แดดยามบ่ายส่องบ้านพื้นไม้จนเงาตกกระทบสว่าง เถาวัลย์เลื้อยขึ้นกำแพงนอกบ้าน อิฐก้อนเก่าเรียงเป็นระเบียบ ถ้าให้เดาจากสถาปัตย์รอบนอก เราว่าเจ้าของบ้านนี้คงเป็นคนอบอุ่นน่าดู ท่าจะเจ้าระเบียบอยู่หน่อยๆ จากรองเท้าหนังดำขัดมันวับที่วางอยู่
บอยหมกมุ่นอยู่กับโทรศัพท์ที่เหยียดไกลออกมาถึงตัก แว่นสายตายาวเลนส์แก้วพาดบนจมูกยิ่งดูจะซีเรียส
และแล้วความสงัดก็หายไป เมื่อชายร่างเล็กพร้อมรองเท้าคอนเวิร์สเทาลายดอกไม้ขาว อืม ยังคงคอนเซปต์เด็กแนว เขาเดินเข้าสตูดิโอหลังนี้อย่างคล่องแคล่วราวว่าเป็นบ้านหลังที่สอง
ก่อนท้องฟ้าจะสดใส
“หวัดดีครับพี่” เสียงที่คุ้นเคยนี้ทำให้บอยเงยหน้าขึ้นมอง
เอาล่ะ ‘บอย-ชีวิน โกสิยพงษ์’ และ ‘ป๊อด-ธนชัย อุชชิน’ นั่งอยู่ตรงหน้าเราแล้ว ตอนแรกคิดว่าจะไม่เกร็งเท่าไหร่นัก แต่กล้ามเนื้อร่างกายไม่ค่อยเชื่อฟัง เรากลั้นหายใจ และพูดประโยคเปิ่นๆ ต้อนรับ “เอาจริงๆ หนูเขินมากค่ะพี่”
ตำนานที่ยังมีลมหายใจหัวเราะพร้อมกันพลางบอกไม่เป็นไร พวกพี่สบายๆ และก่อนจะเอ่ยอะไรต่อ ป๊อดก็ร้องเฮ้ย! หลังจากได้เห็นหน้าตัวเอง และคู่หูอยู่บนปกหนังสือ a day ในปี 2007 มือรีบคว้าแว่นสายตามาใส่ ทั้งสองนั่งคุยรำลึกความหลัง นิ้วชี้หน้าโน้น พลิกหน้านี้อย่างสนุก
“อะไร สัมภาษณ์อยู่ 4 หน้าได้ขึ้นปกเลยเหรอ” บอยทำป๊อดหัวเราะท้องแข็ง เราเริ่มลากเข้าบทสนทนาหลังเห็นว่าบรรยากาศท่าจะผ่อนคลายลงมาก

ภาพบนปกกับตอนนี้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหม
“เราก็แก่ลงเยอะนะ ตอนนี้หัวล้านมากเลย ไม่มีผมแล้ว” บอยหัวเราะดัง “จะว่าไปโตขึ้นก็เข้าใจโลกมากขึ้น รู้ว่าอะไรควรเลี่ยง”
ป๊อดพูดทันควัน “เราชิลล์ขึ้นกว่าคนนั้น เราว่าตัวเองอยู่กับปัจจุบันมากกว่า วันนี้เราอยู่ตรงนี้จริงๆ แล้วรู้สึกว่ามันสบายดีนะ”
“เราอยู่กับอนาคตอย่างเดียวเลย อยากทำเพลงไปเรื่อยๆ” บอยต่อบทสนทนาอย่างโบ๊ะบ๊ะ ทำให้เกิดเสียงคิกคักในลำคอป๊อด “ชอบประโยคเมื่อกี้มาก ไฮไลต์เลย”
แน่นอนว่าบอยทำป๊อดท้องแข็งอีกแล้ว แต่กิมมิคที่ตามมา คือการตบเข่าฉาด ตัวหงึกหงักบนโซฟาด้วยเพราะอารมณ์ดี ดูทรงแล้วบ้านไม้หลังนี้น่าจะสั่นไปอีกสักพัก
ความสุขในการทำเพลงตอนนั้นกับตอนนี้เปลี่ยนไปไหม
“มีช่วงหนึ่งที่การทำเพลงเราไม่เหมือนเดิม แต่ตอนนี้เราคิดว่าตัวเองยิ่งกว่าวัยรุ่นอีก พอมีทุกอย่างครบอย่างที่ได้ยินในหัวแล้วสามารถ Execute ออกมาได้เนี่ย ณ วันนี้ยิ่งกว่าบอยคนก่อนอีก ว่าแมะ” บอยเล่าทั้งหันหน้าไปถามป๊อด
