Placebo หรือพลาซีโบ (น.) ลักษณะคล้ายยาทั่วไป แต่ไม่มีส่วนประกอบของสารออกฤทธิ์ที่ช่วยรักษา ทว่าเมื่อผู้ป่วยได้รับจะรู้สึกว่าตัวเองหายจากโรคเป็นปลิดทิ้ง
ไม่ต่างนักกับการเฝ้าอธิษฐานต่อฟ้าฝนให้คำขอเป็นจริง และเชื่อสนิทใจว่าสักวันหนึ่งจะต้องมาถึง สิ่งเหล่านี้จัดอยู่ในหมวดคำเดียวกัน คือ ‘ความหวัง’
ชายร่างกำยำสวมกางเกงพลีทเดินรอบหญิงคนหนึ่งที่กำลังนอนหลับตาบนพื้น เธอโพกหัวด้วยผ้ายาวสีสด หน้าตาซีดเซียว ขันใบใหญ่ถูกวางไว้บนท้องก่อนจะตามด้วยเสียงหงืด หงืด ก้องกังวานไปทั่วห้องหลังไม้สั้นกระทบปากขัน และชายร่างผอมรวบผมยาวในกางเกงผ้าบาติก ทั้งคอสวมสร้อยประคำนั่งแตะข้อมือเธอเหมือนจับหาชีพจร ก่อนจะค่อยๆ ใช้มือจับเบาๆ ที่ขาของผู้หญิงคนนี้
รอบห้องมีแต่คนนอนก่ายบนพื้น บ้างก็นั่งขัดสมาธิ ทั้งมีใครอีกหลายคนพูดคุยดูแลกัน ดูเหมือนห้วงเวลาในที่แห่งนี้ถูกสะกดให้ยาวนานกว่าปกติ ด้วยความรู้สึกตกตะลึง กระทั่งเราจำกลิ่นสมุนไพรอบอวลได้ดี แต่จู่ๆ เสียงคนร้องไห้อย่างเจ็บปวดทั้งพูดว่าเสียใจก็ทำลายความเงียบงัน

‘คอร์ติซอล’
ฮอร์โมนแห่งความเครียด
ภาพวาดร่างกายคนบนผนังด้วยสีชอล์ก ตัวเลขถูกมาร์กอยู่ทั่ว ‘Fire Wind Water Earth’ เขียนกำกับอยู่ข้างๆ ไหนจะเครื่องกระทบ เครื่องสาย เครื่องราง ทำให้เราเริ่มค่อยๆ เข้าใจสถานที่ ขนลุกตั้งชูชันเพราะรู้สึกถึงความขลัง แม้โลเคชันอยู่ใจกลางเมืองสีสันย่านหัวลำโพง นี่ไม่เข้าข่ายประโยคที่ว่า “มาฮีลใจกันเถอะ” อย่างที่เราเคยได้ยินเลยสักนิด แต่เป็น “บำบัดซะแล้วจะได้ดีขึ้น” มากกว่า
ชายในกางเกงพลีทสวมแว่นตาใส ‘วริศ – วริศ ลิขิตอนุสรณ์’ และชายร่างผอมสวมสร้อยประคำ ‘โกโก้ – พิชญะ เภตราไชยอนันต์’ คือผู้ก่อตั้ง PLACEBo CLUB (พลาซีโบคลับ) เรารู้จักที่นี่ได้ก็เพราะหน้าฟีดอินสตาแกรม พอเห็นใบประกาศว่าจะมีวันเยียวยาฟรี ถึงได้กดกรอกฟอร์มอย่างไม่ลังเล ไถไปมาจนได้เห็นว่าเขาบำบัดผู้ป่วยมะเร็งฟรีด้วย โคตรแอดวานซ์! ในใจอุทาน ตามด้วยความสงสัยแบบเจ้าหนูจำไมว่าสารตั้งต้นอะไรกันนะที่ทำให้พวกเขาเลือกมาเป็นนักบำบัด และดูใช้ชีวิตอย่างฤาษีผู้รักสันโดษในเมืองหลวงเหลือเกิน
เหตุผลเดียวคืออยากหาทางพ้นทุกข์จากโลกปัจจุบัน
วริศเล่าย้อนความว่างานสุดท้ายที่ทำก่อนจะก่อตั้ง PLACEBo CLUB คืองานสื่อ และการเมือง และตัวเขาอยู่ในช่วงปฏิวัติสื่อที่ต้องทำทุกวิถีทางให้บริษัทที่ขาดทุนมานานมีกำไรอีกครั้ง แต่ท้ายที่สุดด้วยปัญหาประเดประดังทำให้ไม่อาจใช้ชีวิตแบบเดิมได้ และค้นพบว่าตัวเองไม่เหมาะกับการทำงานในโลกทุนนิยมเอาเสียเลย
