เลี่ยง Food Waste ยังไงไม่ให้ทำร้ายสุขภาพ รู้จักวิธีเก็บอาหารที่ทำให้อายุอาหารยืนยาวขึ้น

สำหรับการใช้ชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว วิธีหนึ่งที่หลายๆ คนมักทำอยู่เสมอ คือการลดอาหารจากขยะให้มากที่สุด เพราะสามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแค่การกินอาหารให้หมดจาน หรือเก็บรักษาอาหารไว้ให้นานที่สุด

แต่สิ่งที่ตามมาไม่ใช่เพียงแค่การลดขยะ หรือประหยัดค่าใช้จ่ายเท่านั้น บางทีการเก็บไว้ด้วยความเสียดาย หรืออยากลดขยะจากอาหารก็อาจกลายเป็นการทำร้ายร่างกายทางอ้อมได้โดยไม่รู้ตัว เพราะหากไม่มีการเก็บรักษาที่ดี หรือไม่รู้วิธีสังเกตวันหมดอายุ ก็อาจทำให้อาหารเหล่านั้นกลายเป็นพิษต่อร่างกายได้

แล้วเราควรเก็บรักษาอาหารอย่างไร เพื่อลดฟูดเวสต์ (Food Waste) โดยที่ยังเก็บไว้ได้นานที่สุดกันนะ

หลากปัญหาและความเข้าใจเกี่ยวกับฉลาก

ปัญหาการสูญเสียอาหารถือเป็นเรื่องที่หลายคนให้ความสำคัญ ราว 1 ใน 3 ของอาหารที่ผลิตขึ้นทั่วโลกถูกทิ้ง นำมาสู่ปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการกำจัดขยะเหล่านี้ ขณะเดียวกันทุกๆ ปีจะมีผู้ป่วยจากโรคที่เกิดจากอาหารปนเปื้อน ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐอเมริกา ระบุว่าราว 1 ใน 6 ของชาวอเมริกันป่วยจากอาหาร

ดังนั้นแม้เราจะอยากลดขยะจากอาหารมากแค่ไหน แต่ความปลอดภัยของอาหารก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน ถึงวิธีที่ลดฟูดเวสต์ง่ายๆ สามารถทำได้ด้วยการกินอาหารให้หมด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องกินอาหารน่าสงสัยเข้าไปด้วยนะ

เพื่อให้เราสามารถเก็บอาหารไว้ได้นานอย่างปลอดภัย บางทีเราอาจต้องกลับมาทบทวนวิธีอ่านฉลากวันหมดอายุ วิธีสังเกตอาหาร และวิธีการเก็บรักษากันอีกครั้ง 

หากมาย้อนดูกันให้ดีถึงสาเหตุที่ทำให้หลายคนสร้างขยะจากอาหาร บางครั้งอาจเกิดโดยไม่ตั้งใจ ข้อมูลจาก Food Safety จากรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่าฟูดเวสต์ที่เกิดจากผู้บริโภคอย่างเรา ส่วนใหญ่เกิดจากความเข้าใจผิดเกี่ยวกับวันหมดอายุ และการเก็บรักษาอาหารที่เน่าเสียง่าย ซึ่งความสับสนในฉลากวันหมดอายุมีส่วนทำให้เกิดขยะจากอาหารถึง 20% เราเลยอยากชวนมาทบทวนความเข้าใจเกี่ยวกับฉลากวันหมดอายุอีกครั้ง ด้วยการรู้จักตัวย่อเหล่านี้ให้มากขึ้น ก่อนที่จะตัดสินใจให้อาหารเหล่านั้นลงถังขยะกัน

  • MFD (Manufactured Date), MFG (Manufacturing Date) — หมายถึงวันที่ผลิต ยิ่งเราซื้อใกล้วันที่ผลิตได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะหมายถึงการได้ของที่มีอายุยาวนาน และสดใหม่มากขึ้น
  • EXP (Expiry Date), EXD (Expiration Date) — หมายถึงวันหมดอายุ ไม่ควรบริโภคต่อหลังจากวันที่ระบุ เพราะอาจเสีย หรือบูดเน่าไปแล้ว เสี่ยงท้องเสีย หรืออาหารเป็นพิษได้
  • BB, BBF (Best Before), BBE (Best Before End) — หมายถึงควรบริโภคก่อน ต่างจากวันหมดอายุตรงที่ยังสามารถบริโภคได้อยู่ แต่อาจไม่อร่อยแล้ว เช่น มีรสชาติ คุณภาพ หรือคุณค่าทางอาหารลดลง แม้จะไม่มีวันที่หมดอายุชัดเจน แต่ก่อนกินควรสังเกตลักษณะ กลิ่น สี และรสชาติ ถ้ามีจุดเชื้อรา หรือลักษณะเป็นเมือกก็ไม่ควรหยิบมากินต่อแล้วนะ

