เชื่อว่าหลายคนอาจจะเคยเห็นเด็กชายตัวสีฟ้า หน้าตาน่ารักแต่ภายในแสนเศร้าหมองนี้ในโลกออนไลน์ผ่านตากันมาบ้าง เด็กคนนี้มีชื่อคาแรกเตอร์ว่า ‘Blueboo’, ‘ไนซ์จอย’ หรือ ‘ไนซ์ ภัทรดนัย โมทิม’ เป็นศิลปินเจ้าของคาแรกเตอร์เด็กผู้ชายตัวสีฟ้าหน้าตาเศร้าซึม ศิลปินอิสระได้เรื่องราวผ่านเด็กตัวสีฟ้า การ์ตูนสีอะคริลิกบนผ้าใบแคนวาส นักวาดหนุ่มสวมแว่นตากรอบเข้ม ที่มักใส่เสื้อผ้าสีน้ำเงินสด มองไปคล้ายหนุ่มวัยรุ่นธรรมดาทั่วไป แต่เขามีแผลใจที่เจ็บปวดเขาจึงเรียนรู้ และเล่าเรื่องราวผ่านศิลปะ เปลี่ยนแผลให้กลายเป็นรอยยิ้ม
ศิลปะ คือเครื่องมือเยียวยาหัวใจ แต่สำหรับศิลปินคนนี้ ศิลปะ คือ ‘เพื่อนคนหนึ่ง’ ที่ค่อยๆ พาเขากลับมายิ้มได้อีกครั้ง โดยไม่ลืมว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเสียใจแค่ไหน
ครั้งนี้ a day ได้มีโอกาสพูดคุยกับศิลปินเจ้าของนิทรรศการ ‘Missing You, Less Blue’ ที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นาน โดยในนิทรรศการเต็มไปด้วยความคิดถึงแบบไม่ทำร้ายใจ และตัวละครชื่อ ‘Blueboo’ ที่หลายคนเห็นแล้วอาจยิ้มออกแบบไม่รู้ตัว ทั้งที่เรื่องราวเบื้องหลังของมันเต็มไปด้วยน้ำตา บทสนทนาที่ว่าด้วยเรื่องความเจ็บปวด และความคิดถึงจะเป็นอย่างไร ชวนไปอ่านพร้อมกัน
ศิลปะของผม
เกิดจากความเงียบในบ้านขายของชำ
อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้คุณชอบศิลปะ ถ้าย้อนไปตอนเด็กๆ ผมว่าศิลปะของผมเริ่มจากดีวีดีการ์ตูนที่พ่อแม่ซื้อให้ดูครับ พ่อกับแม่ทำร้านขายของชำ ไม่มีเวลามาก เขาเลยให้ผมดูการ์ตูนอยู่บ้าน กลายเป็นว่าผมโตมากับภาพ เสียง การเล่าเรื่องของแอนิเมชัน จนผมเริ่มซึมซับศิลปะโดยไม่รู้ตัว
จุดที่ทำให้เริ่มกลับมาสนใจศิลปะจริงจัง คือช่วงโควิด-19 ตอนนั้นอยู่ในช่วงมหาลัยปี 2 ต้องกลับบ้านที่ชัยนาทไปเรียนออนไลน์ ทำให้มีเวลาว่างเยอะขึ้น มองย้อนกลับไปมีสองสิ่งที่ผมชอบทำ คือเล่นเกม และวาดรูป ผมเคยลองแคสต์เกม และวาดรูปลงใน TikTok แต่คนดูผมวาดรูปเยอะกว่า ผมเลยเลิกแข่งเกมมาวาดรูปจริงจัง