“จริง พลุ่งพล่านมาก” ป๊อดพยักหน้ารับ
บทเรียนนี้ไม่มีสอน
ต้องผ่านพ้นความทุกข์ร้อนเท่านั้นถึงเข้าใจได้
บทสัมภาษณ์ในหน้านิตยสาร a day เล่มที่ 84 หน้าปก BOYd Featuring POD มีคำบอกเล่าหนึ่งของบอยประทับไว้ เขาว่าหลังจากทำอัลบั้ม ‘BOYd & POD’ จบ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับมาทำด้วยกันอีก อาจจะสัก 10 ปี รอให้แก่ๆ กันหน่อย
และวาจาบอยช่างศักดิ์สิทธิ์ เพราะเมื่อย่างเข้าปี 2023 พวกเขาก็ได้หวนกลับมาทำเพลงด้วยกันอีกครั้ง ทั้งริ้วรอยบนใบหน้าที่มากขึ้น ผ่านมาจวบเข้า 18 ปีที่ทั้งสองกำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ปลายเดือนมิถุนายน และคราวนี้ BOYd & POD ไม่มีตัว & คั่นอีกแล้ว กลายเป็น ‘BOYdPOD’ ที่สมาสเข้ากันอย่างลงตัว
หากนั่งไทม์มาชีนย้อนกลับไป โลกของด.ช.บอย และด.ช.ป๊อดเป็นโลกคนละใบ บอยว่าเขามักฝักใฝ่อยู่กับการ์ตูน การเขียนเพลง และศาสนาคริสต์ เมื่อครูให้กรอกว่าความฝันคืออะไร
“นักบวช” เขาตอบอย่างไม่ลังเล
ด้วยเพราะเห็นพ่อเป็นดังผู้นำทางจิตวิญญาณ จนได้เรียนรู้การอธิษฐานที่ทำให้ใจช่างสงบสุข และอยากจะเป็นสุขไปตลอด
“ในใจเรามีกระแสเรียกให้เป็นนักบวช บอกพ่อว่าอยากเป็นเณรของคาทอลิก แต่ป้ามาได้ยินเข้าก็บอกอยู่กับพ่อเถอะ เพราะคาทอลิกบวชแล้วห้ามสึก”
“เกือบแล้ว เกือบเป็นบราเธอร์แล้ว” ป๊อดพูดทำบอยขำเหมือนโดนจั๊กจี้ “ส่วนความฝันของเรามาทางอาร์ต ตอนม.4 รู้เลยว่าอยากเรียนจิตรกรรม แต่ถูกส่งไปเรียนห้อง 1”
“เสือกฉลาดอีก” บอยเสริม “เออ เสือกฉลาด แล้วแม่งเป็นแผนที่ต้องสอบหมอกับวิศวะ เราตกหมดเลย ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เลข คือรู้แค่ H2O คือน้ำ CO2 คาร์บอน พยายามแล้วแต่มันไม่ไปจริงๆ เลยอาศัยช่วงเลิกเรียนไปคณะจิตรกรรมเพื่อติว สุดท้ายก็ได้เรียนศิลปะที่จุฬาจริงๆ”

มั่นคงเสมอไม่มีเปลี่ยน
และยังคงรักไม่เคยเปลี่ยน
จุดเริ่มต้นที่ทำให้ชอบดนตรีคืออะไร
บอยเริ่มเปิดคำตอบของตัวเองก่อน “จริงๆ ชอบหลายอย่าง ทั้งวาดการ์ตูน แต่งเพลง แต่วาดไม่ค่อยเก่งก็เลยคิดว่าแต่งเพลงดีกว่า เพราะไม่ต้องอาศัยสกิล เพลงจะเพราะไม่เพราะมันก็คือออริจินัล พอทำไปเรื่อยๆ ก็พัฒนาท่อเราได้มากขึ้น ชอบความรู้สึกเวลาได้รับสารผ่านท่อเลยเลือกว่าทำอาชีพนี้แล้วกัน เพราะง่ายกว่าทำการ์ตูน แต่งฟังเองตั้งแต่ยังเลขตัวเดียว อิงจากหน้ากากเสือ กระบี่ไร้เทียมทาน”
