เคยมีใช่ไหม บางวันที่ใช้ชีวิตปกติของเราดีๆ แต่ทันใดนั้น เกิดเหตุไม่คาดฝันเล็กๆ น้อยๆ ให้ต้องซวยอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ความเดิมยังไม่ทันหาย ความวาย (ป่วง) ใหม่ก็เข้ามาแตะมือต่อ กลายเป็น ‘โดมิโนแห่งความซวย’ ที่ทำลายล้างวันปกติของเรานั้นให้กลายเป็นวันแห่งความซวยไปเฉย
ไม่แปลกที่จะโทษว่า ‘เทพเจ้าแห่งความซวย’ กำลังเล็งเราในวันนั้น เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเรื่องน่าหงุดหงิดใจเข้ามาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
แต่ความจริงแล้วมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ?
โอเค อาจเป็นไปได้ที่เราอาจพบกับ ‘วันดวงซวย’ เข้าสักวัน แต่หากมองตามความเป็นจริง โดยเฉพาะในแง่วิทยาศาสตร์ และตัดเรื่องเทพเจ้าแห่งความซวยออกไป แนวคิดที่ว่าปัญหาทั้งหมด ‘เกิดขึ้นพร้อมกัน’ สามารถอธิบายได้ด้วยหลายปัจจัย เช่น สมองของเราถูกเชื่อมโยงให้มองหารูปแบบและภัยคุกคาม ไปจนถึงปัญหาหลายอย่างอาจมีสาเหตุพื้นฐานร่วมกัน
สมองของเราสับขาหลอกเก่ง และพร้อมทำให้เรา ‘จินตนาการเชื่อมโยง’ เองว่าความซวยของเรานั้นมาจาก ‘โชคลาง’ จนทำให้เราพลาดที่จะมองความเป็นจริงว่าต้นเหตุแห่งความซวยนั้นล้วนมีสาเหตุ
แล้วสาเหตุที่ทำให้เราต้องเผชิญกับ ‘วันดวงซวย’ มีอะไรบ้าง?
สมองเข้าสู่โหมดเอาตัวรอด

ในความเป็นจริง เมื่อมีเหตุการณ์ ‘เครียด’ เกิดขึ้น สมองของเราจะเข้าสู่ ‘โหมดป้องกันตัวเอง’ สมองส่วนอะมิกดาลาหรือส่วนที่ควบคุมอารมณ์กลัวและเครียด จะทำงานมากขึ้น ฮอร์โมนความเครียดอย่าง คอร์ติซอล และอะดรีนาลีนจะเพิ่มขึ้น ทำให้เรารู้สึกวิตก ตึงเครียด ระแวดระวังมากขึ้น และมองเห็นทุกอย่างใน ‘แง่ลบ’ นั่นคือสมองจะเริ่ม ‘จับต้อง’ กับสิ่งที่อาจผิดพลาด ซึ่งทำให้ปัญหาเล็กๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะระบบประสาทอยู่ในสภาวะตื่นตัวต่ออันตราย
สรุปแล้ว คือสิ่งที่เรามองว่าเป็นความซวยต่อเนื่อง ความจริงแล้วอาจเป็นเพราะเรา ‘รู้สึก’ ว่าเรื่องบางอย่างใหญ่ขึ้นกว่าที่เป็น เพราะสมองตีความไปว่าทุกอย่างคือ ‘ภัย’ นั่นเอง
สุดขีดลิมิตจิตใจ

มนุษย์ทุกคนล้วนมีขีดจำกัดทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ หากต้องแบกรับมากเกินไป พลังงานสำรองของเราจะลดลง ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ ก็อาจทำให้รู้สึกว่ามันใหญ่เกินรับไหวได้ เพราะเรากำลังรู้สึกอ่อนไหวต่อทุกสิ่ง ซึ่งก็คือภาวะที่สมองรับข้อมูล หรือภาระทางความคิดที่มากเกินกว่าจะประมวลได้ (Cognitive Overload) เช่น คำพูดเล็กน้อยจากใครบางคน ก็อาจทำให้เราพังทลายลงได้ เพราะเราไม่มีพลังเหลือในการรับมือแล้ว หรือบางวัน กำลังเครียดๆ จากงาน และค่าใช้จ่าย แต่ขากลับบ้านรถดันยางแตก เราก็อาจรู้สึกว่าโลกนี้ถล่มทลายลงแล้ว ทั้งที่หากเป็นวันปกติ เราก็คงจัดการมันได้แล้ว
อยู่ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน

บางครั้งการเปลี่ยนแปลงในชีวิต ไม่ว่าเล็ก หรือใหญ่ เช่น ย้ายบ้าน ย้ายหอ เลิกกับแฟน เปลี่ยนงาน หรือปัญหาสุขภาพ มักมาพร้อมกับปัญหาหลายอย่างประกอบกัน กล่าวคือ มันไม่ได้ส่งผลกระทบด้านเดียว แต่ส่งผลต่อการเงิน เวลา อารมณ์ ความสัมพันธ์ ไปจนถึง ‘ตัวตน’ ของเรา จนอาจรู้สึกว่า ‘ทำไมเทพเจ้าแห่งความซวย’ ถึงจ้องเรานัก ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วทุกอย่างเป็นผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงหลักเพียงเรื่องเดียว ที่ส่งผลต่อเป็นโดมิโน จนกลายเป็นชุดความเครียดที่ซ้อนทับกัน
จังหวะแห่งความบังเอิญ

คงมีบางวันที่หลายอย่างเกิดขึ้นโดยบังเอิญในเวลาไล่เลี่ยกันเพียงเพราะ ‘ความบังเอิญ’ ไม่ใช่เพราะเราทำผิด แต่เป็นเรื่องของ ‘จังหวะ’ ล้วนๆ แต่อย่างไรก็เถอะ สมองของเราชอบที่จะหาความหมายจากเหตุการณ์ต่างๆ จึงพยายามเชื่อมโยงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดว่าเป็นเพราะ ‘เทพเจ้าแห่งความซวย’ ทั้งที่มันเป็นแค่ความบังเอิญที่เกิดติดกันเท่านั้น
ปัญหาที่กระตุ้นแผลเก่า

หลายครั้งเมื่อเราเจอกับปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน มันอาจเป็นตัวกระตุ้นความรู้สึก หรือบาดแผลทางอารมณ์ในอดีตให้ถูกปลุกขึ้นมา เช่น การถูกทอดทิ้ง การไม่เป็นที่ยอมรับ ความรู้สึกว่าตนเองไม่ดีพอ และยังไม่ได้รับการเยียวยา เรื่องที่อาจดูเล็กน้อยในวันนี้จึงอาจกลายเป็นความรู้สึกหนักมาก นั่นเพราะเราไม่ได้รู้สึกแค่กับเหตุการณ์ปัจจุบันตรงหน้า แต่มันเชื่อมโยงไปยังความเจ็บปวดที่เคยเกิดขึ้นในอดีตด้วย
แม้เราทุกคนอาจพบเจอ ‘วันดวงซวย’ เข้าสักวัน ไม่มีใครหนีพ้น และเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว จงหาทางรับมือให้ดี ด้วยการจัดลำดับความสำคัญ เพื่อหยุดยั้งวงจรความซวยให้สงบก่อนหมดวัน และทบทวนในมุมกว้างว่าจริงๆ แล้วความซวยทุกอย่างนั้นล้วนมีสาเหตุทั้งสิ้น
เว้นแต่ว่าหากวันนั้นตื่นเช้ามาน้ำไม่ไหล ออกจากบ้านยางแตก ถึงออฟฟิศไฟดับ ร้านข้าวกลางวันที่ชอบกินปิด กลับบ้านรถติด ถึงบ้านน้ำยังไม่มา นั่นถึงจะเพียงพอแล้วที่จะแหงนหน้ามองฟ้าน้ำตาคลอ แล้วพูดว่า ‘ทำไมกัน เทพเจ้าแห่งความซวย ทำไมกัน?’