ถ้านับย้อนไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน ‘แรปเปอร์ล้านนา’ คือซิงเกิลเปิดตัวกอล์ฟ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ (ณัฐวุฒิ ศรีหมอก) หนุ่มเจียงฮายร่างใหญ่เป็นที่ประจักษ์ในหมู่สาวกก้านคอคลับ ค่ายเพลงที่ก่อตั้งโดยแรปเปอร์เบอร์ต้นๆ ของประเทศอย่างโจอี้ บอย
โลกใบนี้คงมีน้อยสิ่งนักที่เป็นและอยู่อย่างเดิมตลอดกาล อย่างไรการเปลี่ยนแปลงก็ต้องเกิดขึ้นไม่เร็วก็ช้า เส้นทางของกวีฮิปฮอปคนนี้ก็หนีไม่พ้นกฎธรรมชาติที่เราว่าไว้เช่นกัน วันเวลาและการเติบโตทำให้แรปเปอร์ล้านนาในวัย 36 ตัดสินใจเดินจากบ้านหลังเก่าออกมาทำงานเอง ไร้ซึ่งแรงพยุงจากรุ่นพี่คนสำคัญที่เขาเคารพรัก หัดล้ม และเรียนรู้ที่จะยืนหยัดด้วยขาตัวเอง พร้อมเปิดตัวในฐานะศิลปินใหม่ค่าย What The Duck บ้านหลังใหม่ที่ ‘ขนาดพอดี’ กับความตั้งใจและความฝันในวันข้างหน้าของเขา
สิบวันที่ผ่านมา ฟักกลิ้ง ฮีโร่ ปล่อยเพลง Alarm (สวัสดีวันจันทร์) เป็นเพลงเปิดอัลบั้ม Into The New Era อัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกที่เปี่ยมไปด้วยความหวังและความฝันของแรปเปอร์คนนี้
เรานึกย้อนถึงคำถามที่เราเคยถามกอล์ฟในฐานะโค้ชของรายการเฟ้นหาแรปเปอร์ที่เพิ่งจบไปเมื่อวันก่อนว่าเขารู้ได้ยังไงว่าเด็กคนไหนจะได้ไปต่อ กอล์ฟตอบสั้นๆ ว่า ‘ก็ยอดวิวไง’ ใช่ เขาหมายถึงตัวเลขง่ายๆ ที่ทำหน้าที่่พิสูจน์ความรักที่แรปเปอร์หรือเจ้าของผลงานคนหนึ่งพึงจะได้จากแฟนๆ ที่คอยสนับสนุนพวกเขา
‘สวัสดีวันจันทร์ รีบลุกขึ้นมาจากที่นอน หัวเข่ามีไว้ให้ยืน อย่าเอาไปเช็ดน้ำตาหรืออ้อนวอน’
‘สวัสดีวันศุกร์ เสียงนาฬิกาปลุก บอกเราเสมอให้ตื่นมาสู้ แล้วให้วันตายเป็นวันหยุด’
ไรม์ที่ร้องล้อกับคำว่าสวัสดีวันจันทร์ถึงวันศุกร์ของเขา ‘เข้าถึงใจ’ คนทำงานและรักงานอย่างเราๆ เข้าอย่างจัง ตัวเลขยอดวิวที่กำลังจะไต่สู่ล้านที่ 5 ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าเขาคือศิลปินฮิปฮอปอีกหนึ่งคนที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม และเป็นความรักที่คุณพ่อลูกหนึ่งผู้ตั้งใจทำงาน พึงจะได้เหมือนกัน
ทำไมถึงเลือกเพลง Alarms (สวัสดีวันจันทร์) เป็นเพลงเปิดตัวฟักกลิ้ง ฮีโร่ในฐานะศิลปินคนใหม่ค่าย What The Duck