“เราทำงานได้จับโปรเจกต์เงินล้าน แต่กลับรู้สึกว่าแม่งไม่มีความหมายอะไรกับเราเลย เราเสียศรัทธาในความเป็นมนุษย์ ด้วยสิ่งที่เจอมามันรุนแรงมาก งานที่มั่นคงแบบไหนถึงทำให้เราต้องไปหาจิตแพทย์ มันไม่ใช่ ความมั่นคงสำหรับเราคือจะทำสิ่งนี้ได้จนตาย ต่อให้เดือนนี้ทั้งเดือนไม่มีรายได้เลย หรือวันนั้นไม่มีเงินซื้อข้าวกิน แต่เรามั่นใจว่าเดี๋ยวก็จะมีคนเข้ามาหาเรา พูดแล้วแม่ง Emotional ว่ะ ความมั่นคงนี้หาไม่ได้เลยจากที่ไหน ต่อให้ในหน้าที่การงานตำแหน่งจะสูงแค่ไหนก็ตาม” ระหว่างที่พูด วริศก็น้ำตารื้นขึ้นมา คงเป็นความโศกเศร้าที่เขาจำฝังใจ แม้เหตุการณ์จะผันผ่านมานานแล้ว และเมื่อวริศระเบิดตัวเองออกจากโลกทุนนิยม เขาก็ได้ลงแรงร่วมกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง เปิดร้านต้นไม้เล็กๆ ในบ้านไม้หลังหนึ่งที่ชั้นล่างเป็นร้านส้มตำ ในชื่อ ‘พลูโต Houseplant Studio’
“คือไอ้ร้านต้นไม้นี้ดังนะ แม่งออกสื่อทุกสำนัก เพราะมันเป็นร้านต้นไม้ที่ประหลาดมาก อยู่ที่ชั้น 3 ของร้านส้มตำ ออกแบบให้ทางเดินเป็นเขาวงกต เดินไปเจออ่างอาบน้ำที่เอาไว้ล้างต้นไม้ แล้วในหลืบดันเป็นซุ้มหมอดู” วริศเล่าทั้งหัวเราะ
ในเวลาขนานกัน โกโก้กำลังอยู่กับจุดผกผันของชีวิต และเผชิญยุคของโรคระบาดเช่นเดียวกับวริศที่ดำผุดดำว่ายเส้นทางตัวเอง
ก่อนหน้านี้โกโก้ทำงานด้านนิตยสาร แต่เขาก็ไม่อาจใช้คำว่ามีความสุขได้เต็มปากนัก คนที่ดูมั่นใจเกินร้อยอย่างโกโก้ประสบความทุลักทุเลมาไม่น้อย โรคซึมเศร้าที่ไม่เคยรู้ตัวว่าเป็น จนได้กลับมาทบทวนว่าทำไมฉันถึงรู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลา ไปที่ที่สวยงามกลับมีความคิดว่าทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่ ทำไมต้องได้เจอผู้คนที่ใจดี ตกอยู่ในความระทมถึงขั้นออกจากบ้านแล้วจะเป็นลม แค่หายใจก็เหนื่อยล้า
และการรักษากับจิตแพทย์ไม่ใช่ทางออกที่สว่างที่สุดของโกโก้ จนกระทั่งได้พบประสบการณ์รับการเยียวยาด้วยพลังงาน ทั้งในไทย และไต้หวัน พบกับอาจารย์แพทย์แผนจีนโบราณที่รักษาเขาได้หายจนซึ้งเข้าเส้น และพบว่าโลกของการเยียวยาทั้งลึกลับ และกว้างขวางเหลือเกิน
กระทั่งค่ำคืนหนึ่ง โลกได้เหวี่ยงคนทั้งสองให้มาเจอกัน ณ ร้านต้นไม้ประหลาด
“จำได้เลยว่าตอนเจอโกโก้ มันเอาไม้คฑาวิเศษมาแล้วก็จิ้มๆ ที่มือทุกคนในร้าน แล้วถามว่า เนี่ย รู้สึกไหม รู้สึกไหม กูจะรู้สึกอะไรล่ะนอกจากขำมึง” วริศพูดถึง First Impression ที่ได้เจอโกโก้ครั้งแรก
โกโก้ยักไหล่ใส่พูดสวนกลับ “ณ ตอนนั้นเราเป็นสาวสังคม เราไม่สนไง ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องคุยกัน แค่เห็นว่าในสเปซเขาก็พูดเรื่องจักรวาล มิติอะไรไม่รู้ นี่อะ ไร้สาระกว่าไม้คฑาฉันอีก”
วริศบอกได้แค่ว่าอาจเพราะร้านของตัวเองดูประหลาด ทำให้คนที่แวะเวียนเข้ามารู้สึกไปตามธรรมชาติว่าเขาก็คงทำอะไรประหลาดๆ ที่นี่ได้ บ้างก็เข้ามาแล้วเล่าให้วริศฟังว่าโดนของ หรือเจอผี รวมๆ แล้วเหมือนคอมมิวนิตีกระทรวงเวทมนตร์มากกว่าร้านขายต้นไม้