จากที่มองไปรอบห้องก็เห็นความชอบในวัยเด็กของบอยที่ตะโกนออกมา หุ่นฟิกเกอร์หน้ากากเสือตัวใหญ่เกือบเพดานเตะตาอย่างจัง การ์ตูนอนิเมะตั้งเรียงมากกว่าสิบเล่ม และภาพวาดแอ็บสแตรกต์ที่แปะประดับเต็มผนังบ้าน

ต่อด้วยคำตอบจากป๊อด “เราได้ยินเสียงเพลงมาตั้งแต่เกิด เพราะมีวิทยุเครื่องหนึ่งตั้งอยู่บนหัวตอนนอนเปล แล้วก็ได้ดูดนตรีตั้งแต่ยังเด็ก โชคดีมากที่โรงเรียนให้ดูแสดงสด เอาเพลงเด็ดๆ ของแต่ละช่วงวัยมา คือเห็น Performance ของศิลปินแห่งยุคเลย ดูพี่แอมสาว สาว สาวเล่นโฟล์กซองกับกีตาร์ตัวเดียว จำได้ว่ามีโมเมนต์เกือบตายด้วยเพราะตัวเล็กมาก โดนอัดอยู่ในห้องประชุมแทบขาดลมหายใจ”
บอยหันหน้ามองป๊อดอย่างอึ้งๆ เมื่อได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรกพลางพูด “นี่คือโรงเรียนจ่ายเหรอ” ป๊อดพยักหน้ารับว่าใช่ ก่อนคนฟังจะถอนหายใจ “โห! โรงเรียนเราไม่มีอะ แต่มีเพื่อนเป็นเจ้าของโดเรมีนะ (ร้านเทปในตำนาน ณ สยามสแควร์) ขอให้เพื่อนเอาเพลงอะไรมาให้ฟังก็ได้ ทุกอาทิตย์เขาก็หยิบมาเป็นปึกๆ”
“แสดงว่ามี Spotify เป็นของตัวเองตั้งแต่เด็ก ถ้าบอยได้ฟังเพลงแบบอันลิมิติด เราก็นับว่าได้ดูเพลงสดแบบอันลิมิติด” ป๊อดพูดแซวทั้งหัวเราะ
จำได้ไหมว่าฟังเพลงแนวไหน
“ฟังเพลงตามที่บ้าน ไม่ก็กึ่งแจ๊สกึ่งบลูส์ เราชอบซื้อเทปแจกเพื่อน เพราะม้วนละ 20 บาทเอง คืออยากให้เพื่อนชอบแบบนี้บ้าง แต่ไม่มีใครเห็นด้วยเลย เพื่อนฟังเสร็จแล้วบอกมึงเอาอะไรมาให้ฟังเนี่ย เราก็เอ้ย! มึงลองไปฟังอีกทีนะ” ระหว่างบอยเล่าถึงความหลัง เราก็ยังได้ยินเสียงคิกคักพร้อมตาหยีรูปพระจันทร์ยิ้มจากป๊อดอยู่ไม่ขาด
“ส่วนเราฟังเพลงไทยทุกแบบ ตั้งแต่สุนทราภรณ์ไล่มาเลย พวกประวัติศาสตร์ดนตรีไทยนี่เราเก็บหมด แต่พอได้เลือกเองก็เป็นยุคที่เริ่มชอบเพลงฝรั่ง ตอนม.1 ได้ดูหนัง Purple Rain ของ Prince แล้วอยากเป็น Prince รู้สึกว่าเฮ้ย! ศิลปินตัวเล็กก็ได้เว้ย กูมีหวังแล้ว” ป๊อดพูดทั้งกำมือไชโย ทำคนทั้งห้องหัวเราะร่วน

และเทปอัลบั้ม ‘เพียงกระซิบ’ ของ ‘Innocent’ ก็ได้จุดประกายให้ด.ช.บอยในอายุ 16 ปีเลือกเส้นทางนักแต่งเพลง แม้ว่าจะฟังมาหลากหลายแนว และส่วนใหญ่เป็นเพลงในโบสถ์ก็ตาม แต่เพลงนี้ทำให้บอยอุทานอ้าปากค้างว่าตัวเองไปอยู่ที่ไหนมาถึงเพิ่งรู้ว่าเพลงไทยไพเราะซะขนาดนี้ “คือพี่ฟังเลตมากอะ” ป๊อดร้องแซว