เอาจริงๆ เราทำเพลงเก็บไว้หลายแนวเพลงเลย คนฟังส่วนมากจะรู้จักฟักกลิ้งฮีโร่ว่าเป็นฮิปฮอปเพื่อชีวิตอะไรแบบนั้น เพลงอื่นๆ ในอัลบั้มใหม่มันค่อนข้างฉีกตัวตนของเราออกไป เรายังไม่อยากให้คนตกใจกับเพลงของเรามาก ด้วยความที่เพลง Alarms (สวัสดีวันจันทร์) ยังเป็นตัวตนของเราที่คนคุ้นเคยอยู่เลยเลือกปล่อยเพลงนี้ออกมาก่อน
ก่อนหน้านี้เราเคยได้รับการทาบทามจากค่ายเพลงค่ายหนึ่งให้ทำเพลงให้อัลบั้มใหม่ของพี่ปู พงษ์สิทธิ์ แต่กลายเป็นว่าเพลงนั้นถูก eject ออกซึ่งตอนนี้เราเองก็ยังไม่รู้เหตุผลของมันจริงๆ จนวันหนึ่งมีโอกาสได้เจอกับพี่ปูที่นครปฐม แกบอกว่าไม่ต้องคิดมากเรื่องเพลง เอาอย่างนี้แล้วกัน น้องไปทำเพลงมา เดี๋ยวพี่ไปร้องให้ พี่ปูตกปากรับคำก่อนเราเริ่มเขียนเพลงนี้อีกครับ เหมือนเป็นเพลงที่เราตั้งใจสร้างเพื่อให้พี่ปูร้องโดยเฉพาะ
ได้ยินมาว่าคุณรู้สึกเซ็งที่ทุกคนจดจำฟักกลิ้ง ฮีโร่ได้แค่เพลง ราตรีสวัสดิ์ ทุกวันนี้มันยังเป็นแบบนั้นอยู่ไหม
ใช่ นั่นคือสาเหตุที่อยากทำอัลบั้มที่เป็นของตัวเองตอนอายุ 36 คือเรามารู้สึกตัวเมื่อแก่ว่าเราควรเริ่มทำอะไรที่เป็นของเราเองได้แล้ว เราไม่อยากเป็นแค่แขกรับเชิญอีกแล้วก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของอัลบั้มเต็ม
เราคิดไว้ว่าอัลบั้มนี้จะเป็น ‘ก้าวแรก’ ที่มีความเป็นอัลบั้มทดลองอยู่ อาจจะไม่ใช่อัลบั้มที่พีคมากเพราะมันยังใหม่ อัลบั้มที่สองเราอาจจะว่างเปล่า เราคาดหวังว่าอัลบั้มที่สามจะเป็นอัลบั้มที่ดี และบันไดขั้นที่สูงที่สุดก็น่าจะเป็นอัลบั้มที่สี่
การทดลองที่ว่า คุณเล่าให้ฟังได้ไหมว่าได้ทำอะไรไปบ้าง
เราทดลองพลาดครับ พลาดเยอะมากๆ เราไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มมันยังไง เราคิดว่าเราอยากทำงานกับใครก่อนสมมติเราอยากให้ลิเดียมาร้อง ให้ครูแอ้ม (อัจฉริยา ดุลยไพบูลย์) มาเขียนเนื้อและ 00:25:40:Facement มาขึ้นบีตและทำโปรดิวซ์ให้ เราก็นัดพวกเขามาเจอกันที่สตูดิโอ วางโปรแกรมไว้ว่า 12 ชั่วโมง เที่ยงวันยันเที่ยงคืนวันนี้จะต้องได้เพลง เราแทบไม่รู้เลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง นั่งแต่งกันตอนบ่าย ตอนเย็นก็โทรนัดลิเดียให้มาร้องทันทีเลย ถ้าเกิดว่างานในวันนั้นมันเสียหรือพลาดเราก็ปล่อยไปเลยครับ มันเป็นวิธีใหม่ที่เราใช้มา 2-3 ครั้งแล้ว ซึ่งมันเวิร์กนะ
