ในทศวรรษที่ 20 ลายเส้นศิลปะไม่ได้หยุดอยู่บนผืนกระดาษ หรือปลายพู่กันอีกต่อไป หลายต่อหลายศิลปินทำการแปลงร่างเป็นกล่องสุ่ม หุ่นจิ๋ว อาร์ตทอย! เพื่อให้บรรดาแฟนคลับได้กอดงานศิลปะของพวกเขาได้แน่นขึ้น ผู้คนจำนวนไม่น้อยกรูกันเข้าร้าน POP MART ทั้งคันมืออยากจุ่ม อยากเขย่ากล่องที่อัดแน่นไปด้วยงานศิลปะข้างใน ใจเต้นตึกตักลุ้นว่าจะได้ตัวที่หวังหรือเปล่า ตลาดอาร์ตทอยตีขยายเป็นวงกว้างเหมือนแฮปปี้ไวรัสที่ใครได้จับเข้าเป็นต้องยิ้มร่า กลายเป็นของสะสมชนิดที่ว่าของมันต้องมี
ไม่ว่าจะด้วยเพราะถูกชะตากับแก้มกลมๆ ปากนิด จมูกหน่อย หรือต้องสะกดกับนัยน์ตาไร้เดียงสา เบื้องหลังความน่ารักน่าหยิกพวกนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวที่อ่อนไหว ละเมียดละไม จากหัวใจของผู้สร้างผลงานซ่อนอยู่ แค่เปลี่ยนจากบนผืนแคนวาสเป็นหุ่นหล่อพลาสติกก็เท่านั้น


เช่นเดียวกับศิลปิน ‘Ayan Deng’ (อาเยียน เติ้ง) สาวน้อยชาวจีนผู้เปลี่ยนความฝันในวัยเด็กให้กลายเป็น ‘DIMOO’ เด็กชายหัวเมฆปุกปุย ที่เรียกเสียงเอ็นดูจากคนทั่วโลกได้ดีเหลือเกิน ดูเหมือนว่าใครๆ ก็รักเด็กคนนี้ เด็กคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทของอาเยียน
อาเยียนเคยเป็นเด็กผู้หญิงที่มีอุปนิสัยขี้อาย เอาแต่ขลุกตัวอยู่ในโลกใบน้อย ล้อมรอบไปด้วยกระดาษ และดินสอสีไม้ทู่ๆ ห้วงเวลาส่วนใหญ่ของเธอหมดไปกับการสำรวจสัตว์ตัวเล็กตัวจ้อย เงยหน้าแหงนมองท้องฟ้า จินตนาการก้อนเมฆเป็นรูปทรงสัตว์ แม้เธอจะดูเป็นสุขดี แต่ครอบครัวกลับรู้สึกเป็นห่วง พวกเขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อดึงเธอออกมาจากโลกใบนั้น ให้ดวงตาได้เห็นโลกความจริงที่กว้างขวาง
เธอเริ่มก้าวขาออกมาสู่โลกภายนอกข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างยังอยู่ในโลกที่มีเมฆลอยล่อง อาเยียนได้มีโอกาสเห็นอาร์ตทอยในตลาดเต็มไปหมด พลางคิดว่าอยากให้ DIMOO เพื่อนรักที่อยู่บนกระดาษได้ยืนเฉิดฉายบนแท่นวางบ้างสักวันหนึ่ง เป็นที่รักของผู้คนเหมือนที่เธอรัก