เมื่อแน่วแน่แล้ว บอยก็เริ่มทำ Production House ในนาม ‘Bakery Music’ ขณะที่ป๊อดไล่คว้าฝันกับกลุ่มเพื่อนบนเวที Coke Music Awards 1992 และคว้าถ้วยรางวัลอันดับหนึ่งมาครอบครอง รอยเท้าทั้งสองคู่เดินมาบรรจบกันในห้องอัดย่านสยาม
จากที่บอยเอาแต่แต่งเพลงเก็บไว้ไม่ยอมปล่อยเสียที จน ‘สุกี้-กมล สุโกศล แคลปป์’ นักโปรดิวซ์เพลงต้องคาดคั้นว่าจะเริ่มได้หรือยัง ทว่านั่นอาจเป็นพรจากพระเจ้าอย่างที่บอยชอบพูดบ่อยๆ เบื้องบนคงให้เขารอเวลาเพื่อได้พบกับเสียงที่ตามหามานาน
เก็บเพลงรักนี้ไว้ให้เธอ
เมื่อวันใดที่เจอะเจอฉันก็พร้อมและยินยอม
“ป๊อดจำพี่ไม่ได้ แต่พี่จำเขาได้แม่น เพราะรองเท้าลายหมากรุก (หัวเราะ) ในสายตาเราคือคนๆ นี้เก่งจังเลย” นั่นเป็น First Impression ที่แท้จริงจากบอยเมื่อได้เจอป๊อด
นอกจากป๊อดจะเป็นคนกดปุ่มให้ Bakery Music ก่อร่างเป็นค่ายเพลง เขายังเปรียบเหมือนดาวบนแผนผังต้นไม้ที่คอยชักชวนคนในแวดวงดนตรีให้มาแจมด้วยกัน
คราวนั้นเอง ชื่อ ‘ป๊อด โมเดิร์นด็อก’ นักร้องสายอัลเทอร์นาทิฟร็อก และนักแต่งเพลงละมุนหูอย่าง ‘บอย โกสิยพงษ์’ ก็ได้ถูกจารึกไว้ในวงการดนตรีไทยด้วยเพลง ‘บุษบา’
ก่อนหน้าที่จะมาสนิทกัน มองอีกคนเป็นยังไง
ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนป๊อดจะพูดขึ้น “ผมเห็นบอยเป็นคนสายโรแมนติก ช่วงนั้นเขาอินเลิฟด้วยแหละ เพลงลมหายใจนั่นแต่งจีบแฟนนะ เราอยู่ในโมเมนต์ที่เขาอินเพลงเจ้าหญิง แต่ในขณะเดียวกันก็เห็นถึงความซ่าส์ เป็นคนกวนตีนคนหนึ่ง” จังหวะนี้แหละที่บอยหันขวับจ้องป๊อด “ผมเป็นเด็กซ่าส์เหรอ ไหนลองเล่าให้ฟังสิ” แล้วทั้งคู่ก็ระเบิดเสียงหัวเราะใส่กัน ป๊อดค่อยๆ สงบอารมณ์ขันที่ค้างอยู่ “คือเราเห็นทั้งสองด้านของเขา คล้ายๆ ตอนเราทำอัลบั้มแรกที่เราปล่อยทุกอย่างแบบร็อกๆ แต่ความนุ่มลึกก็มีอยู่ในนั้นด้วย เราเลยมาประสานกัน เติมเต็มกันและกัน”
นอกจากเรื่องเพลง มีอะไรที่คุยกันแล้วถูกคอไหม
“ไม่มีเลย” บอยตอบทั้งส่ายหน้าสิ้นหวังอย่างทะเล้น ทำเอาป๊อดขำก๊าก (อีกแล้ว) “เอาตรงๆ ไลฟ์สไตล์ก็ต่างกัน อย่างเราจะเป็นเด็กอาร์ตกินเหล้า บอยเขาสายเนิร์ด คือโลกคนละใบ แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือฟังเพลงคล้ายกันมาก ใช้คำว่าประสบการณ์ของเพลงที่ฟังทำให้รับรู้ซึ่งกันและกัน เชื่อมโยงกันได้ เข้าใจกัน” ป๊อดเสริม