สิ่งที่เรียนส่งผลต่อการเป็นศิลปินของคุณยังไง
ผมเรียนสาขาวิชาการออกแบบผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา หลายคนอาจคิดว่าไม่เกี่ยวกับศิลปะเลย แต่จริงๆ ที่นี่สอนผมเรื่องกระบวนการคิดมากๆ ทุกสิ่งที่เราจะใส่เข้าไปในผลงานต้องมีเหตุผล ไม่ใช่แค่สวยเฉยๆ ผมเอาหลักคิดนี้มาใช้กับการวาดรูป
เขายังเล่าถึงอาจารย์คนหนึ่งที่มีอิทธิพลกับเขาอย่างมาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์นภดล สังวาลเพ็ชร หรืออาจารย์น็อต
อาจารย์ที่มีอิทธิพลกับผมอย่างมาก คือผู้ช่วยศาสตราจารย์นภดล สังวาลเพ็ชร หรืออาจารย์น็อต เขาจะสอนเรื่องวัสดุที่ใช้กับงานออกแบบได้ แต่สิ่งที่ผมได้จากอาจารย์มากกว่านั้น คือวิธีคิดแบบมีเหตุผลซึ่งมันกลายเป็นแนวคิดหลักในงานของผมทุกวันนี้

อย่างศิลปนิพนธ์ของผม คือการทำอาร์ตทอย ซึ่งเป็นการลงมือทำ 90% ตั้งแต่การทำแบบ แม่พิมพ์ และทำสีวัสดุ เป็นผลงานที่ผมภูมิใจมาก เพราะมันเกิดจากการนำศิลปะที่ผมทำมาต่อยอด และสร้างรายได้
เคยสับสนไหมว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
“เคยครับ และเป็นบ่อยด้วยตอนเรียน ผมรู้สึกว่าที่เรียนกับสิ่งที่ผมอยากเป็นมันไม่ตรงกัน เราต้องแยกเวลาให้ทั้งหน้าที่ และความชอบให้อยู่ร่วมกันให้ได้ โชคดีที่อาจารย์หลายท่านเข้าใจและสนับสนุนให้ผมได้ค้นหาตัวเอง”
สิ่งที่ช่วยให้เขาผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ คือการทำไปเรื่อยๆ โดยไม่กดดันว่าต้องหาคำตอบให้เจอวันนี้

“แค่เรายังเดินอยู่กับมัน ไม่ละทิ้งมัน เดี๋ยวมันจะพาเราไปเจอคำตอบเองครับ ช่วงแรกๆ ผมไม่ได้เข้าใจสี ทำให้รู้สึกเครียดกับงานมาก เลยเอาเฟรมผ้าใบขนาดเล็กมาระบายความเครียด เขาเรียกว่าเทคนิคสีชอล์กบนผ้าใบ ส่วนงานที่เหลือของผมจะเป็นอะคริลิกหมดเลย”

