‘เกิดเป็นผู้หญิงแท้จริงแสนจะลำบาก’ หากลัดเลาะย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงเวลาอันไกลโพ้น ผู้หญิงในสังคมต่างล้วนต้องเผชิญหน้ากับวิบากกรรมการกดทับมากมาย แต่ละสิ่งละอันบ่มก่อมาจากโครงสร้างใหญ่ของสังคมในระดับที่ปัจเจกชนต้องก้มหัวเห็นด้วย
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูบอกว่าภรรยาเป็นสมบัติของสามี เมื่อสามีตาย ภรรยาควรจะเผาตัวเองมอดม้วยตามไปด้วย ในขณะที่ศาสนาคริสต์เองก็บอกว่าอีฟถูกสร้างมาจากกระดูกซี่โครงของอดัม หรือกระทั่งมีการถกเถียงกันในแวดวงนักวิชาการว่าแท้จริงแล้วอีฟถูกสร้างมาจากกระดูกองคชาตของอดัมต่างหาก แต่ไม่ว่าอีฟจะถูกสร้างมาจากกระดูกส่วนไหน ก็ต่างมีความหมายโดยนัยว่าร่างกายผู้หญิงเป็นส่วนหนึ่งของผู้ชายนั่นแหละ
เนื้อตัวร่างกายของผู้หญิงจึงไม่ได้เป็นของตัวเธอเองในทางศาสนา อันเป็นที่มาของการถูกเลือกปฏิบัติที่น่าชอกช้ำระกำใจสิ้นดี ในอดีตพวกเธอต้องสูญเสียอะไรไปมากมายกว่าจะสามารถยืนหยัดที่จะใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการได้

ในเทศกาลภาพยนตร์ European Union Film Festival ครั้งที่ 31 ได้คัดเลือกภาพยนตร์ที่น่าสนใจมาฉายหลายเรื่อง หลากบริบทสังคม หนึ่งในนั้นมีภาพยนตร์เรื่อง Carmen (2021) ของผู้กำกับวาเลอรี บูฮาเกียร์ (Valerie Buhagiar) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงของหญิงวัยใกล้เกษียณ ซึ่งเป็นคุณป้าของผู้กำกับเอง
เรื่องราวอันว่าด้วยเรื่องของผู้หญิงที่ถูกพรากช่วงเวลาในชีวิตไปเพราะต้องอยู่ปรนนิบัติรับใช้พี่ชายที่เป็นบาทหลวง จนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของพี่ชายมาถึง เธอถูกคริสตจักรหันหลังให้แล้วปิดประตูใส่หน้า แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของหนทางสู่อิสรภาพ

วันที่โชคชะตาไม่อยู่เคียงข้างเรา
วันที่มีแค่เราที่อยู่เคียงข้าง (เรา)
คาร์เมน (Carmen) ผู้หญิงที่เป็นลูกสาวของบ้านที่มีพี่ชายเป็นบาทหลวง เธอจึงต้องรับบทน้องสาวผู้ดูแลรับใช้นักบวชอันเป็นที่นับหน้าถือตา ทิ้งชีวิตวัยสาวสะพรั่งไปอย่างน่าเสียดาย ฉากเปิดในหนังฉายให้เห็นว่าเธอช่างน่าสลดหดหู่ นั่งหอเหี่ยวซีดเซียว ทุกข์ทนนั่งอยู่บนเก้าอี้แถวหลังในโบสถ์ แต่งชุดดำ ผมสีดอกเลาดูยุ่งเหยิง ดวงหน้าไร้ซึ่งชีวิตชีวา มีอาชีพเป็นแม่บ้านเต็มเวลา ไม่มีงานอดิเรก ไร้เพื่อนฝูง และคนรัก ขาดแม้กระทั่งการเสริมเติมแต่งสีสันแบบผู้หญิงทั่วไป
จริงๆ ภาพเหล่านี้หาได้ไม่ยากในโลกจริงๆ มักจะเป็นสภาพของเหล่าผู้ดูแลที่ถูกคนอื่นขโมยเวลาชีวิตไป ผู้หญิงกับงานบ้านความธรรมดาสามัญที่พบได้ทั่วไป
หนังเลือกที่จะเริ่มต้นด้วยสิ่งเหล่านี้ ความซึมกะทือเอื่อยเฉื่อย ไร้ซึ่งการบอกเล่า แต่เราก็เข้าใจได้ทันทีเมื่อพี่ชายผู้เกี่ยวพันต่อชีวิตเธออย่างสุดลิ่มทิ่มประตูล้มพับลง เขาตาย ณ ขณะนั้นเรารู้ได้เลยว่าชิบหายแน่ คาร์เมน (Carmen) กลายเป็นคนไร้บ้าน และไม่มีอาชีพ
ฉากเหล่านี้ในหนังดูจริง และสะท้อนชีวิตของผู้หญิงซึ่งไร้ที่ทางสำหรับศาสนาเหลือเกิน เธอใช้เวลาค่อนชีวิตในการตกใต้เงื่อนปมความปกติ (?) ของสตรีเพศที่ดูแลบุรุษ แถมชายผู้นั้นยังเป็นบาทหลวงอีกต่างหาก เหตุใดถึงไม่ได้ส่วนแบ่งผลบุญบ้างเลย
และส่วนของชีวิตที่ถูกกัดกินไปก็ไม่สามารถเอากลับคืนมาได้ เธอทำได้เพียงลักลอบเข้าไปหลับนอนในโบสถ์ และหอระฆังเพื่อประทังให้ชีวิตยังอยู่ต่อไปได้ กลับไปพึ่งพาสถานที่เดียวที่ชีวิตอนุญาตให้เธอรู้จัก แม้พื้นที่เหล่านั้นจะไม่เคยเป็นของเธอเลยมาตั้งแต่ต้น