เราเองก็ทำงานกับคนอื่นมาเยอะเหมือนกัน เรารู้สึกว่าอัลบั้มนี้เราอยากเจอคนเยอะๆ และอยากทำงานกับความหลากหลาย และร่วมงานกับโปรดิวเซอร์เก่งๆ เราเพิ่งรู้ว่าDJ Khaled ไม่ใช่คนทำบีตเพลง เขาทำอะไรไม่เป็นเลย แต่เป็นคนที่อยากฟังเพลง เขาใช้คอนเนกชั่นดึงนักร้อง ดึงคนทำเพลงให้มาเจอกัน สร้างเพลงฮิตและรวมเป็นอัลบั้มของDJ Khaled เรารู้สึกว่าเราเองก็ไม่ได้ทำทุกอย่างเป็น การโปรดิวซ์ที่ใช้เซนส์แบบนี้มันน่าสนุกดี
นึกถึงเพลงก่อนหน้าอย่าง นอน, หลับ, ราตรีสวัสดิ์, นอนได้แล้ว แม้กระทั่งเพลงล่าสุดอย่าง Alarms (สวัสดีวันจันทร์) เป็นความตั้งใจของคุณหรือเปล่าที่อยากสร้างเพลงที่พูดถึงช่วงเวลานอน
ใช่ๆ เราเพิ่งมาคิดเหมือนกันว่าเพลงล่าสุดก็พูดถึงเรื่องหลับๆ นอนๆ เหมือนเดิม (หัวเราะ) มันเป็นเรื่องบังเอิญเหมือนกันครับ จริงๆ เราไม่ได้ตั้งใจเลยว่าอยากจะทำเพลงที่พูดถึงช่วงเวลาข้ามคืน จริงๆ ความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในชีวิตมันเกิดได้ในทุกนาทีทุกชั่วโมงอยู่แล้ว
สำหรับเพลงนี้มันมีที่มาจากความรู้สึกที่เราเกลียดเสียงนาฬิกาปลุกตอนเช้า เวลาที่ต้องตื่นไปทำงานหรือตื่นไปเรียนเนี่ย เราเชื่อว่าทุกคนอยากจะนอนต่อกันทั้งนั้น แต่พอมันเป็นหน้าที่ที่เราต้องทำและรับผิดชอบ แต่ละคนก็คงมีคนข้างหลังที่เราต้องแบกไว้ เพราะงั้นทุกคนก็จำเป็นที่จะต้องตื่นตามเสียงนาฬิกาปลุก เราอยากให้เพลงนี้เป็นเพลงที่ให้กำลังใจคนทำงาน
คนทำงานหลายคนฟังแล้วอินมาก คุณคิดว่าชีวิตแรปเปอร์กับมนุษย์เงินเดือนมีอะไรที่เหมือนกันบ้าง
เราว่ามันมีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีต่างกันนะครับ มนุษย์เงินเดือนอาจจะมีความมั่นคงมากกว่าคนที่ทำอาชีพศิลปิน แต่อาชีพศิลปินอาจดีกว่าตรงที่เราไม่ต้องทำงานตาม routine ของคนทั่วไป เราเลือกที่จะเที่ยวตอนบ่ายวันจันทร์ได้ แต่ขณะเดียวกันศิลปินเองก็เลือกที่จะไม่รับงานไม่ได้เพราะเราไม่รู้เลยว่าวันไหนบ้างที่เราจะไม่มีงาน แล้วช่วงไหนที่มีมันก็จะมาเยอะๆ ติดๆ กันจนไม่มีเวลาพัก ถ้าเราจัดสรรเวลาชีวิตที่ไม่ดีพอโรคกรดไหลย้อน ไมเกรนก็จะถามหา แต่ช่วงไหนที่ว่างก็ว้าง..ว่าง (หัวเราะ)
แล้วแรปเปอร์อย่างคุณบริหารความเสี่ยงนั้นยังไง
