ค้นพบนิสัยไม่คาดหวังสูง ในช่วงวัยถูกคาดหวัง ที่ทำให้ฉันกล้าล้มอย่างไม่กลัวเจ็บ

“อีกไม่กี่ 0.10 คะแนนจะได้เกียรตินิยม คุณทำเกรดให้ได้ล่ะ”

ดูจำนวนตัวเลขอาจดูน้อยนิดในสายตาบางคน แต่กลับสร้างความหนักอกหนักใจเหมือนยกภูกระดึงมาทับตัวจนหายใจไม่ออก ฉันเมื่อสิบปีที่แล้ว สมัยเรียนปริญญาตรีกำลังเครียดกับทำธีสิสปีสุดท้าย อีกไม่กี่คะแนนก็จะได้เกียรตินิยมมาในมือแล้วนะ แค่นี้ทำไม่ได้หรอ ถ้าทำได้ คนรอบข้างเขาจะได้ดีใจ แต่ถ้าคุณทำไม่ได้ก็น่าเสียดายมากทีเดียว

คำพูดคนรอบตัวเหล่านี้เป็นสิ่งที่ได้ยินมาตลอดในช่วงทำธีสิสปีสุดท้ายของฉัน ในหัวเริ่มไม่ได้คิดถึงการบ้านที่ต้องทำ แต่กลับคิดวกวนอยู่ในหัวเสมอว่า ถ้าทำได้คนรอบข้างน่าจะมีความสุข และถ้าทำไม่ได้ล่ะ หน้าตาพวกเขาคงแกล้งยิ้มอ่อนๆ ว่าไม่เป็นไร แต่รู้สึกเสียใจอยู่ใช่ไหมนะ และยิ่งถ้าพวกเขารู้ว่าอีกแค่ 0.10 คะแนนจะได้เกียรตินิยมจะผิดหวังในตัวเรารึเปล่า

ความกังวลในผลลัพธ์ปลายทาง กับตัวเลขทศนิยมหลักสิบมีผลกับจิตใจของฉันในวัยยี่สิบต้นๆ อย่างมหาศาลเลยทีเดียว และนั่นก็ทำให้จิตใจของฉันไม่แข็งแรงพอที่จะทำตามสิ่งที่หวังได้สำเร็จ มิหนำซ้ำฉันยังไม่รู้สึกภูมิใจกับธีสิสของตัวเองเลยด้วย เพราะฉันทำมันด้วยความกดดัน ความเครียด และความวิตกกังวลที่ทำให้ฉันคาดหวังกับผลลัพธ์มากเกินไป

เรื่องผิดหวังนี้ผูกติดในใจฉันหลายสิบปีจนกระทั่งบังเอิญไปเจอหนังสือเล่มหนึ่ง

ชื่อว่า ‘คำที่พูดมา เยียวยากว่าโซจู’ ของผู้เขียน อีซอว็อน จากสำนักพิมพ์ Bloom มีพาร์ตหนึ่งพูดไว้ว่า ‘ผลลัพธ์ไม่ใช่เรื่องของเรา ขั้นตอนต่างหากที่เป็นเรื่องของเรา’ เพราะคนเรามักจะเครียดกับผลลัพธ์ต่างๆ ที่กลัวว่าไม่เป็นไปตามที่หวัง เช่น อยากสอบให้ได้คะแนนเยอะๆ หรืออยากให้เขามาชอบเรา ซึ่งความเป็นจริงแล้วผลลัพธ์เหล่านี้มันเป็นสิ่งที่กำหนดไม่ได้ สาเหตุที่เรารู้สึกเครียด เพราะเรามีความรู้สึกโลภที่อยากจะได้สิ่งนั้นมาครอบครอง