“เรามาวิเคราะห์ย้อนหลังว่าทำไมเป็นแบบนั้น เพิ่งมารู้ว่าร้านอยู่ตรงทางสามแพร่ง ยิ่งเป็นร้านต้นไม้ด้วย คือคนเขาจะใช้ต้นไม้ในพิธีกรรมต่างๆ เสมอ เพราะต้นไม้มีฤทธิ์ในการเป็นพยาน และส่งพลังเป็นกลางที่ช่วยซัพพอร์ต เหมือนที่คนไปอาบป่า เข้าป่า พระพุทธเจ้าเองก็ตรัสรู้หน้าต้นไม้ ก็น่าสนใจว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้เริ่มต้นในที่ที่มีต้นไม้ ในเมืองที่ไร้ธรรมชาติ”
“จริงๆ เราเองก็สนใจเรื่องจิตวิญญาณตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ทิ้งมันไป 10 กว่าปี เพราะสังคมมองว่างมงาย หาเงินไม่ได้ แล้วเวลาทำงานวิชาการก็แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องพวกนี้ เพราะเมื่อเราพูดอะไรที่เป็นจิตวิญญาณ คนจะไม่เชื่อ เราเคยรู้สึกว่าความเชื่อทางจิตวิญญาณทำให้เราไม่มีเพื่อน ไม่มีแฟน ไม่มีคนเชื่อถือในวัยเด็ก สิ่งเหล่านี้ไม่ให้อะไรเรา นอกจากมันทำให้เราดูแปลกเหมือนคนบ้า” วริศเล่าต่อถึงเหตุผลที่ปิดใจจากเรื่องเหนือธรรมชาติ และพยายามซุกซ่อนความเป็นตัวเองไว้ให้ลึกที่สุด
“เนี่ย! กล้าเปิดใจกับโกโก้เพราะไม้คฑามันเลยนะ เราเชื่อว่าตอนเด็กทุกคนน่าจะเคยคิดว่าฉันจะบังคับทิศทางลม บังคับให้น้ำหมุน อยากจะเชื่อว่าตัวเองมีอะไรบางอย่างมากกว่าโตไปต้องทำงาน หรืออยากเป็นหมอไหม เรารู้สึกประหลาดใจว่าเฮ้ย! โกโก้มันใช้ชีวิตมาจนถึงป่านนี้ทั้งที่มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง”

อะดรีนาลีน
ฮอร์โมนแห่งการตอบสนอง
และโกโก้ ได้เข้ามาผลักประตูที่ถูกผนึกไว้นานของวริศ ทั้งคู่พูดคุยจนรู้ซึ้งถึงความชอบที่คล้ายกัน (ในตอนต้นยังมีเพื่อนๆ ที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งด้วยกันอีก 2 คน) ทันใดนั้น Placebo club ก็ถูกดีดนิ้วเป๊าะ หลังจากบทสนทนาที่รู้ว่าพวกเขาบูชาพระโพธิสัตว์องค์เดียวกัน และอะไรอีกหลายๆ อย่าง งั้นคงเป็นสัญญาณใหญ่แล้วว่าถูกเหวี่ยงมาให้ต้องทำอะไรด้วยกันเป็นแน่ เพราะไทม์ไลน์มันช่างพอดิบพอดี
วริศเล่าถึงจุดกำเนิดของห้องขลัง “ตอนเริ่มทำ Placebo เราไม่มีต้นทุนอะไรเลย บอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าจะทำมาหากินจากสิ่งนี้ยังไง แค่เอาอะไรที่พวกเราชอบมายำรวมกัน มีแพสชันอยากจะทำด้วยกัน คุยกันว่าตอนนี้โลกมันกำลังฉิบหายแล้ว พวกเราไม่อยากใช้ชีวิตแบบเดิม จะทำยังไงได้บ้าง คิดแค่นั้นเลย ตอนแรกก็ไม่มีธีมอะไร เขียนในเพจว่า ‘Post Apocalyptic Service’ หลังจากโลกล่มสลายไปแล้วยังเหลืออะไรให้ทำอีกบ้าง”
“ถึงโควิดจะจบลงไปแล้ว แต่โลกก็ยังแตกอยู่” โกโก้พูดเสริมสั้นๆ แต่วริศคงเห็นหน้าตางุนงงจากเรา เขาขยายความต่อ “ถ้าเคยดูหนัง Cyber Punk หรือ Post Apocaplypse มันก็โคตรตอนนี้เลย เพียงแต่ว่าเราไม่ได้เป็นตัวละครที่อยู่ในโซนที่ลำบากที่สุด ทั้งในวรรณกรรมและศาสนา เวลาพูดถึงฉากโลกแตก เราแค่บรรยายสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนะ เช่นในพระสูตรพระกษิติครรภ์ที่บอกว่า หายใจเข้าไปเหมือนโดนแผดเผา หรือนรกวิวาทะที่คนทะเลาะกันตลอดเวลา นี่คือคำบรรยายปกติของโลกทุกวันนี้เลยคือ PM2.5 และ Social Media ไง”