เก็บอย่างเดียวเลยครับ เหมือนคำว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก เก็บไว้เอาไปต่อยอดเป็นธุรกิจอื่นๆ ส่วนมากก็จะเป็นแบบนี้กันทุกคน เมื่อก่อนเราแทบไม่เก็บเงินเลยครับ ใช้เงินกันเละเทะมาก พอวันหนึ่งที่เรามีลูกมีครอบครัวแปลว่าเรามีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบแล้ว เราต้องกลับมาดูแลตัวเอง เข้าใจความสำคัญของการบริหารเงินมากขึ้น
เราพูดได้ไหมว่าวงการฮิปฮอปสนุกและแมสมากขึ้นเพราะการเกิดของ RAP IS NOW, SMTM รวมทั้งรายการ THE RAPPER
จุดเริ่มต้นก็คงเป็น RAP IS NOW แต่ที่เห็นได้ชัดที่สุดน่าจะเป็น THE RAPPER เพราะเราเห็นแม่หรือลูกเราดู THE RAPPER หลายๆ บ้านก็น่าจะเป็นเช่นกัน เราก็เลยรู้สึกว่าทุกอย่างมันเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้ก็ทุกคนก็อยู่ในช่วงกอบโกย เพลงของพวกเรามันกลายเป็นอาชีพที่ทำให้พวกเราอยู่ได้ เมื่อเรามีพลังที่จะทำแต่เพลงทั้งวี่ทั้งวัน งานมันก็พัฒนาขึ้นจากเดิมเป็นเรื่องธรรมดา ช่วงนี้เป็นช่วงที่ฮิปฮอปกำลังดัง มันทำให้เราได้เห็นเด็กรุ่นใหม่ๆ ที่เก่งกว่าเราเยอะมากขึ้น ขณะเดียวกันคนรุ่นเก่าก็มีที่ทางให้กลับมา
จากการเป็นโค้ชในรายการ THE RAPPER รู้สึกยังไงเวลาที่ได้เห็นทั้งคนที่ได้ไปต่อและไม่ได้ไปต่อ
เราว่าสุดท้ายแล้วมันไม่สำคัญเลยว่าใครจะเป็นผู้ชนะในรายการนี้ แต่มันสำคัญที่ว่า ‘คนรักใคร’ ต่างหาก เมื่อจบรายการทุกคนก็เดินออกไปกินข้าวด้วยกันเหมือนครอบครัวใหญ่ สำหรับเรามันไม่ใช่การแข่งขันเพียงอย่างเดียว แต่มันคือการช่วยกันต่อยอดสิ่งที่ตัวเองมีเพื่อให้ไปกับมันได้ไกลกว่า อย่างเคนน้อยที่ตกรอบไป เชื่อไหมว่า เรารู้สึกว่าเขาจะได้ไปไกลที่สุด เพราะคนรักเขามากที่สุดเท่าที่เห็นจากยอดวิวและการถูกพูดถึง คือเราดูมันเองเราก็ยังรู้สึกรักมันเพราะมันน่ารักและเป็นตัวของตัวเอง
มีกระแสหนึ่งใน RAP IS NOW ตอนที่เคนน้อยออกไปแรปแล้วทุกคนหาว่าเขาไม่ใช่แรปเปอร์ แถมยังทำให้วงการฮิปฮอปเป็นเรื่องตลกอีก คุณมีความเห็นกับเรื่องนี้ยังไง
เราคงต้องพูดถึงวัฒนธรรมฮิปฮอปก่อน สิ่งนี้มันไม่ใช่สิ่งที่เราสร้าง เพราะคนที่สร้างก็คืออเมริกา เรารับมาจากพวกเขาอีกที บางคนเขาอาจจะรู้สึกว่าเราจะต้อง respect ของเก่าของเขาไว้ เพราะรากมันไม่ใช่แบบนี้ และคงมีบางคนรู้สึกไม่ชอบรายการ THE RAPPER เราว่ามันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