ผ้าม่านอาจปิดแล้ว
แต่ความทรงจำยังสว่างอยู่ข้างใน
หลังจากปล่อยเพลงหลายอัลบั้มออกมาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยมีบอยเป็นคนบรรเลงอักษรลงกระดาษ ส่วนป๊อดทำหน้าที่ขับร้องท่วงทำนอง ก็จำต้องกดปุ่มพอส (Pause) เอาไว้ เรียกว่าแยกย้ายกันไปเติบโต ผันผ่านฤดูกาลที่แตกต่างของตัวเอง ได้เจอะเจอเรื่องใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ ที่พาเหรดเข้ามาทักทาย
ทว่ากลับไม่มีอะไรแทนที่ความสัมพันธ์เหนียวแน่นของพวกเขาได้เลย เมื่อความคิดถึงเล่นกับใจจนสะบักสะบอม หลังห่างหายจากการจัดคอนเสิร์ตใหญ่มานานกว่า 3 ปีเต็ม ทำให้บอยเลือกจะประกาศบนคอนเสิร์ต ‘BOYd-NOP’ การกลับมาระหว่างบอย โกสิยพงษ์ และนภ พรชำนิ ในปลายปี 2023
แต่ถึงอย่างนั้น บอยก็ไม่ลืมที่จะชักชวนชายร่างเล็กที่ยืนอยู่บนผืนเวทีเดียวกันในฐานะศิลปินรับเชิญให้มาทำคอนเสิร์ตด้วยกัน
เพราะแม้ก่อนหน้านั้นทั้งสองจะเริ่มขลุกตัวทำอัลบั้มแล้วก็ยังไม่เพียงพอ “ได้กลับมาทำอัลบั้มด้วยกันแล้วโอโห! บอกไม่ถูกอะ มันดึงทุกอย่างย้อนไปสู่วันที่ทำ BOYdPOD ครั้งแรก แบบอยากกลับไปทำกับเขาอีกจัง ก็เลยชวนบนเวทีวันนั้นไปเลย ประชาชนจะได้ช่วยกันเชียร์ มันก็ต้องยอมอยู่แล้วแหละ เพราะแรงกดดัน (หัวเราะ) จริงๆ ก็คิดถึง อยากจะทำตั้งหลายทีแล้ว แต่คุณป๊อดเขาก็ยังเฉิดฉายอยู่ เราก็เอ! ยังไงดีวะ ไม่กล้าคุย เพราะเกรงใจป๊อดสูงนะ มองว่าเขาเป็นระดับพระกาฬ แต่วันนั้นคือใจมันเต็มที่แล้วจริงๆ ก็ขอหน่อยแล้วกัน” เหมือนบอยเพิ่งจะสารภาพความในใจไป ลักยิ้มเจ้าเสน่ห์บนใบหน้าของป๊อดเป็นคำตอบแทนความอิ่มเอมได้อย่างหมดจด
“ตอนบอยชวนวันนั้น เราก็รู้สึกว่ามันใช่เนอะ ความมุ่งหวังของผม คืออยากจะทำเพลงดีๆ ทิ้งไว้อีก วันหนึ่งเราก็ต้องจากไปแหละ แต่อยากจากไปด้วยการสร้างอะไรที่ทรงคุณค่าเอาไว้ และเรามั่นใจว่าคอนเสิร์ตนี้ คือสิ่งทรงคุณค่าที่เราจะสร้างด้วยกัน”
รักของบอยถูกรับไว้แล้ว ตอนนั้นเราเองก็ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวเหมือนกัน เพราะจู่ๆ บอยก็หยิบกีตาร์โปร่งมาดีดเล่นทวนคอร์ด ตามด้วยเสียงร้องของป๊อด ผู้เขียนสาบานเลยว่าเสียงของพวกเขาที่ถูกอัดด้วยโทรศัพท์เครื่องนี้จะไม่ถูกลบไป

