วันที่ฉันตระหนักถึงพลังของงานเขียน

ฉันเริ่มทำงานเขียนหนังสือตั้งแต่ปี 2541 นับมาจนถึงตอนนี้ก็ล่วงเข้าปีที่ 17 แล้ว

ตอนเราเป็นคนเขียนหนังสือรุ่นเด็ก
บ่อยครั้งเราจะพบกับอาการสมองตัน คิดอะไรไม่ออก และบ่อยครั้งยิ่งกว่าที่ deadline ส่งต้นฉบับจะมาจ่อคอหอย
แบบอะดรีนารีนฉีดพล่านไปทั้งร่างกายจนอยู่ไม่เป็นสุข และหลายครั้งมันจบลงแค่ ‘ทำให้เสร็จๆ ไป’

วันหนึ่งขณะฉันเดินโต๋เต๋อยู่ที่ท่าน้ำศิริราช
ตรงบริเวณบอร์ดประชาสัมพันธ์มีการคัดเลือกเอาบทความจากนิตยสารต่างๆ มาติดเอาไว้เพื่อให้ความรู้กับผู้คน

หนึ่งในบทความนั้น คือบทความของฉันเอง

นาทีนั้นความรู้สึกชาที่หน้าก็บังเกิด
สิ่งที่เราทำแค่ส่งๆ ไป
อาจกลายเป็นความเชื่อมั่นที่ยิ่งใหญ่ของคนอ่าน เราทำแบบนั้นกับผู้คนที่เรามองไม่เห็นได้อย่างไร

ระหว่างเดินทางเข้าออฟฟิศ
เลขาฯ กอง บ.ก. คัดแยกจดหมายจากผู้อ่านอยู่ พอฉันเดินเข้าไป พี่เลขาฯ รีบเอาจดหมายมาให้

“มีจดหมายจากคนอ่านเขียนมาชมด้วย”

ฉันอ่านจดหมายฉบับนั้นอย่างช้าๆ
เนื้อหาในจดหมายกล่าวขอบคุณด้วยความตื้นตัน
สิ่งที่ฉันเขียนทำให้เขาหยุดคิดและเปลี่ยนแปลงวิธีคิดบางอย่างได้
และสิ่งนั้นช่วยให้เขามีความสุขขึ้นได้มหาศาล

สองคราในวันเดียวกัน นับแต่วันนั้น
ฉันจึงตระหนักเสมอว่า พลังของถ้อยคำนั้นยิ่งใหญ่และมีอยู่จริง
มันอาจเปลี่ยนแปลงชีวิต หรือแม้แต่ต่อชีวิตของใครบางคนได้อย่างไม่น่าเชื่อ

จากคนเขียนหนังสือที่เหนื่อยล้า
ฉันใช้แรงใจเหล่านี้เตือนตัวเองเสมอให้รับผิดชอบกับทุกคำในงานเขียนของตัวเอง
ใส่หัวใจกับทุกความคิดที่ส่งผ่าน
ภูมิใจกับตัวเองเสมอว่างานของเราไม่ได้อยู่แค่บนแผ่นกระดาษ

แต่ตราตรึงลึกซึ้งเข้าไปได้…ในหัวใจคน

ใครอยากเล่าเรื่องวันเปลี่ยนชีวิตของตัวเองบ้าง คลิกที่นี่เลย

AUTHOR