สำหรับความเห็นเรา เราเบื่อคนที่เดินเข้ามาหาเราแล้วพยายามพูดว่า Yo Yo What’s up แล้วคิดว่าเราจะตอบด้วย Yo Yo What’s up เราเบื่อที่เวลาถูกขอให้แรปสดทุกครั้งที่ออกไปสัมภาษณ์รายการทีวี โอเค เราแรปสดได้แต่ก็อาจจะไม่ได้เก่งมาก แล้วไม่ใช่ว่าแรปเปอร์ทุกคนจะต้องแรปสดเป็น เราเบื่อกับการพยายามอธิบายให้คนเข้าใจว่าฮิปฮอปมันต้องเป็นอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนี้
แต่ในขณะเดียวกันรายการ THE RAPPER มันทำให้ทุกคนเห็นฮิปฮอปในมุมที่ต่างออกไปจากเดิม ฮิปฮอปที่ไม่ดาร์ก ไม่เสพยาก็มี ฮิปฮอปที่บอกรักพ่อแม่ก็มี จริงๆ พวกเราเหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่งที่ชอบเพลงฮิปฮอป ชอบการแรปแล้วเราก็แรปเป็น เมื่อฮิปฮอปแมสขึ้นมีข้อดีตรงที่มันมีพื้นที่ให้เราแสดงให้คนเห็นว่า ไม่ว่าเราจะรับอะไรมา สุดท้ายแล้วรากเราก็คือคนไทย รากเราก็คือคนที่ตลกสามช่า เวลาที่คนในวงการฮิปฮอปเดินเข้ามาหากันมันก็เล่นมุกตึ่งโป๊ะเหมือนกัน คือไม่ว่าพวกเราจะแต่งตัวเป็นอะไร อยู่บนเวทีเราจะแสดงแบบไหน พอลงเวทีมาเราก็เป็นคนธรรมดาๆ กลับบ้านไปกินน้ำพริกแค่นั้นเอง
หากมองการ respect เป็นตัวบุคคล ส่วนตัวคุณ respect แรปเปอร์แบบไหน
คำว่า respect ของเราไม่เกี่ยวกับรุ่นใหญ่รุ่นเล็กเลยครับ ตอนนี้เรา respect FIIXD เขาคือแรปเปอร์ใต้ดินที่ขยันมาก FIIXD เป็นคนทำงานเยอะ ทำงานไว แทบจะทำงานตลอดเวลาและมีความรับผิดชอบมากๆ แม้ว่ามันจะปาร์ตี้หนักแค่ไหน ตื่นเช้ามามันก็ไปทำงาน ไม่เคยทำให้งานเสีย เรา respect คนแบบนี้ MIYARAP ก็เป็นเด็กรุ่นใหม่ที่เก่ง Liberate P ก็เป็นแรปเปอร์ใต้ดินอีกคนที่เรา respect ความกล้าวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลชุดนี้ตรงๆ และยืนหยัดสู้มากๆ ยืดหยัดแบบที่ไม่สนอะไรทั้งนั้น ด่าก็คือด่า ทำเพลงแรปเกี่ยวกับรัฐประหาร เพราะเขาลงมือทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าที่จะทำ เรารู้สึกว่าวงการฮิปฮอปมันจะต้องมีคนแบบนี้
ความเป็นฮิปฮอปสำหรับเรามันคือกระจก เอาไปตั้งตรงไหนมันก็สะท้อนที่ตรงตรงนั้น เราไม่ได้บอกว่ามันจะ ต้องพูดแต่เรื่องสังคมหรือการเมืองตลอด ฮิปฮอปมันจะพูดถึงอะไรก็ได้แต่ว่ามันต้องอยู่บนความตรงไปตรงมา
บางคนแรปเพื่อตัวเอง เพื่อสังคม แล้วฟักกลิ้ง ฮีโร่ แรปไปเพื่ออะไร