รูปพวกนี้วาดมาจากอะไร
บางชิ้นผมวาดไปเรื่อยๆ แล้วมันดูเหมือนผีเสื้อ ผมเลยตั้งชื่อว่า ‘Butterfly’ อีกอันสีเหมือนท้องฟ้าตอนเย็น เมฆสีชมพูที่ผมชอบ ก็เลยตั้งชื่อว่า ‘Vanilla Sky’ ที่ไม่ได้เห็นทุกวัน พอเห็นแล้วมันเติมพลังให้เราได้ครับ
ใช้เวลานานมั้ยกว่าจะได้เป็นชิ้นงาน
กว่าจะเป็นนิทรรศการนี้ ผมใช้เวลาลงสีก็เกือบ 5 เดือนเลยครับ บางชิ้นที่ผมระบายดินสอวันเดียวก็ได้ บางชิ้นทึบก็สองวัน ภาพใหญ่ก็ประมาณ 4 – 5 วัน ถือว่าเร็วกว่าช่วงแรกๆ เพราะผมต้องศึกษาเอง บางชิ้นใหญ่ๆ เมื่อก่อนผมทำเป็นเดือนเลย พอเข้าใจวิธีทำก็ลดเวลาไปเยอะ ส่วนนิทรรศการนี้ผมใช้เวลาคิดคอนเซปต์ประมาณสองเดือนครับ”
ผมสร้างตัวละครมาจากความรู้สึกและความชอบ
ตัวละครของผมจึงเป็นสีฟ้า
Blueboo คือใครกันแน่
ผมเริ่มจากอารมณ์ที่อยากจะวาดสิ่งนี้ ตอนแรกก็คิดแค่ว่าตัวเองชอบสีฟ้า พอศึกษาข้อมูลก็ได้รู้ว่ามันคือสีของความเศร้า ช่วงที่วาดรูป คือช่วงที่เราเสียแมวเราไปทำให้รู้สึกเศร้า ผมเลยระบายความเศร้าไปบนตัวละคร ถึงภาพในหัวจะไม่ได้ชัดมาก แต่พอเริ่มทำแล้วมันจะถูกเติมทีละนิดจากความทรงจำในวัยเด็กจนถึงปัจจุบัน เหมือนมีจิ๊กซอว์มาประกอบรวมกันเป็นภาพๆ หนึ่ง
แต่ก่อนผมจะวาดให้คาแรกเตอร์ไม่มีเพศ แต่หลังๆ มาหน้าตามันก็คล้ายๆ ผมเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วมันก็คือตัวแทนของผมนี่แหละ ตอนนั้นผมไว้ผมทรงรากไทรด้วย ผมก็ใส่ความรู้สึกนั้นไว้ในตัว Blueboo แล้วให้เขาเล่าแทนผม
ถ้าจะให้วิเคราะห์ดีๆ สีฟ้ามันก็เหมือนโดราเอมอนที่ผมชอบดูตอนเด็กๆ
ก้อนเมฆที่หลายสี มันก็เหมือนเมฆดราก้อนบอล
ตอนที่ผมวาดก็ไม่ได้นึกถึงนะ แต่มันเหมือนเป็นเศษของความทรงจำ
ผมยอมรับว่าการ์ตูนที่ดูตอนเด็กมีอิทธิพลกับผมหมดเลยจริงๆ
การจากลาที่มาถึงทำหัวใจของผมหายไปกับเขาด้วย
เหตุการณ์ตอนที่เสียน้องแมวเสียไปมันเกี่ยวกับรูปภาพของคุณยังไง
จะเห็นได้ว่า Blueboo มีรอยแผลกลางหน้าอก เมื่อก่อนเนื้อหน้าอกของเขาจะแหว่งลงไปครับ ผมดีไซน์มาจากตอนที่แมวโดนรถชน มันกะทันหันมาก จนผมรู้สึกเหมือนผมกระเด็นไปกับเขาด้วย ส่วนหนึ่งของตัวผมเลยหายไป เพราะว่าเราอยู่ด้วยกันตลอดเวลา

ส่วนดอกไม้มาจาการที่ผมชอบวาดดอกไม้อยู่แล้ว อาจจะหน้าตาคล้ายลูกโป่ง หรือเยลลี่ ผมพยายามวาดให้ไม่เหมือนคนอื่น พอนึกย้อนกลับไปเวลาที่สัตว์เลี้ยงเราเสียไป ผมจะฝังเขากับดอกไม้ไปด้วย คิดว่าดอกไม้ที่เราฝังไป มันจะงอกขึ้นมาใหม่กลายเป็นจิตวิญญานของเขา พอเห็นดอกไม้แล้วเราก็จะคิดถึงเขา ผลงานของผมเลยจะมีดอกไม้อยู่เยอะ

พอมีโอกาสมาทำโซโลครั้งนี้เลยอยากเล่าช่วงแรกที่เราเสียเพื่อนไป ผมร้องไห้บ่อยมากเพราะคิดถึงเขา แต่พอเวลาผ่านไปก็นึกกลับไปคิดถึงเขา แต่มันกลับกลายเป็นความสุขในช่วงเวลาหนึ่ง เพราะรักษาตัวเองได้แล้ว กลายเป็นแผลเป็นที่แสดงให้เห็นว่าเวลาผ่านไปแล้วเราก็ดีขึ้นนะ
แต่ความรู้สึกมันก็ยังหลงเหลืออยู่บ้างนะ เวลาที่ผมฟังเพลงก็มีร้องไห้ แต่ไม่ได้ร้องไห้หนักเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ล่าสุดผมพึ่งไปดูสติทช์มาก็ร้องไห้จนเป็นบ้าเลย เอาจริงๆ เมื่อก่อนผมร้องไห้ตลอดเลย แต่ผมไม่อยากให้ตัวการ์ตูนของผมส่งความรู้สึกเศร้าไปให้กับคนที่เห็น อยากให้มันเป็นแค่คอนเซปต์เฉยๆ เวลาคนเห็นงานเราอยากให้คนรู้สึกดีมากกว่า ก็เลยทำให้มันดูน่ารัก น่าแกล้ง”
สัตว์เหล่านี้มีที่มาจากไหนบ้าง
ทุกตัวมาจากสัตว์เลี้ยงที่ผมเคยเลี้ยงกับพ่อแม่ที่ชัยนาทครับ