ชะตาชีวิตใหม่ ความน่าพึงพอใจที่ไม่สมเหตุสมผล
แต่อาจเพราะนี่คือหนังที่ผู้กำกับไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำจนเกินไปนัก จึงเลือกให้หญิงสาวเจอชะตาชีวิตใหม่ที่ใจดีสุดๆ เธอได้กุญแจเพื่อไขเข้าไปปลอมเป็นบาทหลวง ประจวบกับที่บาทหลวงคนใหม่หนีไปพอดี ในทางหนึ่งหนังคงตั้งใจที่จะสะทอดท้อนการปลดพันธะภาระที่เคยจองจำเธอไว้ มุ่งไปสู่ทางเลือกใหม่ที่แหกขนบดั้งเดิม
คาร์เมนมีชีวิตที่สว่างสดใสมากขึ้น จากการนั่งอยู่ในห้องสารภาพบาป เธอทำหน้าที่ที่ผู้หญิงเองไม่ถูกอนุญาตให้ทำ และทำได้ดีเสียด้วย ได้รับเงินบริจาคอู้ฟู่จนนำมาเสริมเติมแต่งสิ่งที่ตัวเองไม่เคยมี ไม่เคยเป็นได้ และผู้กำกับคงกลัวว่าทิศทางของหนังจะผลักให้ตัวละครดำเนินไปสู่ความละโมบ โลภมากจนเกินไปจึงต้องใส่ฉากที่เธอแบ่งปันเงินให้แด่ความฝันของผู้หญิงคนอื่นๆ ด้วย
แน่นอนว่าฉากเหล่านี้คงไม่ได้ถูกใส่มาเพื่อทำให้ตัวละครบรรลุความต้องการเพียงเท่านั้น แต่มันคงสื่อสารถึงการพยายามหาที่ทางแห่งใหม่สำหรับผู้หญิงในศาสนา คือการขยายขอบเขตจากความเชื่อดั้งเดิมที่ว่าต้องเป็นผู้ชายเท่านั้นที่จะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณได้