คอนเซปต์แรกของ Placebo คืออะไร
“เราไม่ได้อยากพัฒนาที่นี่ให้เป็นโรงพยาบาล หรือที่สปา ซึ่งศัพท์ Placebo แปลว่าสภาวะที่คนไข้หายป่วยได้ด้วยยาหลอก ถ้าเป็นยุคแรกๆ ยานี้เป็นสิ่งที่ต้องกำจัด ยาที่ดีจริงต้องให้ผลได้มากกว่า Placebo แต่พอมหาลัยชั้นนำเขาวิจัยว่า ตกลงแล้วเวลาคนได้รับยาชนิดที่ไม่มีฤทธิ์อะไรเลย แต่ร่างกายเขาดันดีขึ้นได้จริง มันแปลว่าอะไร กระบวนการนี้คืออะไร เราจะทำซ้ำได้ยังไง สรุปคือต้องดูแลทุกๆ อย่างแบบองค์รวมเพื่อทำให้ร่างกายดีขึ้นได้ ไม่ว่าจะวิทยาศาสตร์ หรือไม่ใช่วิทยาศาสตร์ก็ต้องแคร์ด้วย เราใช้คำว่า Placebo เพราะแค่อยากให้คนมาลองดู อย่างที่โกโก้เอาไม้คฑาแกว่งใส่ เสร็จแล้วจะเกิดอะไรขึ้นไหม” วริศตอบ
โกโก้รับช่วง “เทรนด์ของตลาดเป็นสปาแบบรีแลกซ์ ซึ่งพวกเราไม่ได้มองในมุมนั้น พวกเราสนใจการเยียวยารักษาเพื่อพ้นทุกข์มากกว่าความสบาย นอกจากนั้นพวกเรายังทดลองในสิ่งที่พวกรายังไม่รู้ด้วย เช่น เราเอาวัสดุต่างๆ อย่าง ‘เมล็ดรุทรักษะ’ (เมล็ดจากต้นไม้มงคลที่ถือกันว่าเป็นน้ำตาของพระศิวะ นิยมนำมาร้อยเป็นลูกประคำช่วยปัดเป่าพลังงานไม่ดี) ที่ชาวเนปาล อินเดีย ทิเบต เขาบูชาเหมือนเล่นพระเครื่องบ้านเราเอามาทดลองใช้ดูว่าเอามารักษาได้ขนาดไหน ตามแบบที่เราทดลองเลยคือรักษาได้จริง หรือเราเคยปลุกเสกน้ำมนต์ เอามาใช้เองก่อน ถ้าเวิร์กค่อยส่งต่อให้คนอื่นดูว่าเขาใช้แล้วรู้สึกยังไง”
“ไม่ใช่ความเพ้อว่ามีนางฟ้า 7 องค์อยู่หลังเธอ เราอยู่กับความเป็นจริง ใช้วิธีจับชีพจร Cross Check กันและกัน ถามเขาว่าที่เราเห็นใช่แบบนี้ไหม ทำเสร็จแล้วหายไหม ดีขึ้นไหม พอเขาบอกดีขึ้นก็โอเค เราไม่เอาเหมือนจะหาย แต่ต้องหาย”

เครื่องมือรักษาคนไข้ประจำตัวของวริศคือหู และเครื่องดนตรีต่างๆ ส่วนโกโก้ คือมือทั้งสองข้างที่ใช้ถ่ายพลังงาน เขายกมือจ่อที่ขาของเราห่างไปไม่กี่เซนติเมตร ก่อนจะถามว่าเครียดมากเลยใช่ไหม ช่วงนี้ท้องไม่ค่อยดีหรือเปล่า ปวดขาไหม ‘อัศจรรย์!’ โกโก้รู้ได้ยังไง คราวนั้นเอง เราได้กลายเป็นหนึ่งในผู้ป่วยของห้องนี้ที่นอนลงบนพื้น โกโก้เริ่มจับชีพจรข้อมือ เขาแค่พยักหน้ากับตัวเองแต่ไม่พูดอะไรออกมา ค่อยๆ เลื่อนมือสัมผัสที่หน้าท้องเราช้าๆ ทำให้เราร้อนผ่าวไปหมด
“ธาตุไม้ข่มธาตุดิน ทำให้แน่นท้อง ขับถ่ายมีปัญหา มีวิตกจริต ขาดความมั่นใจ”
โกโก้ว่านี่คืออาการที่เราเป็น

เซโรโทนิน
ฮอร์โมนแห่งความสงบ
มั่นใจได้เลยว่าการเยียวยาของวริศ และโกโก้ไม่ใช่แค่ต้องพึ่งหลักทางแพทย์วิทยาศาสตร์ แต่ต้องอาศัยองค์ความรู้อื่นๆ เช่น ศิลปะ วัฒนธรรม พิธีกรรม ความศรัทธาในพวกเขา และตัวเราเองขับเคลื่อนด้วยเช่นกัน คำว่าหายดีถึงจะปรากฏพร้อมความหวังว่าหากมีโอกาสกลับมาที่นี่จะต้องไม่มาในฐานะผู้ป่วยอีก
เราไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเคสที่เท่าไหร่ แต่เคสแรกๆ ของวริศ คือกลุ่มเพื่อนสนิทที่เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง
“เรื่องที่เขาเจอมันใหญ่กว่าจิตวิทยาที่ออกแบบมาเพื่อรับมือคนทั่วไปจะเข้าใจ มีตำราไหนที่บอกว่าจะรับมือคนที่เป็นนักเคลื่อนไหวแล้วถูกด่าถูกสาปทั้งประเทศมาได้ เราว่าเขา คงมาด้วยความเชื่อใจที่เราเป็นเพื่อนเขา เลยอยากให้เยียวยาด้วยวิธีไหนก็ได้” วริศพูดถึงเคสรายแรกให้ฟัง
ตามด้วยโกโก้ “เคสที่เราจำได้ดี คือผู้หญิงคนหนึ่งที่เราจับชีพจรเขา แล้วเห็นว่ามีซีสต์ หรืออะไรไม่รู้เกาะมดลูกเต็มไปหมด และไขมันพอกตับ เขาก็ประหลาดใจว่าเราเจอได้ยังไง เพราะว่าเขาตัดมดลูกทิ้งไปนานแล้ว เพราะซีสต์ที่เกาะตามที่เราว่านี่แหละ อย่างไรก็ตาม ตัดไปแล้ว พลังงานของซิสต์กับมดลูกที่ป่วยก็ยังอยู่ เราก็เลยฮีลเขาจนชีพจรดีขึ้นเหมือนไม่มีซีสต์จนพอเขากลับบ้านไป หาหมอ สักพักก็โทรมาด้วยเสียงตกใจ โกโก้ทำอะไรกับร่างกายพี่ ตอนนั้นฟังก็ใจร่วงเลย ฉิบหายแล้ว เขาไปหาหมอแล้วหมอถามว่าไปทำอะไรมา อัลตราซาวด์ดูแล้วในตับมันไม่มีไขมันพอกเหลืออยู่เลย ตัวเคสเขานึกออกแค่ว่าเขามาหาเรา ไม่ได้ไปทำอย่างอื่น นี่ก็เป็นเคสนึงที่น่าสนใจ สิ่งที่กายภาพตัดออกไปแล้ว แต่ปัญหาทางพลังงานยังไม่ถูกแก้ไข ก็ยังอยู่ได้”
วริศเล่าถึงประสบการณ์การทำงานร่วมกับ สสส. ซึ่งใครๆ ก็งงงวยว่าน่าประหลาดใจที่โคจรมาร่วมงานกันได้
“ในปีที่แล้ว สสส. เขามีภารกิจในการสร้างความตระหนักรู้เรื่องสุขภาพ สุขภาวะ และเห็นว่าสิ่งที่พวกเราทำน่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนในวงที่กว้างขึ้นได้ พวกเเราเเลยได้ทำงานด้วยกัน โดยการ เอาวิชาที่พวกเรามีไปแชร์กับคนประมาณ 50 คน เป็นผู้นำชุมชนต่างๆ และให้พวกเขาแยกย้ายไปฮีลคนอีก 600 กว่าคนในชุมชน โดยตัวเคสจะบันทึกว่าผลเป็นยังไง เราทำรีเสิร์ชในโครงการ สสส. นี้แล้ว ปรากฏว่า 96% ของบันทึกบอกว่าอาการดีขึ้น
“คือเราต้องอุปทานหมู่ขนาดไหนที่แยกกันอยู่ในคนละจังหวัด เยียวยาโดยคนละคน แต่รู้สึกอาการดีขึ้นได้เหมือนกัน สุดท้ายแล้วนอกจากรีเสิร์ชในแลบ หรือวิทยาศาสต ร์ก็ยังมีการรีเสิร์ชทางสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ด้วย อย่างเช่นการอ่านบันทึกอาการของเคสโดยตรง ถ้ามากถึง 96% โดยคน 600 กว่าคนที่ไม่รู้จักกัน บอกว่าอาการดีขึ้น ข้อมูลนี้กำลังบอกบางอย่าง”

อาการที่พบได้บ่อยคืออะไร
