American Manhunt: Osama bin Laden – จะตามหาไม่ว่าเธออยู่ไหน จะตามไปให้ได้เธอคืนมา

จำได้ไหมครับว่า 11 กันยายน 2001 ทำอะไรกันอยู่ สำหรับผู้อ่านรุ่นใหม่อาจจะเกิดไม่ทัน แต่คนรุ่นเจนวายขึ้นไปจะต้องจำเหตุการณ์ 9/11 ที่เครื่องบินพุ่งชนตึกคู่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ที่นิวยอร์กได้อย่างแม่นยำ มันคือการก่อการร้ายที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนของโลก ตั้งแต่มาตรการความปลอดภัยสนามบินที่เข้มงวดขึ้น อคติต่อชาวมุสลิม (ตามชาติพันธุ์ของผู้ก่อการ) รวมไปถึงการบุกถล่มอัฟกานิสถานและอิรักของสหรัฐอเมริกาในนามสงครามต่อต้านการก่อการร้าย

ผู้อยู่เบื้องหลังเหตุ 9/11 คือ อุซามะห์ บิน ลาดิน ผู้นำกลุ่มอัลกออิดะห์ เขากลายเป็นบุคคลที่ทางการสหรัฐต้องการตัวมากที่สุดทันที ไม่ว่าจะจับเป็น หรือจับตายก็ตาม เรื่องราวการตามล่าบิน ลาดิน ถูกบอกเล่าในมินิซีรีส์สามตอน American Manhunt: Osama bin Laden ที่ออกอากาศทางเน็ตฟลิกซ์เมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2025 และได้รับเสียงวิจารณ์ไปในทางบวก

สำหรับซีรีส์ American Manhunt เคยมีมาก่อนหน้านี้สองชุด นั่นคือ American Manhunt: The Boston Marathon Bombing (2023) ว่าด้วยความพยายามจับกุมมือวางระเบิดงานวิ่งมาราธอนเมืองบอสตัน และ American Manhunt: O.J. Simpson (2025) เล่าถึงคดีมหากาพย์ของโอ.เจ. ซิมป์สัน อดีตนักกีฬาชื่อดังที่ต้องสงสัยว่าฆ่าเมียตัวเอง สำหรับผู้มีเวลาน้อย ผู้เขียนขอแนะนำเรื่องหลังเป็นพิเศษ นอกจากการเป็นซีรีส์แนวสืบสวน/ว่าความในศาลแล้ว มันยังสะท้อนถึงความขัดแย้งทางสีผิว และความบ้าคลั่งของสื่อมวลชนในยุค 90 ได้อย่างดี

ปกติแล้วสารคดีเกี่ยวกับ 9/11 มักสัมภาษณ์ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นั้น เช่น ผู้ที่สูญเสียคนรักไปในตึกเวิลด์เทรด หรือตำรวจดับเพลิงที่เสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยเหลือผู้คน แต่ American Manhunt: Osama bin Laden มีจุดเด่นที่เน้นสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่รัฐล้วนๆ ไม่ว่าจะ CIA, FBI, เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว ไปจนถึงหน่วย SEAL ตามที่ผู้กำกับเล่าว่า “ซีรีส์นี้ไม่ใช่เรื่องของสหรัฐอเมริกา หรือสงครามต้านการก่อการร้าย แต่มันบอกเล่าถึงผู้คนที่ได้รับภารกิจตามจับผู้ก่อการร้ายที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุด มันคือการตามล่าที่เปลี่ยนชีวิตของพวกเรา อเมริกา และโลกที่เราเคยรู้จัก”

ในเมื่อเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน คือการจับบิน ลาดิน ซีรีส์อาจจะมีบรรยากาศของความชาตินิยม หรือการโปรอเมริกาอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งนี้ถูกคานด้วยชีวิตส่วนตัวของเหล่าเจ้าหน้าที่ เช่น ฝ่ายข้อมูลข่าวสารถูกก่นด่าว่าทำงานหละหลวมจนปล่อยให้เครื่องบินชนตึก บางคนยอมรับว่าทำงานนี้เพราะมีเพื่อนตายในเหตุการณ์ 9/11 และยังมีเจ้าหน้าที่หมกมุ่นกับเรื่องบิน ลาดิน จนทำให้ครอบครัวแทบพังทลาย 