นอกจากตัวย่อเหล่านี้แล้ว บางครั้งอาจต้องลองสังเกตข้อความกำกับต่อท้ายด้วย เช่น หากเปิดแล้วควรรับประทานให้หมดภายในครั้งเดียว หรือเปิดแล้วควรรับประทานให้หมดภายใน 3-5 วัน เพราะเมื่ออากาศเข้าไปอาจเร่งปฏิกริยาให้อาหารเสียได้ไวขึ้นก่อนถึงวันหมดอายุจริงได้ เราจึงควรทำความเข้าใจฉลากก่อนกินทุกครั้ง เพื่อให้ได้ประโยชน์จากอาหารเหล่านี้ให้มากที่สุด

อย่างไรก็ตาม นอกจากการสังเกตฉลากบนบรรจุภัณฑ์แล้ว การหาข้อมูลเพิ่มเติม หรือเชื่อประสาทสัมผัสตัวเองก็เป็นสิ่งสำคัญนะ เช่น ผักสดบางชนิดแม้จะมีตำหนิหรือรอยช้ำ แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ การหยิบมาทำอาหารปรุงสุกก็เป็นวิธีรับประทานอาหารอย่างปลอดภัยพร้อมๆ กับลดขยะจากอาหารได้ด้วย

วิธีจัดระเบียบตู้เย็นให้เก็บอาหารให้นานขึ้น

นอกจากเรื่องวันหมดอายุแล้ว วิธีการเก็บรักษาก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอาหารแต่ละชนิดก็ต้องการวิธีเก็บรักษาที่แตกต่างกัน วันนี้เราจึงนำวิธีเก็บอาหารแต่ละประเภทให้อยู่ได้นานๆ มาฝากกัน

ตู้กับข้าว — ใช้สำหรับเก็บอาหารที่ไม่จำเป็นต้องแช่เย็น แต่ควรเก็บในที่แห้งและภาชนะปิดสนิท เช่น ธัญพืช พาสตา ซีเรียล ถั่ว สมุนไพร เครื่องเทศ กระเทียม หัวหอม อาหารกระป๋อง ส่วนผสมในการอบ (แป้ง แครกเกอร์) รวมถึงซอสที่ไม่เปิดฝา แยม หรือเครื่องปรุงรส 

ในตู้เย็น (ควรตั้งอุณหภูมิไว้ต่ำกว่า หรือเท่ากับ 4°C) — ใช้สำหรับเก็บอาหาร เพื่อยืดอายุ โดยแต่ละส่วนของตู้เย็นก็ใช้เก็บอาหารแตกต่างกันไป เช่น ชั้นบนสุดใช้เก็บอาหารที่ปรุงสุกแล้วพร้อมรับประทาน ชั้นกลางอาจเป็นไข่ หรือผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ชีส หรือโยเกิร์ต ชั้นถัดมาใช้เก็บเนื้อไก่ หมู หรืออาหารทะเลที่แยกอยู่ในกล่องแล้วเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของแบคทีเรีย ส่วนลิ้นชักด้านล่างควรเป็นผักและผลไม้ และสุดท้ายตรงประตูตู้เย็น เนื่องจากเป็นส่วนที่อุ่นที่สุดของตู้เย็น จึงเหมาะที่สุดสำหรับเก็บอาหารที่ไม่เน่าเสียง่าย เช่น ซอส น้ำจิ้ม และเครื่องปรุงที่เปิดแล้ว หรือเครื่องดื่ม (ยกเว้นนม)

ช่องแช่แข็ง (ควรตั้งอุณหภูมิไว้ที่ต่ำกว่า หรือเท่ากับ -15°C)  — เหมาะที่สุดสำหรับการจัดเก็บอาหารที่ต้องแช่แข็ง อาหารเหลือ หรืออาหารที่รู้ว่าจะกินไม่ทัน เช่น ​​ผลไม้ ผักหั่นแล้ว เนื้อ ไก่ และอาหารทะเล

ขนมปัง อาหาร หรือมื้ออาหารที่ปรุงสุกแล้ว เก็บใส่ภาชนะที่ปิดสนิทและติดฉลาก อย่าลืมระบุวันที่แช่แข็งด้วยล่ะ

นอกจากวิธีที่ว่ามา อย่าลืมการประเมินความต้องการอาหารของตัวเองตั้งแต่ต้น เพื่อไม่ให้ทิ้งไว้นานเกินไป หรือซื้อไว้มากเกินไป จนต้องลำบากตัวเองภายหลังด้วยนะ เพราะยังไงสุขภาพของเราก็สำคัญที่สุด

AUTHOR

ILLUSTRATOR

กุลธิดา อิสลาม

คอนเทนต์ครีเอเตอร์ผู้อยากเป็นเชฟ