“คลาสสิกก็โรคซึมเศร้า นอนไม่หลับ อกหัก ล่าสุดเราทำงานกับเคสมะเร็งบ่อยขึ้น ผีเข้าก็มี อย่างผีเข้านี่คือไม่รู้เหมือนกันว่าเขารู้ได้ยังไงว่าต้องมา” วริศแหงนหน้าคิด “เราว่าคนส่วนใหญ่ที่มาอาจจะไม่ได้รู้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกว่าที่นี่คืออะไร และคาดหวังอะไรได้บ้าง อาการที่มากก็เลยกว้างมาก ” ดูเหมือนโกโก้จะตอบคำถามเขา วริศพยักหน้ารับ “ทำการตลาดไม่ได้ ว่างั้นเถอะ” โกโก้พูดต่อบท “เออ มันจะดูแบบมึงบ้า มึงเพ้ออะไรวะ คือร้อยเปอร์เซนต์ก็มาจากการบอกต่อนะ อาการที่พบก็เลยจะคล้ายกันเป็นช่วงๆ จากคนที่มาแล้วดีขึ้น แล้วบอกต่อกัน บางทีคนที่มาเขาก็แค่รู้สึกไม่ดี แต่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร เราอาจจะรีเฟลกให้เขาได้ว่าเขาเป็นแบบนี้อยู่นะ แล้วมาแก้ด้วยกัน”
ศึกษาวิชาจากที่ไหนมาบ้าง
โกโก้เล่าก่อนว่าเป็นเพราะอาจารย์แพทย์แผนจีนโบราณที่ช่วยรักษาสภาวะสิ้นหวัง เศร้า รู้สึกผิดให้เขา โดยใช้วิธีอย่างฝังเข็มที่น่าอัศจรรย์ ไม่ใช่เพียงการพูดคุยแบบนักจิตบำบัด แล้วโรคที่เรื้อรังติดตัวมานาน หายใจอึดอัดมาไม่รู้กี่ปีกลับหายได้ในทันที ยาที่เขาจ่ายมา ก็ทำให้โกโก้มีความสุขได้อีกครั้ง
“จำได้ว่าวันแรกที่ไปหาเขาแล้วกลับบ้าน เราก็ร้องฮัมเพลงออกมา คือโกโก้ไม่เคยฮัมเพลง” ประโยคนี้คงบอกได้ดีว่าอาการของเขาดีขึ้นมากถึงขั้นไหน “หมอคนนี้จะรักษาฟรีทุกเสาร์อาทิตย์ เราเห็นคนเฒ่าคนแก่มา ยกแขนขาไม่ขึ้น บอกจะอ้วก เวียนหัว แต่ฝังไปเข็มเดียวหายเลย มันเหมือนของปลอม เราแบบเขาทำอะไรกันวะ เดี๋ยวนะ! นี่ทุกคนจัดฉากขึ้นมาหลอกเราหรือเปล่า คือจิ้มเข็มไปปุ๊บ หมอบอกไหนลองยกแขน หายไหม เขาตอบหายแล้ว เราแบบอะไรนะ”
“เราเลยอ้อนวอนหมอจีนคนนี้ว่าอยากเรียนด้วย เขาก็บอกแค่บางส่วนแล้วก็อุบเอาไว้ เพราะเราไม่ได้เป็นลูกศิษย์เขา แต่เราตื๊ออยู่ 3 เดือน ก็ตื๊อจนเขาเริ่มสอนเรา วิชาจับชีพจรในทุกวันนี้ก็ได้มาจากเขา หลังจากนั้น เรามีความคาดหวังกับตัวเองมาโดยตลอดว่าสิ่งที่เราใช้ สิ่งที่เราทำจะต้องได้ผลดีเทียบเท่าการใช้เข็มของอาจารย์”
คำตอบจากวริศโผล่ตาม “หลังจากผ่านช่วง 11 ปีที่อยู่ในนรกกับโลกโมเดิร์น พอพาตัวเองกลับมาได้แล้ว เราก็อยากกลับมาสู่สิ่งที่รักคือดนตรี เราเริ่มจากการกำเงิน 8,000 สุดท้ายในชีวิตไปซื้อขัน Singing Bowl มาลองเล่นเอง ได้เจอครูคนแรกคือ อาคิม ศิลปวานิช ที่เมตตาเรามากๆ แกเป็นคนไทยคนแรกๆ ที่นำขันเข้ามาใช้ในไทย ปัจจุบันแกไม่ค่อยสอนแล้ว เล่นไปสักพักได้พบว่าขันมันทำเสียงต่างๆ ได้เยอะมาก ยิ่งเราเปลี่ยนวิธีการตี เปลี่ยนวัสดุกระทบ เปลี่ยนคนที่เข้าใกล้ เสียงก็เปลี่ยนหมดเลย ทำให้ความทรงจำในวัยเด็กตอนเรียนดนตรีไทยอยู่คนเดียวทั้งโรงเรียนมันกลับมา เพราะอยากเล่นเครื่องอะไรก็ต้องซ่อมและทดลองเอาเอง ทำให้เราเห็นว่าเสียงที่หลากหลาย มีฤทธิ์ต่อความรู้สึกที่หลากหลาย ส่งผลต่อการนำมาใช้ทุกวันนี้ พอเริ่มเรียนรู้และทำไปสักพัก เรารู้สึกว่าสิ่งที่ขาดอยู่อย่างมากใน Sound Healing คือความหลากหลายและยืดหยุ่นของเครื่องมือ และที่สำคัญคือ กการวินิจฉัย หรือการรู้จักอาการของเคส