ตอนนี้เราแรปเพื่อทำมาหากิน (หัวเราะ)
แต่หลายปีก่อนคุณเคยบอกว่า คุณอยากแรปเพื่อเปลี่ยนโลกไม่ใช่เหรอ
(หัวเราะ) มันเป็นอุดมคติ จริงๆ เราแรปเพราะอยากฟังแรปก็เลยไม่อยากจำกัดมันว่ามันจะต้องเปลี่ยนอะไร เราทำไม่ได้หรอก เรายอมแล้ว เราเปลี่ยนเป้าหมายทุกปี สมัยก่อนเราคิดว่ามันมีเรื่องให้เราต่อสู้เยอะ พอเราโตขึ้นเราได้เห็นอะไรที่มันแปลกออกไปในทุกๆ วัน จนวันหนึ่งเรากลับรู้สึกว่า อีกหน่อยตัวตนเราอาจจะเปลี่ยนไปมากกว่านี้ก็ได้ เราเลยไม่อยากยึดติดว่าเราจะต้องเป็นอะไร
กลับมาวงการฮิปฮอปอีกสักหน่อย พอมันแมสขึ้นเสียงส่วนมากบอกว่ามันดี ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง สำหรับคุณแล้วมันมีอะไรที่น่าเป็นห่วงอยู่บ้างไหม
ช่วงนี้อาจจะเป็นช่วงกอบโกยก็จริง เราคิดว่าการที่มันแมสมันอาจจะอยู่ได้ไม่นาน มันถึงต้องมีการพยายามสร้างความเข้าใจในวัฒนธรรมฮิปฮอป แต่สุดท้ายเราว่าเดี๋ยวมันก็ต้องไปเพราะมันเป็นกระแส เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราควรทำให้ดีที่สุดก็คือการเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเป็น ตัวอย่างเช่น เคนน้อย เรารู้สึกว่ามันเรียล เขาไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นแนวอะไร ปู่จ๋านก็เช่นกัน พวกเขาคือคนที่แรปเป็น และเชื่อว่าการได้ทำเพลงที่ตัวเองอยากทำมันโคตรมีความสุขเลย
หรืออย่างโต้ง TWOPEE เราว่าคนนี้อยู่ได้ยาวๆ เพราะเขาเรียลและเก่งจริง ไม่ว่ากระแสอะไรจะเข้ามาหรือออกไป อย่างช่วงก่อนที่มี EDM เข้ามา TWOPEE แทบจะไม่เปลี่ยนไปแตะ EDM ถ้าสังเกตเพลงของ Southside จริงๆ Southside ก็ยังเป็น Southside อยู่ถึงทุกวันนี้ ‘ของจริง’ มันต้องเป็นอย่างที่มันเป็นและไม่ต้องพยายามจะเป็นอะไร หลังจากรายการนี้จบ มันอาจจะเหลือคนที่อยู่ในนี้ได้ไม่กี่คน ธรรมชาติจะคัดสรรตัวมันเอง
พูดถึงฮิปฮอปที่มาแรงสุดๆ ในตอนนี้คงหนีไม่พ้นฮิปฮอปจากฝั่งเกาหลี คิดยังไงกับแกระแสที่ฉุดไม่อยู่ของที่นู่น
เกาหลีคือเมืองหลวงฮิปฮอปของเอเชีย ขณะนี้น่าจะเป็นอันดับ 2 หรือ 3 ของโลกเลยมั้ง รายการ SMTM ของเกาหลีมีคนต่อคิวออดิชั่นเป็นหมื่น ประชากรแรปเปอร์เขาเยอะมาก แถมยังเต้นบีบอยเก่งที่สุดในโลก แม้กระทั่งเจ้าของวัฒนธรรมยังยอมในความเก่งของพวกเขา เหตุผลที่เขาทำได้ดี ไม่ใช่แค่วงการฮิปฮอป แต่เป็นวงการบันเทิงทั้งหมด การที่รัฐบาลของเขาสนับสนุนทุกอย่างในอุตสาหกรรมนี้มันส่งผลกันหมด ที่สำคัญระบบรุ่นพี่รุ่นน้องแรง เขาก็ส่งต่อวัฒนธรรมให้กันเป็นเรื่องเป็นราว เด็กรุ่นหลังๆ เลยเก่งกันมาก