หากจะให้สปอยล์คอนเสิร์ต ท่าจะบอกได้เพียงว่ายังคุมโทนดนตรีนำ และเครื่องแบบในชุดสุภาพ แต่เราไม่อาจลืมภาพที่ป๊อดกระโดดโหยงเหยงในชุดลูกเสือเมื่อยุค 90 กันไปได้หรอก
พลังของเขาทั้งคู่ยังล้นปรอท แต่จะเป็นการดีที่ก่อนไฟบนเวทีส่องลงมา บรรดาแฟน BOYdPOD จะไล่ฟังเพลงเพื่อปลุกอารมณ์และความ Nostalgia เตรียมตัวพบกับศิลปินในดวงใจแบบตัวเป็นๆ กระซิบว่านอกเหนือจากนั้น คุณจะได้เจอเซอร์ไพรส์เพลงที่ยังไม่ถูกปล่อยด้วยเหมือนกัน ไม่เชื่อลองฟังจากปากเจ้าตัวผู้ประพันธ์เพลงดูสิ

ในอัลบั้มที่ทำล่าสุดมีอะไรต่างออกไปจากอัลบั้มก่อนไหม
บอยหยุดคิดครู่หนึ่งระหว่างที่ทุกสายตาจับจ้องเขา “ต่างที่คอนเซปต์ อย่างเพลง ‘Castaway’ เกิดขึ้นตอนที่เราดูหนังเรื่อง Castle Away กับลูกแล้วนั่งกอดคอกันร้องไห้ ดูแล้วมันเจ็บจนไม่รู้จะเจ็บยังไงเลยแต่งเพลงเป็นตัวแทนให้นางเอก พอแต่งเสร็จแล้วคนเดียวที่นึกออกเลยว่าเขาจะร้องได้ดี คือป๊อด ทำให้ได้รู้อีกอย่างว่าเอ้ย! จริงๆ เราแต่งเพลงจากหนังได้นี่ ประกอบกับลูกเริ่มมีความรักด้วยทำให้ได้รับข้อมูลใหม่ๆ มา เอามวลความรู้สึกพวกนั้นมาแต่ง เริ่มเห็นทิศทางทำเพลงประกอบชีวิต”
มีเพลงที่เป็นตัวแทนทั้งสองได้ดีในตอนนี้ไหม
“ผมชอบเพลงล่าสุดของตัวเองเสมอ ตอนนี้ก็ยังเป็นเพลงล่าสุด” บอยตอบ แล้วเสียงจากป๊อดก็ดังตาม “ผมขอเป็นเพลงที่ทุกคนกำลังได้ยินแล้วกันครับ I’m OK//Not OK” คนแต่งเพลงหยุดชะงัก “เอ้า! งั้นผมเอาด้วย ดีๆ จะได้โปรโมตหน่อย”
เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง ฟ้าก็คงสว่าง
และทำให้เราได้เข้าใจว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ
และในฐานะที่พวกเขาเป็นตำนานของวงการเพลงไทย เราก็อยากถามผ่านเลนส์ของพวกเขาที่ได้เห็นการหมุนผ่านของดนตรีตั้งแต่สมัยโน้นมาจนถึงสมัยนี้ว่ามันเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง
“ยุคสมัยเปลี่ยน ทุกอย่างก็เปลี่ยน ตอนเป็นเด็กรสชาติของอาหารเป็นอีกแบบหนึ่ง ทุกวันนี้ก็เป็นอีกแบบไปตามลิ้นเรา วงการเพลงก็เหมือนกัน วิถีคนเสพด้วย อย่างเมื่อก่อนเราฟังเพลงก็จะละเมียดดูรายละเอียดหน้าปก ฟังเพลงเดียวไปเรื่อยๆ จนอิ่มเอมกระทั่งร้องท่อนโซโลของเขาได้เลย” บอยกลอกตาราวว่ากำลังย้อนไปคิดถึงอดีต “อาจเพราะยุคนั้นต้องซื้อเทปฟัง แล้วมีตังซื้อได้ม้วนเดียวมั้ง