และแล้วทรงผมรูปเมฆของเจ้า DIMOO ก็ได้ปรากฏขึ้นในตลาดอาร์ตทอยเป็นครั้งแรกจากการค่อยๆ ไต่ขั้นบันไดฝันของอาเยียน
“เราแค่คิดว่าถ้าทรงผมเปลี่ยนเป็นรูปก้อนเมฆได้ มันจะเป็นยังไงกันนะ หรือถ้าเป็นเหมือนสายไหมม้วนๆ ที่คอยอุ้มปกป้องเราไว้ หรือถ้ากลายเป็นปีกที่พาเราบินได้ล่ะ” อาเยียนพูดประโยคน่ารักออกมา ช่างสมกับศิลปะที่เธอถ่ายทอด
ลองหลับตานึกภาพเด็กผู้ชายตัวจ้อยตากลมใส หัวเมฆสีชมพูมีปีกแทงขึ้นมาเป็นหูปีศาจ มือข้างหนึ่งถือดาบไม้ขนาดพอดี อีกข้างถือโล่กำบังเจ้าลูกหมีสีน้ำตาลที่ยืนหลบหลัง หรือบรรดาสัตว์ที่อาเยียนเฝ้าสำรวจกำลังออกมาวิ่งเล่นบนสนามหญ้าอย่างร่าเริง (คอลเลกชันฟิกเกอร์จากซีรีส์ Weaving Wonders)
DIMOO เพื่อนในจินตนาการของอาเยียนเป็นเช่นนั้น เขาช่างกล้าหาญ และรักในการผจญภัยเป็นที่สุด
“ตั้งแต่เรามี DIMOO เราก็รู้สึกเหมือนมีเพื่อนที่ทำให้เรากล้าออกไปข้างนอก เริ่มพูดคุยกับคนอื่นเยอะขึ้น DIMOO เข้ามาเปลี่ยนนิสัยเราไป” อาเยียนเล่าความในใจถึง DIMOO ฟังดูเหมือนเด็กชายคนนี้จะเติบโตเคียงข้างเธอมาหลายคอลเลกชัน มากพอกับวัยที่ผันผ่าน เราถามเธอว่า DIMOO จะอายุมากขึ้นกว่านี้หรือเปล่า และนี่คือคำตอบที่ได้รับ
“เราไม่แน่ใจว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่เราก็ไม่อยากให้เวลาของเขาหยุดนิ่งด้วยเช่นกัน เราอยากให้เขาได้เติบโต และเดินไปตามตัวของเขาเอง ไม่ใช่เพราะเรา”

ตอนนี้ DIMOO ท่าจะเติบโตขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งแล้ว จากคอลเลกชันใหม่ ‘DIMOO Special Friend of China – Thailand Golden Jubilee’ ที่เพิ่งเปิดตัวไปหมาดๆ ใน POP MART เด็กชายตัวจ้อยคนนี้ได้รับเลือกให้เป็นถึง Special Friend เพื่อนแสนพิเศษแห่งตลาดอาร์ตทอยที่เชื่อมสายสัมพันธ์ข้ามประเทศ! ระหว่างไทยและจีนที่โยงใยแน่นแฟ้นกันมาร่วม 50 ปี
อาเยียนแอบกระซิบถึงที่มาของคอลเลกชันใหม่ล่าสุด “คอนเซปต์ในครั้งนี้เราผสมวัฒนธรรมของไทยและจีนลงไปในตัว DIMOO ใส่ชุดมาสคอตน้องช้างที่เป็นสัญลักษณ์ประจำชาติไทยลงไปด้วย นี่เป็นสิ่งที่เราประทับใจเป็นพิเศษเลยนะ เพราะช่วงที่ได้มาเที่ยวเมืองไทยได้เห็นน้องช้างตัวเป็นๆ ด้วย หรืออย่างเห็นดอกบัวลอยบนน้ำ เราก็เอาสิ่งที่เห็นมาสื่อความหมาย ออกมาเป็น DIMOO สวมชุดผ้าไทยนั่งบนดอกบัว”
“อย่างในประเทศจีน ดอกบัวก็เป็นตัวแทนแห่งความปรารถนา ช่วยนำสิริมงคลมาให้ กิมมิกเป็นไฟที่ลุกเบาๆ รอบ DIMOO บอกถึงความอบอุ่น”
จากการเปิดตัวของ DIMOO คราวนี้ มีผู้คนล้นหลามเข้ามาเต็มไปหมด เราได้ยินเสียงดังในลำคอด้วยความเอ็นดูอยู่รอบงานเนืองๆ และคำที่ได้ยินมากที่สุด คือคำว่าน่ารักจัง ฟังดูแล้ว DIMOO น่าจะไม่ใช่แค่เพื่อนรักของอาเยียนคนเดียวแล้วล่ะ เพราะเขาคงต้องออกผจญภัยไปกับใครอีกหลายคนเป็นแน่
เห็นแบบนี้เราก็นึกอยากถามอะไรหลุดโลกกับผู้สร้างผลงานขึ้นมาว่าถ้า DIMOO มีชีวิต คิดว่าเขาจะพูดอะไรออกมาเป็นประโยคแรก
“เราไม่เคยคิดว่า DIMOO ไม่มีชีวิตเลย เขามีชีวิตสำหรับเรามาเสมอ เหมือนมีจิตสื่อจิตระหว่างเรากับ DIMOO ทุกคนที่ได้เล่นกับ DIMOO ก็คงจะได้ยินน้องพูดเสียงที่ต่างกันไปนะ” อาเยียนเงยหน้านึกคิด “อืม แต่ถ้าเขาเกิดพูดขึ้นมาได้จริง เราว่าประโยคแรกคงเป็น ในที่สุด ฉันก็พูดได้แล้ว!” เธอหัวเราะกับคำตอบนี้เสียงดังที่สุด