ที่เกาหลีเพิ่งจะรับฮิปฮอปมาไม่กี่ปีเอง แต่โตเร็วมาก โปรดิวเซอร์เขาเก่ง แรปเปอร์เขาเก่ง ทุกคนขยัน เราชอบฟังฮิปฮอปเกาหลีมาก เช่น Dynamic Duo เราฟัง YG ตั้งแต่ G-DRAGON เป็นเด็กๆ บอยแบนด์หรือเกิร์ลกรุ๊ปเขาก็เก่งทุกคน มีเปิดหลักสูตรสอนแรปกันจริงจังเลย จริงๆ เราอยากให้สิ่งนี้เกิดในบ้านเราเหมือนกันนะ อยากให้มี academy ที่ปั้นแรปเปอร์ไทยส่งออกบ้าง แต้เราว่าอย่างแรก เราต้องเป็นอย่างที่เราเป็นก่อน ซาวด์เกาหลีมันชัดเจน ไม่ว่าเขาจะเอาอะไรมาทำมันก็ยังฟังเป็นเพลงแบบเกาหลี แล้วเราดันไปรับเกาหลีมาอีกทอด ถ้าเรายังเดินตามเขาอยู่เราก็แซงเขาไม่ได้
มันจะมียุคกามิกาเซ่ มีบางเพลงที่เรารู้สึกว่านี่แหละคือเพลงไทยป๊อบอย่างเพลง เหงาปาก ของ K-OTIC มันไทยทั้งๆ ที่ไม่มีดนตรีไทยในนั้นเลย พอเราไปนั่งแกะจริงๆ ถึงได้รู้ว่าพี่เอฟู อาจารย์ของ Urboy TJ (โปรดิวเซอร์หลักของค่ายกามิกาเซ่) แกโคตรเก่งเลย หรือบางเพลงของหวายเอามาร้องเป็นลูกทุ่งยังได้เลย เราเลยรู้สึกว่าการจะทำเพลงไทยให้ป๊อบทัดเทียมเขามันต้องใช้วิธีคิดนี้ ต้องล้มเลิกวิธีคิดที่ว่าต้องเอาตะโพนมาใส่อยู่ในเพลงแดนซ์ (หัวเราะ)
จริงๆ เรารู้ว่าของในบ้านเราดีมาก แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเราจะเห็นเพื่อนแรปเปอร์เราเปลี่ยนอาชีพไปทำอย่างอื่นเรื่อยๆ โคตรเสียดายเลย ที่เมืองนอกแรปเปอร์ยิงกันตาย แต่ที่ไทยกระสุนแห่งความจริงยิงแรปเปอร์ที่นี่ตาย ถ้าก่อนหน้านี้เรามีคอนเสิร์ตให้เขาเล่นและทำเป็นอาชีพอย่างทุกวันนี้ได้ เราอาจจะไม่ต้องเสียแรปเปอร์เก่งๆ ไป เพราะฉะนั้นเราเชื่อว่ากระแสที่มีอยู่ตอนนี้ อย่างน้อยก็น่าจะช่วยหยุดสงครามนี้ได้
เบื่อไหม เวลาเจอคำถามว่า ‘ไทยฮิปฮอปคืออะไร’
ไม่เบื่อนะ แต่ถ้าจะให้เราตอบ เราจะให้คุณไปลองฟังเพลงของ 4 คนนี้คือ MIYARAP, P9d, UMA และอีกคนที่เราชอบมากสุดๆ คือ ILLSLICK เขาเป็นคนที่ทำให้เพลงแรปไทยมีการร้องเกิดขึ้น ถ้าลองสังเกตดีๆ ศิลปินรุ่นใหม่ๆ อย่าง The TOYS, YOUNGOHM จะมีกลิ่นของการแรปและร้องแบบ ILLSLICK อยู่
ภาพ พชรธร อุบลจิตต์