“เสร็จแล้วก็บินไปประเทศเนปาลกับโกโก้ ได้เรียนรู้ว่าวิชาที่จะใช้ขันอย่างถูกต้องไม่มี ต้องหาวิธีกันเอาเอง ศึกษาจากวัฒนธรรมอื่น อย่างเป่าแคนรักษาคน เขาใช้เสียงยังไง ตำราตะวันออกกลางพูดว่าอย่างไร ต่อด้วยลงเรียน Indian Music Therapy จนได้คำตอบว่าความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและธาตุต่างๆ ในเสียงมันเป็นยังไง ก่อนจะเข้าเรียน Anthroposophy Music Theraphy ซึ่งเป็นวิธีคิดจากเยอรมัน เรียนสั้นๆ แต่มหัศจรรย์มาก เขาสอนวิธีการที่ให้เคสทำเสียง เล่นดนตรีด้วยตัวเอง ไม่ใช่เราไปเล่นให้เขาอย่างเดียว และยังมีการวินิจฉัยสภาวะต่างๆ ตามการแสดงออกของเคส ยิ่งเปิดกว้างเราเข้าไปอีก ทำให้รู้สึกฟรีกับเครื่องมือมากขึ้น บางทีฮีลคนโดยไม่ใช้อะไรเลยก็มี แค่เล่านิทานให้เขาฟังก็มี”
“เราเชื่อว่าถ้าอยากเข้าใจความหลากหลายของมนุษย์จริงๆ เราต้องเรียนรู้จากดนตรีของที่วัฒนธรรมต่างกัน จะได้เข้าใจความหลากหลายของอารมณ์ เช่น คนดำเล่นบลูส์ได้ถึงใจมากๆ ชีวิตเขาไปเจออะไรมา? คนอิหร่านเล่นเพลงเศร้าได้เศร้าอย่างลึกซึ้งมากๆ เขาไปเจออะไรมา? ทำไมเพลงแอฟริกันถึงมีจังหวะที่หนักแน่น? ทำไมเพลงไทยถึงเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทุกเพลง? ทำไมแคนมาต้องอยากเต้น? คนเหล่านี้ไปเจออะไรมา? กลับมาที่ชีวิตประจำวัน คนนี้พูดจาแบบนี้ เพราะเขาไปเจออะไรมา เดินแบบนี้ กินแบบนี้ ทำแบบนี้ เขาไปเจออะไรมา? เป็นต้น ทุกวันนี้ก็ยังเรียนอยู่ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ครับ ล่าสุดกำลังลองทำขลุ่ยด้วยตัวเอง เพื่อเข้าใจเสียง ลม และร่างกายมากขึ้น เครื่องเป่ายังเป็นส่วนที่เราไม่ค่อยเข้าใจ อยากเข้าใจมากขึ้น”
“แต่หน้างานนี่สำคัญมากนะ ครูก็คือเคสที่เราเจอ เช่นกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งที่เรากำลังทำงานด้วยอยู่ การที่เขาพกความเจ็บป่วยที่ซับซ้อนมาหาเรา ทำให้วิชาในตัวเราต้องพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะคอยรับมือกับสิ่งที่พวกเขาเจอมาได้ดีขึ้น เราจะไม่มีทางรู้เลยว่าสิ่งที่เรารู้มาทำอะไรได้บ้าง ถ้าเราไม่เจอพวกพี่ๆ เขา”

เอ็นดอร์ฟิน
ฮอร์โมนระงับความเจ็บปวด
พวกเขาทำให้คำว่า ‘เยียวยา’ ที่ฟังดูจะทำได้ง่ายเปลี่ยนไปหมด กลายเป็นเราค่อยๆ ตระหนักว่าบางครั้งการวิ่งเข้าหางานอดิเรกเพื่อคลายเครียดก็คงไม่พอ เพราะเดี๋ยวก็จะกลับมาเครียดใหม่อยู่ดี หากอยากหายดีต้องรู้ให้แจ่มแจ้งถึงคำนี้ว่าแท้จริงแล้วมันคืออะไร
Spiritual Healing สำคัญต่อทุกคนไหม
คำถามเข้าทางชายในกางเกงผ้าบาติกผู้เชี่ยวชาญศาสตร์จิตวิญญาณ
