วันที่ผมตอกบัตรครั้งแรก

เสียงตอกบัตรดังครึ่ก

หลังจบ ม.3 ผมได้ถูกเสนอให้ไปทำงานพิเศษโดยอาจารย์ท่านหนึ่ง เนื่องจากฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี
หนี้สินพะรุงพะรัง หัวเรี่ยวหัวแรงในการหาเงินก็มีแต่แม่ ถึงแม้จะขี้เกียจ
อิดออดไม่อยากทำ แต่ด้วยสถานการณ์บีบบังคับ
ทำให้ผมต้องตัดสินใจรับงานทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะได้ทำอะไร

เรื่องมาเฉลยตอนไปรายงานตัวที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งย่านสีลม
งานของผมคือยืนรินน้ำผลไม้ให้ลูกค้าชิม มันเป็นงานที่ต้องยืนทั้งวันเป็นเวลา 10
ชั่วโมง รวมแล้วต้องอยู่ที่นี่ถึง 1 เดือนเต็ม หากใจไม่แข็ง ขาก็น่าจะแข็งก่อน

ผมผ่านวันแรกไปแบบทรมาน ข้อมือซ้ายปวดไปหมด
ไม่ใช่เพราะการทำงาน แต่เป็นการยกนาฬิกาขึ้นมาดูแทบทุกชั่วโมง เวลาที่นี่อาจเดินช้ากว่าที่อื่น

เลิกงานแล้วก็ต้องไปเบียดบนรถเมล์กับผู้ใหญ่วัยทำงานทั้งหลาย
ถึงบ้านก็ 3 ทุ่ม เตรียมเข้านอนพร้อมรับมือกับการทำงานในวันใหม่

เรามักอยากเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ไม่คิดว่าจะมาถึงไวขนาดนี้

วันสุดท้าย ผมเก็บข้าวของคืนบริษัท กำเงินที่อดทนทำงานมาทั้งเดือนไปซื้อคุกกี้ยี่ห้อฝรั่งราคาเกือบร้อยบาทที่เล็งมาตลอดห่อหนึ่ง
ผมรีบฉีกซองแกะกินทันทีด้วยอยากรู้ว่ารสชาติมันจะเป็นยังไง
ต่างจากอาร์เซนอลมินิคุกกี้ไหม

อืม มันไม่ต่างกันนักหรอก
แต่ความอดทนและการรอคอยทำให้มันมีค่ามากกว่านั้น

ผมบอกลาพี่ๆ แผนกแคชเชียร์ มองดูซูเปอร์ฯ แห่งนี้เป็นครั้งสุดท้าย และหวังว่าคงจะไม่ได้กลับมาอีก
ถึงเวลารับเงิน ผมกลัวว่าเขาจะเบี้ยวเรามั้ย เช็คจะเด้งรึเปล่า แต่พอเงินอุ่นๆ มาอยู่ในมือจึงรู้ว่าความพยายามครั้งนี้มีความหมาย

เงินถูกแบ่งไปซื้อหม้อหุงข้าวใบใหม่แทนใบเก่าที่ทนใช้มาสิบกว่าปี
เงินที่เหลือให้แม่ตอบแทน เงินก้อนแรกของลูกมูลค่าไม่เยอะ
แต่มันส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของคนเป็นลูกอย่างรุนแรง

หลังจากที่เหมือนเข็ดกับงานแรก
แต่ช่วงปิดเทอมหรือในบางเสาร์-อาทิตย์ ผมก็ทำงานไม่เคยขาดอีกเลย

งานในร้านรองเท้าบาจา ถุงเท้าคาร์สัน ไปออกบูทกับนีเวีย แจกใบปลิวตามสะพานลอย
พนักงานตรวจบัตรประชาชนในคูหาเลือกตั้ง เดินหาเสียงให้ผู้สมัครผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร
เด็กเดินตั๋วในโรงหนัง เรียงรายเข้ามาเพิ่มประสบการณ์ชีวิตไม่หยุดหย่อน

ด้วยหวังว่าสิ่งเล็กๆ ในวันนี้จะยิ่งใหญ่ได้ในสักวัน

ขอบคุณการตอกบัตรครั้งแรกในวันนั้น

ใครอยากเล่าเรื่องวันเปลี่ยนชีวิตของตัวเองบ้าง คลิกที่นี่เลย

AUTHOR