ยกเว้นพี่บอยนะ (หัวเราะ) แต่ตอนนี้ถ้าฟังไปแล้วไม่ชอบ ครึ่งเพลงก็กดข้ามได้ เมื่อก่อนนี่ถ้าซื้อผิด อุ๊ย! ต้องฟังสิ เสียดายเงิน” ป๊อดเสริม “การทำเพลงในยุคนั้นก็สู้ยุคนี้ที่มีเทคโนโลยีไม่ได้นะ สิ่งที่เราอยากจะได้มันไม่ทันใจเหมือนปัจจุบัน แต่ขณะเดียวกันข้อเสีย คือทำให้เราเสพติดความรวดเร็ว” จากปากคำของบอย ทำเอาป๊อดที่เดินสายอาชีพนักร้องมาเนิ่นนานพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ๆ เมื่อก่อนเสียงร้องมันตัดต่อไม่ได้เลย จูนก็ไม่ได้ ต้องร้องให้ตรงอย่างที่มันเป็นจริงๆ บางทีต้องมาเลือกระหว่างเทคนี้เพี้ยนนิดหนึ่งนะ แต่อารมณ์มันถึง”
ตั้งแต่อยู่ในวงการดนตรีมาคิดว่ามีอะไรที่ยังต้องเรียนรู้อีกไหม
เราจำได้ว่าบอยตอบคำถามนี้ไวมาก “เพิ่งเรียนรู้อย่างหนึ่งเมื่อสองวันก่อนนี้เอง ว่าอย่าไปดูยอดมาก เพราะเดี๋ยวจะติดกับดักความสำเร็จก็เลยหยุดดู กลัวเหลิง เราไม่ควรเอาตัวเข้าไปใกล้มากนักกับความสำเร็จ โดยเฉพาะเราเป็นคนจิตอ่อนด้วย” ตามด้วยป๊อดเช่นเคย “เรียนรู้ให้ขอบคุณสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะความสำเร็จของเรามันไม่ใช่แค่ตัวเรา แต่เป็นพลังจากทุกองค์ประกอบ จากทุกคน ไม่มีพวกเขาเรามาไม่ถึงจุดนี้แน่ๆ ไม่ได้พูดเอาหล่อด้วย มันคือความจริงแท้”
“อย่าง MV เพลง I’m OK // Not OK ถ้าพีท (ทสร บุณยเนตร) เขาไม่มาทำให้ ไข่ย้อย ดากานดาไม่มาเจอกัน ไม่มีเสียงบิวกิ้นมันก็ไม่น่าจะมาถึงจุดนี้นะ” บอยยกตัวอย่างถึงเพลงของพวกเขาที่กำลังไวรัลติดชาร์ตเพลงอันดับ 1 ในยูทูบ หลังปล่อยได้เพียง 4 วันเท่านั้น “เนอะ ทำให้ย้อนกลับไปนึกถึงตอนทำ Bakery Music ที่ดาวโคจรมารวมกันพอดีทำให้เกิดความสุกสกาว ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้บ่อย แบบร้อยปีมีครั้งหนึ่ง” ป๊อดบอกอย่างซึ้งๆ และเสี้ยววินาทีนั้นเองที่ความโรแมนติกถูกโฉบไป “ดาวหางฮัลเลย์อะนะ” บอยตบมุกใส่พาป๊อดเอามือปิดปากขำพรืด

มีอะไรอยากฝากถึงศิลปินรุ่นใหม่ไหม
“ต้องขอชื่นชมก่อนเลย ถึงแม้เราจะไม่รู้จักกัน หรือทำงานร่วมกัน แต่รู้ว่าพวกเขาเก่ง อยากฝากว่าทุกอย่างมีขึ้นมีลง ไม่มีอะไรอยู่กับเราถาวร ดังนั้นยึดติดไม่ได้” ประโยคจากบอยที่ฝากไว้ ตามด้วยนักร้องนำโมเดิร์นด็อก “น้องๆ ทุกคนตั้งใจทำในสิ่งที่ตัวเองรัก อันนี้เป็นสิ่งที่อิ่มเอมในตนแล้ว พี่เชื่อว่าถ้าเรามีแพสชันแล้วยังไม่หยุด วันนั้นของเรามาถึงแน่นอน” สารภาพว่าตอนได้ฟังเราโคตรมีแรงฮึดเลย
