คลื่นซัดสาดกระทบฝั่งไม่สร่างซา แดดสะท้อนแสงระยิบระยับบนผืนน้ำ สิ่งมีชีวิตลึกลับแหวกว่าย ขยับเคลื่อนไหวเป็นก้อนฝูง เฉียดฉิวผ่านใต้ท้องสัตว์มหึมาแห่งห้วงสมุทร วาฬบาลีนร้องกังวานกลางท้องทะเลเรียกหาพ้องเพื่อน สีน้ำเงินเข้มอ่อนปะปนวนเวียนรอบ
ฉันค่อยๆ ลืมตาข้างเดียวที่หลับอยู่
“ไม่มีใครอยู่ตรงนี้แล้ว หายไปไหนกันหมดนะ”
ฉันส่งคลื่นดังหงืด หงืด จนฟองน้ำรอบๆ กระเซ็นซ่าน ปลาตัวเล็กตัวน้อย กระทั่งเจ้ากะพรุนสะดุ้งสงสัย
ไม่เห็นมีใครวนกลับมาเลย แต่พวกเขาน่าจะหาฉันเจอสิ ฉันยังอยู่ที่เดิมนะ
มีใครได้ยินฉันหรือเปล่า ได้ยินหรือเปล่า มีคลื่น 52 เฮิร์ตร้องดังอยู่ตรงนี้
ชะตาถูกสาปให้ล่องลอย
กลางก้นบึ้งสีครามเข้ม
โอบอุ้มโดยเกลียวคลื่น
และเสียงคร่ำครวญอันเงียบงันของตนเอง

ฉันแหวกว่าย แหวกว่ายไปตามกระแส ยิ้มให้ฝูงเต่า ถามหมู่ปลาว่าเห็นใครที่คล้ายฉันผ่านมาทางนี้บ้างหรือเปล่า พวกเขาได้แต่ส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ เสียงของฉันคงดังอื้ออึงเกินไป
ขณะเดียวกัน ปฏิทินมนุษย์หยุดอยู่ในค.ศ. 1989 ใต้น้ำสงบสุข ต่างจากบนบกที่เต็มไปด้วยสงคราม สหรัฐอเมริกาจำต้องคิดค้น ‘ไฮโดรโฟน’ เครื่องดักจับเสียงใต้น้ำเพื่อคุ้มกันภัยประเทศตัวเองจากโซเวียต ทุกสิ่งหมุนไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางเสียงจ้อกแจ้กจอแจ เสียงสะพัดของลมก้นบึ้งมหาสมุทรปะปน แต่ก็เชื่องช้าพอจะทำให้ได้ยินเสียงหนึ่งที่เมื่อฟังแล้วต้องหยุดชะงัก
สถาบันสมุทรศาสตร์วูดสโฮลร่วมกับมหาวิทยาลัยคอร์เนลออกวิจัย พลางพยักหน้าลงความเห็นเดียวกัน
“เขาคือวาฬ” และอีกความเห็นหนึ่งที่ตามมา “แต่เสียงเขาแปลกกว่าเสียงของวาฬตัวอื่น” เพราะปกติแล้ววาฬจะมีคลื่นอยู่ที่ 10-39 เฮิรตซ์ แต่เราจับคลื่นเขาได้ที่ 52 เฮิรตซ์ ทว่าพวกเขาก็ละทิ้งความสงสัยนี้ไป ด้วยเพราะมีเรื่องอื่นในชีวิตที่สำคัญกว่า ยิ่งยุคสงครามกำลังเดือดพล่านแล้ว
เสียงแห่งโศกศัลย์ที่มี
คล้ายปมผูกความเดียวดาย
บทเพลงสิ้นหวังและท่วงทำนองที่มี
คล้ายความหวังสุดท้ายก่อนมลาย

ฉันล้มเลิกความคิดที่จะหันหน้าถามหมู่ปลา เริ่มไม่ว่ายวนเวียน พุ่งตามหาฝูงสีน้ำเงิน ฉันลืมตาเพื่อเห็นพระอาทิตย์เพียงลำพัง ถึงจะโดดเดี่ยว แต่การเกิดเป็นปลาก็ดีเหมือนกันเนอะ แม้ร้องไห้ก็ไม่มีใครได้เห็น เพราะหยดน้ำในตาสลายรวมกับผืนทะเล
คลื่นสะท้อนของฉันไม่ดังออกไปเป็นเวลานานแล้ว วันๆ หนึ่งได้แต่ปล่อยให้พุงป่องใหญ่ล่องลอยตามกระแสน้ำ มีบ้างที่ฉันเจอวาฬตัวอื่นผ่านมาทายทัก พวกเขาส่งเสียงร้องใส่กันไปมา ฉันได้ยินทุกคำพูด บ้างว่าคิดถึง บ้างว่ากลับไปที่ฝูงได้แล้ว พลางถามไถ่กันว่าสบายดีหรือเปล่า
ฉันอยากคุยกับพวกเขาได้บ้างจัง แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครได้ยินเสียงคลื่น 52 เฮิรตซ์นี้เลย และดูเหมือนจะไม่มีใครเห็นฉันเลย
ยามค่ำคืนที่ดาวพร่างพรายเต็มท้องฟ้า คลื่น 52 เฮิรตซ์นี้จะดังกังวานกว่าปกติ
แต่เหนือผืนน้ำขึ้นไปนั้น มนุษย์คนหนึ่งเขาเห็นฉัน ‘วิลเลียม วัทกินส์’ คอยเฝ้าตามติดฉันไปทุกที่ตั้งแต่แปซิฟิกเหนือไปจนถึงอ่าวอลาสกา ฉันรู้มาเสมอ แต่ก็พยายามหลบเลี่ยงไม่ให้เขาคว้าตัวได้ เพราะไม่อาจรู้เลยว่ามนุษย์นั้นนิสัยใจคอแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร อีกอย่างหนึ่ง ฉันไม่คิดหรอกว่าจะมีใครเข้าใจเสียงสะท้อนของฉัน
สักวันหนึ่งใครบางคนจะได้ยิน
ใครบางคนจะขานรับเสียงวิงวอน
แหวกว่ายความโดดเดี่ยวไปด้วยกัน

ไม่ใช่ทุกเสียงของเราจะมีคนตอบกลับมา แต่อย่างน้อยฉันก็ได้ส่งเสียงออกไป
ถึงจะว่ายน้ำอย่างไม่มีปลายทาง แต่ฉันก็รู้ว่าตัวเองยังมีแรงว่าย
ไม่เป็นไรเสียหน่อย หากไม่มีวาฬตัวไหนได้ยินเสียงสะท้อน
ไม่น่าเศร้านักหรอก อย่างน้อยฉันก็คือเสียงเดียวในมหาสมุทรแห่งคลื่นความถี่

หากวาฬตัวนี้ได้รู้ว่าคลื่นของเขาเพียงแวบเดียวในวันนั้น ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ใครต่อใครที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว ให้ใครที่รู้สึกเปล่าเปลี่ยว เคว้งคว้างเหมือนอยู่ใต้ก้นบึงทะเลได้มีแรงแหวกว่าย เขาอาจภูมิใจจนอยากแผ่คลื่น 52 เฮิรตซ์ออกมาให้เราได้ยินอีกครั้งก็ได้
แม้วันนี้จะไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ส่วนไหนของผืนสมุทร แต่เราหวังว่าเขาจะถูกล้อมรอบด้วยฝูงแมงกะพรุน หมู่ปลาร่าเริง และได้เป็นจ่าฝูงของนีโม่น้อยนะ