“เราว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมามีความต้องการต่างๆ แพตเทิร์นชีวิตคนเราต่างกัน มองจากข้างนอกไม่เหมือนกันแต่แก่นหลักข้างในของทุกคนเหมือนกันหมด อยากมีความรัก อยากมีความสุข ไปทำสงครามก็เพราะอยากปกป้องความรัก ความสุขของตัวเอง ความต้องเหล่านี้ก็คือกิเลส ซึ่งแทนที่จะนำไปสู่ความสุข กลับทำให้ทุกข์ การฮีล คือเรามาดีลกับกิเลสพวกนี้ ”
“ถ้าร่างกายไม่โฟลว์แปลว่ายังมีกิเลส ทีนี้ก็มาดูกันว่ารากเกิดจากอะไร สมมติมี 5 อาการ เพราะธาตุหยินพร่องก็ต้องเปลี่ยนหยินให้ไม่พร่องจะได้หาย แต่เราจะลึกลงไปอีกว่ามันพร่องเพราะอะไร ถ้าเพราะอารมณ์ แล้วอารมณ์นี้เกิดเพราะอะไร นี่แหละปมที่ขมวดอยู่ และมันจะนำไปสู่การฮีล”
“ร่างกายต้องดี จิตใจต้องดี เราต้องกลับมาหาตัวเองได้อย่างมีความสุข แต่เราจะเป็นเราได้ยังไงให้มันเป็นเราจริงๆ อย่างแนวคิดเต๋า เขาจะบอกว่าให้เรากลับไปเป็นทารก เป็นลูกกลมๆ เหมือนตอนที่พลังทุกอย่างยังไม่มีลิมิต แต่พอเราโตแล้วเราผ่านลิมิตมาเยอะแยะ โดนกระทบกระทั่งจนลูกกลมๆ มันผุไปหมด จะทำให้กลับไปกลมบ๊อกเหมือนทารกต้องทำยังไง ก็ต้องทำผ่านการฮีลซึ่งเป็นคำที่กว้างมาก จะทำผ่านการนั่งสมาธิหรืออะไร ก็แล้วแต่ ส่วนนี่คือแบบของเรา”

มีคำตอบให้ตัวเองไหมว่าเราเกิดมาเป็นใคร
“มี แต่คำตอบนั้นคงไม่มีประโยชน์อะไรเมื่อแขร์ในที่สาธารณะ แต่ที่แน่ๆ คือเรารู้ว่าอยากจะอยู่แล้วตายไปแบบไหน เราว่าลึกๆ ทุกคนรู้ว่าตัวเองเป็นใคร อยากทำอะไร แต่สังคมก็จะเบี่ยงเบนเราไปเรื่อยๆ ให้เข้าสู่ตลาดแรงงานบ้าง เป็นพลเมืองของรัฐบ้าง หัวใจตรงนั้นก็หายไป เราเชื่อว่าถ้าเข้าสู่กระบวนการทบทวนตัวเอง หรือฮีล มันก็จะกลับมา แค่การที่คนคนหนึ่งรู้ว่าตัวเองอยากทำอะไรจริงๆ เราว่าก็มีคุณค่ามากพอแล้ว” วริศตอบ
โกโก้รับช่วงต่อ “เราคิดว่าเราคงจะเกิดมาเพื่อตามหาความสุข ความสบาย ของทั้งกายและใจ ในแบบที่เป็นหนทางไปสู่การหลุดพ้น และถ้าเราไม่หลงผิด เราก็อยากจะแชร์มันให้คนอื่นด้วย”

ปลายทางของ Placebo ที่ทั้งสองมองร่วมกันเป็นอย่างไร
“จบที่ตายมั้ง” โกโก้พูดทำเอาคนฟังทั้งห้องหัวเราะ “คือเราก็คิดอยู่นะว่าสุดท้ายจะกลายเป็นลัทธิหรือเปล่า ถ้าเรามีชีวิตอยู่อาจจะไม่ถึงขั้นนั้น แต่ถ้าเราตายแล้วจะมีคนทำให้กลายเป็นลัทธิหรือเปล่า แล้วถ้าเรากลายเป็นผี เราคงต้องสะสมพลังให้เข้าทรงได้ว่าไม่! มึงห้ามทำแบบนี้!” วริศยกมือปรามขณะขำไม่พักทุกประโยคที่โกโก้พูด “เขาถามถึงปลายทางไม่ใช่ตอนตาย คือเรากับโกโก้ก็คงทำที่นี่ไปเรื่อยๆ แต่ปลายทางก็อาจเป็นอย่างที่โก้พูดว่าคงทำไปจนกว่าจะตาย”
ทว่าจากที่ได้สัมผัสพวกเขามากลับทำให้เรารู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง และนับจากวันนี้ที่เท้าเราก้าวออกจาก ‘Placebo club’ ไป หากได้กลับมาใหม่ จะมาในฐานะคนธรรมดาที่รักตัวเอง และรู้วิธีเยียวยาใจเพื่อยืนหยัดอยู่บนโลกที่แสนทรหดใบนี้ จากบทเรียนที่ถูกสอนโดยครูคนใหม่ในชื่อ ‘วริศ – โกโก้’