แต่ถึงกระนั้นทางเลือกนี้ของผู้สร้างก็มีรสชาติแปร่งๆ อยู่ไม่น้อย เมื่อความไม่สมเหตุสมผลในการกระทำ และความง่ายดายเหลือเกินสำหรับตัวละคร มันผลักคนดูออกจากความเป็นจริงที่หนังหยิบยื่นให้ในช่วงแรก หนังมีน้ำหนักน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อการเดินทางของเส้นเรื่องลงล็อกตามที่มันควรจะเป็น ผนวกกับการเล่าเรื่องเป็นเส้นตรงไม่มีเลี้ยวหักเบนทำให้เราถอยห่างคาร์เมนออกมาเรื่อยๆ เพราะรู้ว่ายัยนี่รอดแล้วแน่
ยิ่งหนังพยายามวางตัวให้ไม่เป็นปฏิปักษ์กับโครงสร้างเดิมมากเท่าไหร่ เรายิ่งเชื่อมโยงกับหนังได้น้อยลงเท่านั้น เสียงแว่วกระซิบเบาๆ อย่างเรื่องราวเชิงสัญลักษณ์ที่ให้ตัวละครหญิงนั่งแท่นทำในสิ่งที่ผู้ชายทำได้ก็อาจเล็กจ้อยไปในการจะพูดถึงเรื่องที่มีเถาวัลย์พันเกี่ยวกันมานานจนนับเลขไม่ถูก ถ้าโลกแห่งความเป็นจริงเหี้ยมน้อยลงกว่านี้แม้สักหน่อย เราอาจจะเชื่อความสวยงามที่เกิดขึ้นในหนังได้บ้าง ถ้าความจริงของชีวิตไม่หนักอึ้งเท่านี้ เรื่องราวประโลมโลกมันคงพอที่จะรั้งน้ำหนักไปอีกฟากฝั่งได้ ฟากฝั่งที่สวยนะแต่เป็นไปได้หรือ
แต่ถึงอย่างนั้นทางที่ผู้กำกับเลือกจะเล่าก็เข้าใจได้ เขาสรรสร้างเรื่องราวที่น่าพึงใจมากไปกว่าความสมเหตุสมผล

เพราะโลกเปลี่ยนแปลงทุกวัน แล้วศาสนาจะรออะไร
แม้ภาพรวมของหนังจะมีน้ำหนักที่เบาหวิวแถมยังไม่ได้เชื่อมโยงทางความรู้สึกกับเราเท่าไหร่นัก อาจจะเพราะหนังละเลยรายละเอียดปลีกย่อยส่วนที่เป็นอีโมชันออกไปเสียหมด แต่ประเด็นของหนังก็ยังน่าสนใจเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงให้คนดูติดตามต่อไปเรื่อยๆ
ส่วนที่แข็งแรงที่สุดของหนังเรื่องนี้คือการที่มันเล่าเรื่องหนักๆ โดยใช้ความแฟนตาซีเข้ามาหนุนเรื่อง และขณะเดียวกันก็สร้างเรื่องสร้างราวที่แสนจะขุ่นมัวให้สว่างสดใส แต่สิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็นจุดที่เปราะบางที่สุด เพราะการเล่าเรื่องในมุมมองนี้ก็ยากที่จะเร้าให้คนรู้สึกตาม แม้ประเด็นที่หนังนำเสนอจะเป็นสากลแต่เมื่อถูกหีบห่อในลักษณะนี้ แถมผู้กำกับเลือกจะเล่าสิ่งต่างๆ แบบแตะๆ อิงผ่านๆ เลยกลายเป็นว่าหนังเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ดีนะ แต่อาจจะไม่ได้ซึมลึกเข้าไปในจิตใจของคนดูเท่าที่ควร ทั้งที่วัตถุดิบที่มันมีอยู่นี้น่าถึงรสถึงชาติทั้งนั้น

ฉากแลนดิ้งลงของหนังทำได้เสมอตัว และเป็นหมุดหมายอันดีที่เราจะพูดถึงศาสนาในมุมที่ไม่ใช่เพียงสิ่งที่ตั้งอยู่อย่างมั่นคงแข็งแรง แต่มันควรจะยืดหยุ่น และปรับเปลี่ยนไปตามวิถีความเป็นไปของโลก การลั่นระฆังในตอนท้าย คือสัญลักษณ์ที่บอกว่าสิ่งที่มันเป็นอยู่เราเลือกได้นะ เลือกที่จะใช้ความเป็นมนุษย์มาร่างกฎกันใหม่ และสิ่งนี้ไม่ใช่การอารยะขัดขืนต่อความคิด ความเชื่อ หรือพระเจ้า แต่มันคือการอยู่ร่วมกัน และพระเจ้าจะอยู่เคียงข้างมนุษย์จริงๆ
ซีนที่ผู้คนแห่แหนกันมาตามเสียงกระดิ่งในตอนท้ายอาจคือการบอกกลายๆ ว่า ศาสนาคงจะไม่ใช่อะไรไปมากเสียกว่าผู้คน
