‘โลกจะถูกปกครองด้วยตัวเลข ไม่ใช่หัวใจ ใบหน้าจะยิ้ม แต่ดวงตาจะร่ำไห้ ความว่างเปล่าจะเติบโตใต้ผืนดิน’
หนึ่งในคำทำนายที่ บาบา วานก้า ทิ้งไว้ ว่ากันว่าความหมายที่แท้จริงของมันคือ AI จะเข้าครองโลก หาใช่มนุษย์เช่นเดิมไม่ และปรากฏการณ์ภัยพิบัติจากหลายต่อหลายคำพยากรณ์ของเธอที่กลายเป็นจริง หลายคนเอามือป้องหูอย่างไม่เชื่อ บ้างติเตียนว่าช่างไร้สาระ แต่หากข้อกล่าวอ้างในอดีตอันเนิ่นนานทำให้ปัจจุบันต้องหวาดผวา คุณอาจจะอยากทำความรู้จักกับ ‘วังเกเลีย พานเดวา สุเตอโรว่า’ หรือ ‘บาบา วานก้า’ ขึ้นมาก็ได้
คืนนั้นท้องฟ้าไร้ดวงดาว ลมพัดแรงเกินกว่าที่จะเป็นลมธรรมดา บ้านไม้เล็กๆ หลังหนึ่งในชนบทของบัลแกเรียมีเพียงแสงตะเกียงริบหรี่ ไร้เสียงนกร้องราวกับกลัวบางสิ่งที่กำลังเข้ามา เด็กหญิงวานก้าในวัย 12 ปีกำลังวิ่งเล่นอยู่กลางทุ่ง ทันใดนั้น พายุลูกหนึ่งหมุนพัดกรรโชกอย่างไร้คำเตือน ลมหอบตัวเธอขึ้นเหวี่ยงไปไกล เมื่อชาวบ้านมาพบเธออีกครั้ง ดวงตาของวานก้าก็ถูกปิดด้วยทรายและเลือด ก่อนจะมืดสนิทตลอดชีวิต

“แม่ หนูได้ยินเสียง พวกเขากำลังกระซิบอยู่ที่ข้างหู” วานก้าบอกผู้เป็นแม่ในเงาความมืดของห้องนอน “ใต้ต้นไม้นั้น มีบางอย่างฝังอยู่ เขาอยากให้เรารู้” และเมื่อขุดดู มันคือกระดูกมนุษย์!
ชาวบ้านสันนิษฐานกันว่าเป็นกระดูกของคนชราในหมู่บ้านที่เคยหายตัวไปอย่างลึกลับ แม่ของวานก้าขนลุกชูชันสูงพอๆ กับที่รู้สึกอัศจรรย์ในตัวลูกสาว เรื่องของวานก้าถูกแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว ด้วยเพราะหมู่บ้านบัลแกเรียไม่ได้กว้างขวางนัก ชาวบ้านไม่เพียงตกตะลึง แต่พวกเขาเริ่มวิ่งหาวานก้าด้วยคำถามมากมาย ของชิ้นนี้หายไปไหน คนรักที่หายไปช่วงสงครามเขายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า กระทั่งว่าวิญญาณของผู้ตายมีอะไรอยากจะบอกไหม แล้วเธอก็ดันตอบมันได้เสียด้วย ยุคสมัยนั้นความตาย ศาสนา และความเชื่อคือเรื่องใกล้ตัว ทำให้ชาวบ้านเปรียบวานก้าเป็นดั่งปาฏิหาริย์ที่มีชีวิต

วานก้าไม่ได้เรียนวิชาไสยศาสตร์ เธอไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นหมอดูหรือผู้วิเศษ ไร้ลูกแก้วคริสตัล เครื่องรางของขลัง หรือกองไพ่ แต่ทุกครั้งที่เธอเอ่ยวาจามันช่างศักดิ์สิทธิ์ และแม่นยำเกินอธิบาย สิ่งนี้เองเป็นนิยามของคำว่า ‘ญาณ’ หรือในภาษาโบราณเรียกกันว่า ‘Duhoven Glas’ (เสียงแห่งจิต) ทำให้มีผู้คนหลั่งไหลมาหาเธอ แม้บางคนจะต้องเดินทางข้ามภูเขาก็ตาม พวกเขาเริ่มถ่ายรูปของวานก้าผู้วิเศษ ชื่อเสียงที่ลือเล่าอ้างไปไกลไม่เพียงเข้าหูของสื่อมวลชน แต่ ‘ลีโอนิด เบรจเนฟ’ ผู้นำบัลแกเรียเช่นกัน
‘ทุกอย่างจะละลายเหมือนน้ำแข็ง เหลือไว้เพียงเกียรติยศของวลาดิมีร์ และรัสเซีย’ ถูกตีความถึงความขัดแย้งในยุโรปตะวันออกที่กำลังดำเนินอยู่ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน
‘ภัยจากฝั่งเหนือที่ไม่มีใครมองเห็น แต่มันจะเผาแผ่นดิน และทำให้คนล้มป่วย’ ถูกตีความว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เชอร์โนบิลในปี 1986

ในยุคโซเวียต วานก้าเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง รัฐบาลบัลแกเรียเริ่มส่งเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรอง และนักวิจัยทางจิตวิทยาไปสอบสวนและศึกษาเธอ วานก้าไม่ได้อยู่ในฐานะหมอดูธรรมดาอีกต่อไป แต่กลายเป็นบุคคลที่ถูกเรียกว่าทรัพยากรลับทางจิตวิญญาณแห่งชาติ ทั้งวานก้าเองก็ไม่เคยเรียกเงินจากผู้ที่มาหาเลยสักครั้ง เธอยังคงใช้ชีวิตแบบสมถะในบ้านไม้ ณ หมู่บ้านพีทริชดังเดิมจนเข้าสู่วัยชรา และนั่นยิ่งทำให้ผู้คนซึ้งศรัทธา กระทั่งเธอเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเต้านมในปี 1996 ก่อนย่างเข้า 85 ปี
ชื่อของวานก้าไม่ได้อวสานไปตามอายุขัย บันทึกเอกสารหลายร้อยหน้าที่ส่งถึงวานก้าจากประเทศต่างๆ ถูกเก็บไว้ในหอจดหมายเหตุแห่งชาติของบัลแกเรีย บ้านที่เธออาศัยกลายเป็นพิพิธภัณฑ์เปิดให้เข้าชม และยังเป็นชื่อที่ถูกพูดถึงอยู่เนืองๆ ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญขึ้น

‘ฉันมองเห็นโลกไปถึงปี 5079 หลังจากนั้นก็ไม่เห็นอะไรอีกเลย’ หนึ่งในคำพยากรณ์ของวานก้าก่อนเสียชีวิตลง และแม้เธอจะจากไปแล้ว แต่ความคิดของเธอก็ยังคงอยู่ มันสะท้อนผ่านกาลเวลาและความเชื่อที่ผู้คนยังคงยึดติดกับเรื่องเหนือธรรมชาติ แม้ว่า AI จะเข้ากุมโลกไว้ จากวันแรกของคำทำนายที่ดูจะน่าเหลือเชื่อ แต่ต้องบอกเลยว่าในวันนี้มันก็ช่างน่าเชื่อจริงๆ หรือหากเรื่องของวานก้าจะฟังดูเป็นเพียงนิทานปรัมปราสนุกๆ สักเรื่อง ผู้เขียนก็อดไม่ได้ที่จะให้ชื่อมันว่า ‘บาบา วานก้า’ ผู้เอ่ยเสียงแทนความมืดมิด