติเหตุวันนั้นที่เปลี่ยนแปลงชีวิตฉัน
ขอบคุณ หนังสือ EVERYDAY STORY
ขอบคุณ คุณวงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ ข้อความของคุณช่วยชีวิตฉันไว้
ขอบคุณ Dr.POP สำหรับกำลังใจที่มอบให้

ใครอยากเล่าเรื่องวันเปลี่ยนชีวิตของตัวเองบ้าง คลิกที่นี่เลย

AUTHOR