ซีรีส์เล่าความคืบหน้าของการเข้าใกล้บิน ลาดิน อย่างเป็นขั้นเป็นตอน จนถึงจุดพีคในปี 2011 (หรือสิบปีหลัง 9/11) ในปฏิบัติการหอกเนปจูน (Operation Neptune Spear) หรือการบุกสังหารบิน ลาดิน ในที่กบดานในปากีสถาน เจ้าหน้าที่หน่วย SEAL เปิดเผยให้เห็นถึงการซ้อม ด้วยการสร้างบ้านพักจำลองขึ้นมา แล้วฝึกการบุกในหลายรูปแบบ ส่วนผู้สร้างก็ใส่มาทั้งการนับถอยหลังถึงวันปฏิบัติการ และเพลงประกอบแสนเร้าอารมณ์ (สกอร์ฝีมือจาชา คลีบี ค่อนข้างทรงพลัง แต่หลายครั้งก็ล้นเกิน) จนทำให้เราเผลอสนุก และลุ้นระทึกกับการปฏิบัติการครั้งนี้ แต่แล้วก็ฉุกคิดได้ว่ามันคือการสังหารผู้คนมากมาย จนเกิดความขัดแย้งในใจอย่างช่วยไม่ได้

ซึ่งความขัดแย้งทำนองนี้เกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่รัฐเช่นกัน แน่นอนว่าบางรายเชื่อมั่นว่าเขาได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แต่หลายรายก็ไม่อาจพูดได้เต็มปาก พวกเขานึกถึงประชาชน คนบริสุทธิ์ คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ที่เสียชีวิตไปในสงครามต้านการก่อการร้าย รวมถึงทหารและเจ้าหน้าที่ของฝั่งสหรัฐอเมริกาที่ต้องจากโลกนี้ไปในสงครามหรือการถูกระเบิดพลีชีพของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งทำให้ผู้เขียนนึกถึงฉากจบสุดคลาสสิกของหนังเรื่อง Zero Dark Thirty (2012) ที่ว่าด้วยปฏิบัติการหอกเนปจูน โดยหลังจากปลิดชีพบิน ลาดิน สำเร็จแล้ว แทนที่นางเอกผู้เป็นเจ้าหน้าที่ CIA จะโห่ร้องดีใจ เธอกลับร้องไห้ออกมาเงียบๆ เป็นหยาดน้ำตาแห่งความคลุมเครือที่ผู้ชมยังตีความได้ถึงปัจจุบัน

ซีรีส์ American Manhunt: Osama bin Laden ยังทำให้ผู้เขียนนึกถึงครั้งที่ตัวเองไปเยี่ยมชม 9/11 Memorial & Museum พิพิธภัณฑ์บอกเล่าถึง 9/11 ที่ทำเอาจิตตกหดหู่อยู่ไม่น้อย มีทั้งเศษซากตึกเวิลด์เทรด หรือวิดีโอผู้คนที่ตัดสินใจกระโดดลงมาจากตึก บางคนถึงขั้นร้องไห้กลางพิพิธภัณฑ์ แต่จุดสุดท้ายของพิพิธภัณฑ์นั้นจะเป็นก้อนอิฐในตู้กระจก ตอนแรกก็งุนงงว่ามันคืออะไร อ่านคำอธิบายถึงเข้าใจว่ามันคืออิฐจากบ้านที่บิน ลาดินถูกสังหาร! นี่จึงเป็นการปิดจบที่รุนแรงมาก นัยหนึ่งอาจมองได้ว่าคือสัญลักษณ์ของภารกิจอันเหนื่อยยาก หากมองอีกแบบคือ ‘ของที่ระลึก’ จากการฆ่าผู้ก่อการร้ายตัวฉกาจ 

อย่างไรก็ดีทางมิวเซียมก็เขียนป้องกันตัวไว้ระดับหนึ่งว่า “บางเสียงแสดงความห่วงใยว่าการฆ่าบิน ลาดินไม่ได้ทำให้การก่อการร้ายจบลง” ซึ่งน่าขนลุกว่าประโยคนี้ดูเหมือนจะเป็นจริง…แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ตาม

AUTHOR