การอยู่ด้วยกันมานานทำให้ได้เรียนรู้อะไรจากกันและกันบ้าง
บอยพูดออกไม้ออกมือ “ป๊อดเขาจะเป็นคนที่เท่านี้พอ แต่เราเป็นคนไม่เคยพอเลย ชอบเติม มันมีโอกาสอีกหลายอย่างที่เราทำได้ แต่เขาจะเคาะว่าจบได้แล้วพี่ หยุดตรงนี้แหละ”
“เราชอบในความครีเอทิฟของพี่บอย ถ้านึกออกอีกคนในชีวิตคือเมธี น้อยจินดา ไม่จบจริงๆ คนนี้ มันทดลองเอฟเฟกต์กลางเวทีอะ มึงบ้า! จะเปลี่ยนตรงนี้เลยเหรอ แต่ก็ทึ่งกับคนประเภทนี้นะ ผมว่าลึกๆ พี่บอยเขาแอบสบายใจที่ได้ปลดปล่อย เดี๋ยวมีคนสโคปแล้วหยิบมาใช้เองแหละ งานที่ออกมาจะคาดเดาไม่ได้ เพราะผ่านการคิดที่กว้างไกล เราแค่เป็นคิวเรเตอร์ที่ดีให้พี่บอย” ป๊อดต่อบท
แสนจะเป็นห่วงจากใจดวงนี้
ไม่รู้จะมีวันที่ได้พบอีกไหม
ความคอนทราสต์ระหว่างเสื้อลายทาง กางเกงยีนส์พับขาของชายหน้าทะเล้น และชายหน้าขรึมห่มเสื้อขาว กางเกงสแล็ก ทั้งคู่เคียงกันบนโซฟายาวแดงอย่างลงตัว ไม่เพียงแค่สายตาที่บอยมองป๊อดเมื่อเขาเปล่งเสียงเพลงกังวาน แต่บทเพลงระหว่างเจ้าพ่อเพลงรัก และเจ้าพ่อเพลงร็อกที่กลับมากดปุ่มเพลย์ซ้ำอีกครั้ง ทำให้กลิ่นอายตลับเทปม้วนเก่าหวนกลับมา ภาพปกเทปกลายเป็นรูปบอยยืนเล่นเปียโนในเงาดำ ทั้งมีป๊อดเป็นสีสันร้องทับ
หลังจบคอนเสิร์ตนี้ไปต้องรออีก 10 ปีไหม
ป๊อดย่นคิ้วคิด “อืม มันก็น่าลุ้นนะ อยากรู้เหมือนกันว่าอีก 10 ปี เพลงตอนนั้นจะเป็นยังไง”
เราไม่แน่ใจว่าพวกเขาเคยบอกความในใจที่ท่วมท้นต่อกันหรือเปล่า เพราะทั้งคู่ดูจะเป็นพี่น้องที่สายสะดือตัดกันไม่ขาดเหลือเกิน ถึงเป็นอันต้องหยอดถาม
ถ้าวันหนึ่งไม่ได้ทำเพลงด้วยกันแล้ว มีอะไรอยากบอกกันและกันไหม
บอยตอบอย่างเลี่ยงจะมองหน้าป๊อด “ถ้าแต่งเพลงใหม่เสร็จแล้วมาช่วยร้องหน่อย” ก่อนจะเว้นช่วงหายใจ “เพลงนี้อยากฟังเสียงป๊อด ถึงไม่รู้ว่าเพลงจะได้ปล่อยไหม”
ป๊อดพยักหน้ารับเป็นอันเข้าใจ เขาวางมือบนตักบอย “บอย แต่งเพลงต่อไปนะ แล้วเพลงไหนที่มันเข้ากับผมก็บอกนะ”
บ้านไม้เงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนพี่ป๊อดจะตะโกนออกมาว่า “ซึ้งว่ะเฮ้ย!” เสียงหัวเราะกลับมาดังลั่นห้องอีกครั้ง“ฉันคิดถึงเธอมาก อยากให้เธอรู้คิดถึงมากๆ” และอีกเสียงจากแทร็กเพลงล่าสุดของพวกเขาที่เราได้ยินในหัว หลังบทสนทนาจบลง