BIMBIM เป็นตัวแทนแมวนวดของผม เขาเป็นลูกแมวที่หลงเข้ามาในบ้าน พอผมเห็นว่าเขาหลงมาเลยเอาอาหารไปให้ น้องก็กล้าๆ กลัวๆ แต่พอจับตัวได้น้องก็เอาเท้ามานวดที่ขาของเรา คงหิวมากเลยอ้อนคนสุดๆ ด้วยวัยที่กำลังดื้อซน พลังเหลือล้น เขาวิ่งข้ามถนนจนโดนรถจักรยานยนต์ชนจากไปในทันที ตอนนั้นผมได้แต่กอดเขาไว้ แต่ในใจก็อยากได้เขาคืนกลับมา ผมเลยเอาลักษณะของน้องแมวนวดมาดีไซน์ครับ
ส่วน BOGBOG ดีไซน์มาจากหมาปั๊ก สุนัขพันธ์เล็กที่ผมเคยเลี้ยงสองตัว ตัวแรกโดนรถชน อีกสองก็ตามสภาพแก่ตามเวลา
ส่วนตัวสีส้มจะไม่มีชื่อ เหมือนแมวจร มาเล่นด้วยแล้วก็ไป ออกแบบไว้เผื่ออนาคตเผื่อได้ใช้อีก เปลี่ยนสีได้ เขามาเรื่อยๆ แล้วก็จากไปเป็นตัวละครเสริม
งานชิ้นไหนที่เป็นงานชิ้นใหญ่ของคุณ
ภาพนี้ชื่อว่า ‘My Memories’ เป็น 3 ชิ้นใหญ่ เป็นความทรงจำทั้งหมดตอนที่เราอยู่ด้วยกัน และจากกันโดยสมบูรณ์ ผมอยากให้ภาพมันสดใส แต่ก็ไม่อยากแต่งเติมอะไรเพิ่มอีกแล้ว ผมอยากลองทำภาพชิ้นใหญ่ๆ ดูเพราะผมไม่เคยกล้าทำเลย แต่ตอนนี้ก็สามารถทำได้แล้ว
ความทรงจำที่มีร่วมกันในทุกช่วงเวลา การย้อนกลับไปนึกถึง แม้ระยะแรกจะเจ็บปวด แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความคิดถึงไม่ได้ทำให้มีน้ำตาร่วงหล่นเหมือนที่เคย ความอบอุ่นเข้ามาแทนที่ความรู้สึกนั้นทำให้เรารู้ว่าเรารักกันมากแค่ไหน

ผลงานไหนที่คุณชอบที่สุด
ภาพที่ผมชอบที่สุดชื่อว่า ‘Into Trees’ เป็นภาพที่ถือถังสีส้มรดน้ำต้นไม้ เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นไอเดียที่เกิดจากความเศร้า แต่พยายามที่จะค้นหาความสุขอยู่เสมอ เป็นงานที่ผมเศร้าและอยู่กับมาค่อนข้างนาน
พวกเขาจากไปแต่ไม่นานก็งอกเงยเป็นต้นไม้ เปรียบเหมือนความเศร้าที่เกิดขึ้น เวลาจะช่วยเปลี่ยนความเศร้าเป็นความอบอุ่นเมื่อนึกถึง
พอนึกภาพนี้ออก ภาพอื่นๆ เกี่ยวกับพวกเขาและความทรงจำของผม เลยออกผลมาเป็นนิทรรศการนี้ครับ