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่ต้องลงมือลงแรงเลย แต่อยากให้โฟกัสในระหว่างทางกับขั้นตอนที่จะทำบางสิ่งมากกว่านึกถึงบทสรุปปลายทางว่าจะลงเอยอย่างไร ให้ระหว่างนั้นได้ลองเรียนรู้ ลองผิดลองถูกและทำให้สุดความสามารถ ไม่คาดหวังกับคำตอบ ปล่อยให้ผลลัพธ์เป็นเรื่องธรรมชาติ และเตรียมพร้อมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น เพราะหากไม่เป็นไปตามที่หวัง อย่างน้อยเราก็ได้ลองทำอย่างเต็มที่ ซึ่งดีกว่าการทำด้วยความกลัวและกังวลมากเกินไปจนทำให้เครียดเกินพอดี ทั้งที่จริงมันอาจจะไม่ได้เลวร้ายกว่าที่คิดก็เป็นไปได้

สิ่งนี้ได้พิสูจน์กับตัวเองแล้วตอนฉันเริ่มต้นเรียนใหม่ปริญญาโท ฉันได้กลับมาทำธีสิสอีกครั้งด้วยความรู้สึกใหม่ ไม่คาดหวังกับผลลัพธ์ ไม่คิดแทนอนาคตและโฟกัสกับสิ่งที่อยู่ในปัจจุบัน (ภาวนาขอแค่เรียนจบก็บุญแล้ว) แม้มีบ้าง ที่คนรอบข้างจะมอบความกดดันมาเป็นช่วงๆ แต่ครั้งนี้ เปลี่ยนไปตรงที่โฟกัสในแต่ละสเต็ปของการทำงานเล็กๆ ระหว่างนั้นแทน อาจมีผิดพลาดบ้างแต่ก็เป็นล้มที่เจ็บถลอกๆ ปัดฝุ่นสองสามทีก็ลุกขึ้นมาเดินต่อได้ เปรียบเทียบกับตอนทำธีสิสปริญญาตรีที่ฉันคาดหวังกับผลลัพธ์ทั้งหมด จึงทำให้การล้มครั้งนั้นเจ็บเป็นแผลลึกจนใช้เวลาเยียวยาใจยาวนาน

ผลลัพธ์ของการไม่คาดหวังปลายทางครั้งนี้ มันเกินฝันกว่าสิ่งที่คิด เพราะฉันได้รับรางวัลใหญ่จากการประกวดของมหาวิทยาลัย ขณะเดียวกัน หากผลลัพธ์ดันพลิกล็อกไม่ได้ประสบความสำเร็จ ฉันก็ยังรู้สึกมีความสุขและชอบผลงานของตัวเองอยู่ดี นั่นเป็นเพราะว่าเรามีความสุขกับสิ่งที่ทำ ไม่ได้เอาใจไปผูกกับความคาดหวังในปลายทาง ซึ่งมันทำให้มวลความเครียดและความกดดันเบาบางลงมากกว่าเคย

หากฉันมีโอกาสกลับไปแก้กิตติกรรมประกาศในธีสิสของตัวเองอีกสักครั้ง คงอยากจะเพิ่มประโยคขอบคุณในหนังสือเล่มนั้นที่ช่วยเปลี่ยนความคิดในใจให้ดีขึ้น เอนจอยกับสิ่งระหว่างทางตรงหน้า และอย่าพึ่งไปคาดหวังผลลัพธ์ที่เราไม่สามารถควบคุมได้ ในทางกลับกันสิ่งที่เราพอกำหนดได้คือ การค่อยๆ เรียนรู้ ลองผิดลองถูกไปตามสเต็ป แล้วให้ผลลัพธ์กลายเป็นเรื่องตื่นเต้นคล้ายกับตอนคุณลุ้นซื้อหวย ถ้าได้ก็ฉลอง ไม่ได้ก็เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ อย่าไปท้อล่ะ!

AUTHOR

ILLUSTRATOR

banana blah blah

นักวาดภาพประกอบ ที่ชอบกินอาหารสุกๆดิบๆ เป็นชีวิตจิตใจ ส่วนชีวิตนั้นก็สุกๆดิบๆไม่ต่างกัน