ความคิดถึงไม่ได้มีแค่ด้านเศร้า
แต่พาเราไปด้านที่อบอุ่นได้ด้วยเหมือนกัน

พูดถึงนิทรรศการ Missing You, Less Blue หน่อย
‘Missing You, Less Blue’ ไม่ใช่นิทรรศการที่พูดเรื่องเศร้าเพื่อทำให้คนเศร้าหนักกว่าเดิม แต่มันพาเราไปเห็นอีกด้านหนึ่งของความคิดถึงที่อ่อนโยนขึ้น ถึงแม้นิทรรศการจะถูกจัดผ่านมาแล้ว ทุกงานที่ผมจัดก็อยากให้คนที่มาดูรู้สึกดี แม้จะกำลังนึกถึงใครบางคนที่เคยอยู่ แล้ววันนี้ไม่ได้อยู่แล้วก็ตามอย่างผมรู้สึกดีเวลาได้นึกถึงช่วงเวลาหนึ่งกับสัตว์เลี้ยง มันทำให้ผมนึกถึงสิ่งต่างๆ ที่เคยมีความสุขจากอดีต และหันกลับมาให้ความสำคัญกับช่วงเวลาปัจจุบัน
ความเศร้าในการจากลาระยะแรกมันเจ็บปวดเสมอ แต่เมื่อแผลนั้นได้รับการรักษาโดยระยะเวลา การกลับไปนึกถึงมันไม่ได้ทำให้เราร้องไห้เหมือนที่ผ่านมา แต่มันกลับกลายเป็นรอยยิ้มแทนที่ความรู้สึกนั้นไปแล้วเหมือนกับการอกหักครั้งแรกนั่นแหละ ถึงตอนนั้นผมจะเสียใจแค่ไหน พอเวลาผ่านไปตอนนี้อาจจะเป็นแค่เรื่องตลกก็ได้
ศิลปะสำหรับคุณคือการปลดปล่อยใช่ไหม
ใช่ครับ เวลาเราเจอเรื่องเสียใจมากๆ มันเหมือนเราเก็บมันไว้ในห้องๆ หนึ่งในหัวใจ ซึ่งแน่นอนว่าวันหนึ่งมันจะต้องเต็มแน่ๆ แต่การมีศิลปะมันเหมือนกับการเปิดประตูให้ความรู้สึกเศร้าเหล่านั้นได้ออกมา
ถ้าเห็นใครสักคนร้องไห้หน้าภาพของคุณล่ะ
ผมคงเดินไปบอกว่า…ดีแล้วครับที่คุณกล้าปล่อยความรู้สึกออกมา เป็นกำลังใจให้ผ่านไปด้วยดีนะ 🙂

สุดท้าย…อยากบอกอะไรกับคนที่ยังอยู่ในความเศร้าไหม
ผมเชื่อว่าความรู้สึกทุกแบบอยู่ร่วมกันได้ในตัวคนๆ เดียว เราไม่ต้องเลือกจะสุข หรือเศร้าอย่างเดียว เพราะชีวิตจริงมันซับซ้อนกว่านั้น ความเจ็บปวดมันทำให้ผมเติบโตขึ้น และความคิดถึงมันจึงเป็นผลลัพธ์ของความเจ็บปวดมากกว่า
Blueboo ถึงจะเศร้า แต่เขาก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย และผมอยากให้คนที่ดูงานของผม…รู้สึกแบบเดียวกันนะ
สำหรับเรามองว่า Missing You, Less Blue ไม่ใช่นิทรรศการที่พูดเรื่องเศร้าเพื่อทำให้คนเศร้าหนักกว่าเดิม แต่มันพาเราไปเห็นอีกด้านหนึ่งของความคิดถึงที่อ่อนโยนขึ้น นิทรรศการนี้ต้องการสื่อว่าทุกคนมีวิธีกำจัดความเศร้าที่แตกต่างกันไป แต่สิ่งที่สำคัญ คือ ‘ต้องใช้เวลา’
ศิลปินไม่ได้สร้างศิลปะเพื่อหนีจากความเจ็บปวด
แต่สร้างเพื่อ “อยู่กับมันให้ได้” โดยไม่เจ็บปวดเหมือนเดิมอีกต่อไป สำหรับเขาศิลปะไม่ได้พาเขา ‘ลืม’ ความเศร้า แต่ช่วยให้เขา ‘อยู่กับมัน’ อย่างเข้าใจมากขึ้น
หากคุณยังคิดถึงใครบางคนอยู่
หรือยังร้องไห้เงียบๆ เวลานึกถึงเขา
อย่าเพิ่งคิดว่ามันผิดปกติ
เพราะบางที…ความคิดถึงก็ไม่จำเป็นต้องหายไป
แค่มันอ่อนโยนลงเหมือนสีฟ้าของ Blueboo นั่นแหละ 🙂